สิ่งที่คุณต้องมองคือภาพในอีก 18 เดือนข้างหน้า เพราะราคาหุ้นในวันนี้สะท้อนสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น

uckenmiller กล่าวถึงเหตุผลที่เราไม่ควรลงทุนโดยมองแค่ปัจจุบัน: "ไม่สำคัญเลยว่าบริษัทตอนนี้กำลังทำกำไรเท่าไหร่ หรือเคยทำได้แค่ไหน — สิ่งที่คุณต้องมองคือภาพในอีก 18 เดือนข้างหน้า เพราะราคาหุ้นในวันนี้สะท้อนสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น" --- ราคาหุ้นไม่ได้สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้น ตอนนี้ แต่มันสะท้อนสิ่งที่ “ตลาดคาดว่า” จะเกิดในอนาคต ดังนั้น แทนที่จะถามว่า “บริษัทนี้กำไรดีมั้ยตอนนี้?” ควรเปลี่ยนเป็น “อีก 18 เดือนข้างหน้า บริษัทนี้จะดีกว่านี้ไหม?” ใครที่มองอนาคตได้แม่นกว่า คนนั้นมักจะได้เปรียบในตลาด --- การลงทุนไม่ใช่การถอดบัญชีกำไรขาดทุน แต่คือการอ่าน “เรื่องราวของอนาคต” อย่าลงทุนเพื่อวันนี้ — ลงทุนเพื่อสิ่งที่จะมาถึง

99% ของหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด มีคุณสมบัติแบบเดียวกัน - Mark Minervini เผยเคล็ดลับคัดหุ้นเทคฯ ตัวใหม่


เคล็ดลึกเทรดหุ้น True Market Leader จำหน่ายที่

https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTk5MjQzNSI7czo3OiJib29rX2lkIjtpOjM2MTk3ODt9


99% ของหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด มีคุณสมบัติแบบเดียวกัน - Mark Minervini เผยเคล็ดลับคัดหุ้นเทคฯ ตัวใหม่

Mark Minervini ตำนานนักลงทุน ผู้ชนะการแข่งขันลงทุนของสหรัฐฯ สองสมัย เตือนว่า อย่าเพิ่งเชื่อว่าหุ้นกลุ่ม “Magnificent Seven” จะเป็นผู้นำตลาดไปตลอด เพราะทุกอย่างมีวัฏจักร และไม่มีหุ้นไหนที่ปลอดภัยจากการตกต่ำได้

หุ้นใหญ่นำตลาด ไม่ได้แปลว่าจะชนะตลอดไป

Minervini อธิบายว่า ความสำเร็จอย่างยาวนานของหุ้นกลุ่มใหญ่ อย่าง Apple, Microsoft, Google ฯลฯ ถือว่า “ผิดธรรมชาติ” เมื่อมองจากประวัติศาสตร์ เพราะในอดีต หุ้นกลุ่ม “Nifty Fifty” ก็เคยรุ่งเรืองมากในยุค 60s-70s แต่หลายตัวก็ล้มหายตายจาก เช่น Avon หรือ Polaroid มีเพียงไม่กี่ตัวที่รอดมาได้ เช่น Coca-Cola หรือ American Express


เทคนิคการหาหุ้นผู้นำตัวใหม่ของ Minervini
Minervini เชื่อว่าการดู “เทคนิค” สำคัญพอ ๆ กับ “พื้นฐาน” ของบริษัท เพราะราคาหุ้นมักสะท้อนคาดการณ์ในอนาคตไปล่วงหน้าแล้ว นี่จึงเป็นที่มาของวลีว่า “ราคาหุ้นคือกลไกการคาดการณ์” หรือที่เรารู้จักกันว่า Buy the rumor, sell the news (ซื้อเมื่อมีข่าวลือ ขายเมื่อข่าวออกจริง)เขาย้ำว่า: “บางครั้งบริษัทประกาศกำไรดี แต่หุ้นกลับร่วง ขณะที่บางบริษัทกำไรห่วย แต่ราคากลับพุ่ง”เพราะนักลงทุนมักซื้อขายล่วงหน้าไปแล้วก่อนข่าวจะออก
กลยุทธ์หาหุ้นเทคฯ ตัวใหม่

Minervini บอกว่า หุ้นในกลุ่ม Magnificent Seven อาจยังไม่จบ แต่โอกาสการ “วิ่งแบบแรง ๆ” อาจเหลือน้อยลง เพราะมูลค่าตลาดสูงเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์แล้วแทบทุกตัว (ยกเว้น Tesla)
ถ้านักลงทุนอยากได้ผลตอบแทนที่โดดเด่นแบบเดิม ต้องเริ่มมองหาบริษัทเทคโนโลยีรุ่นใหม่ เหมือนตอนที่ Amazon หรือ Microsoft ยังเป็นหุ้นกลาง ๆ ที่คนไม่ค่อยรู้จัก “ข่าวดีคือ อเมริกายังเต็มไปด้วยนวัตกรรม และจะมีบริษัทใหม่ ๆ โผล่ขึ้นมาอีกมากมาย”
3 หลักเกณฑ์สำคัญในการหาหุ้นผู้นำ

Minervini แนะนำเกณฑ์ง่าย ๆ ที่หุ้นผู้นำ 99% เคยมีร่วมกัน:
ราคาหุ้นต้องอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน (200-day moving average)
เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ต้องชี้ขึ้น (uptrend)
หุ้นอยู่ใกล้หรือทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 52 สัปดาห์


“หุ้นที่วิ่งจาก 10 ไป 100 ได้ ต้องทำ New High ตลอดทาง มันไม่มีทางเกิดขึ้นจากหุ้นที่อยู่ในรายชื่อ 52-week low” หากตลาดเพิ่งออกจากช่วงขาลง ก็ให้เลือกหุ้นที่ “ทนทาน” ในช่วงตก และ “ดีดตัว” ได้เร็วที่สุดเมื่อเริ่มฟื้น

นักลงทุนคุณค่า vs นักลงทุนเทคนิค
เขาเสริมว่า นักลงทุนบางคนอาจชอบหาหุ้นที่ถูกทุบ มีข่าวร้าย กำลังเทรดใกล้จุดต่ำสุด ซึ่งก็ไม่ผิด แต่คนที่มองหาหุ้นผู้นำที่ไปต่อได้อีกไกล มักจะเจออยู่ในกลุ่มที่ทำ New High เท่านั้น

สรุป
ถ้าอยากเป็นหนึ่งในคนที่ “เจอหุ้นผู้นำตัวต่อไป” ต้องเริ่มมองหาตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีใครพูดถึง ดูหุ้นที่เทรดเหนือเส้นค่าเฉลี่ย ดูพฤติกรรมราคา และที่สำคัญ อย่าติดกับดักของความสำเร็จในอดีต “คุณอยากอยู่ในกลุ่ม 99% ที่ชนะ หรืออยู่ใน 1% ที่ตกขบวน?”

7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า

เส้นทางการเทรดและวิธีเทรดปั้นพอร์ต 100% ++ ของ Leoš Mikulka

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

VCP (Volatility Contraction Pattern) และรูปแบบที่คล้ายกัน

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo

รวมบทความที่เกี่ยวกับ Gap หุ้น & ทฤษฎี Gap หุ้น

วิธีการอ่านสัญญาณแท่งเทียน (Candlesticks Reading) สำหรับมือใหม่