Trader's Journey ของ Christian Flanders: จากนักโป๊กเกอร์สู่นักเทรดที่ปั้นพอร์ตโต +433% ในปี 2024
- Get link
- X
- Other Apps
เส้นทางของ Christian: จากนักโป๊กเกอร์สู่นักเทรดที่ประสบความสำเร็จ
แปลจาก https://tradingresourcehub.substack.com/p/christian-flanders-usic-2024-outperformance
ความสนใจในตลาดการเงินตั้งแต่วัยรุ่น
Christian เริ่มสนใจการเทรดตั้งแต่ยังเรียนมัธยม โดยจุดเริ่มต้นมาจากการที่พ่อของเขาซื้อขายหุ้นในช่วงฟองสบู่ดอทคอม (Internet Bubble) นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับตลาดการเงินอย่างจริงจัง
เมื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เขาเริ่มสนใจเกมโป๊กเกอร์ในช่วงที่โป๊กเกอร์ออนไลน์และการถ่ายทอดสดได้รับความนิยมสูงสุด จนหลงใหลในเกมนี้อย่างจริงจัง
(เขาสามารถจ่ายค่าเทอมปีสุดท้ายได้ด้วยเงินที่ชนะจากการเล่นโป๊กเกอร์ออนไลน์!)
(สนับสนุนโดย)
eBook : คิดและสวิงเทรดเป็นระบบแบบพี่แดน (Dan Zanger)
มีจำหน่ายที่แอพ Meb ที่เดียว
ช่วงเริ่มต้นในตลาดการเงิน
หลังจากจบการศึกษา Christian ได้ทำงานในบริษัทเทรดแห่งหนึ่งในปี 2007–2008
- เขาทำงานทุกวันตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น
- หลังกลับถึงบ้านตอน 6 โมงเย็น เขาจะเล่นโป๊กเกอร์จนถึงเที่ยงคืน
อย่างไรก็ตาม บริษัทที่เขาทำงานต้องปิดตัวลงในปี 2008 เนื่องจากวิกฤตการเงิน
เปลี่ยนมาเป็นนักโป๊กเกอร์มืออาชีพ
หลังจากนั้น Christian ตัดสินใจลองเล่นโป๊กเกอร์เป็นอาชีพ และเขาทำอาชีพนี้นานเกือบ 10 ปี
แม้จะประสบความสำเร็จ แต่ความปรารถนาที่อยากกลับมาสู่โลกของการเทรดไม่เคยหายไป
เขาพบว่า การเทรดมีเสน่ห์ในแง่ของไลฟ์สไตล์และโอกาสสร้างรายได้
แต่การพยายามเทรดไปพร้อม ๆ กับการเล่นโป๊กเกอร์กลับกลายเป็นเรื่องยากเกินไป
ในปี 2017 เขาตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางจากโป๊กเกอร์มาเป็นการเทรดเต็มตัว และเริ่มเทรดเป็นอาชีพตั้งแต่นั้นมา
จุดเปลี่ยนในปี 2024: การยกระดับการเทรด
แม้เขาจะพัฒนาการเทรดในหลายด้านตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ในปี 2024 ทุกอย่างกลับลงตัวมากที่สุด
ปัจจัยสำคัญสองข้อที่ช่วยให้เขาประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในปีนั้นคือ:
1. ลดจำนวนและขนาดการเทรดในช่วงที่ตลาดไม่เหมาะกับกลยุทธ์
Christian เคยมี กำไรครั้งใหญ่ ในบางปีหรือบางเดือน แต่ต้องเผชิญกับ การขาดทุนหนัก ในช่วงตลาดที่ผันผวนหรือเป็นตลาดหมี (Boom and Bust Trader)
- เขาต้องเผชิญกับวัฏจักรของการทำกำไรและขาดทุนที่ใหญ่เกินไป
- เขาพบว่าเหตุผลหลักมาจาก:
- การเทรดมากเกินไป (Overtrading)
- การเทรดด้วยอารมณ์โกรธ (Revenge Trading)
- การจัดการขนาดสถานะที่ไม่ดีในช่วงที่ตลาดไม่เอื้ออำนวย
Position Sizing กับพัฒนาการนักเทรด 3 ระดับ... ในรูปแบบ ebook โดย เซียว จับอิดนึ้ง
https://www.mebmarket.com/?action=book_details&book_id=312087
2. วิเคราะห์ผลลัพธ์และตั้งเป้าหมายการขาดทุนที่ชัดเจน
Christian ใช้ การจดบันทึกผลลัพธ์การเทรดอย่างละเอียด โดยแยกผลลัพธ์ตามแต่ละเดือน
- เขาได้แรงบันดาลใจจากหนังสือ "Trade Like a Stock Market Wizard" ของ Mark Minervini ซึ่งกล่าวถึงการปรับผลขาดทุนให้ไม่เกิน -10% ในทุกการเทรด
เมื่อ Christian ลองตั้งคำถามกับตัวเอง:
"จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันไม่ยอมให้การขาดทุนรายเดือนเกิน 5% ของเงินในพอร์ต?"
เขาใส่ตัวเลขนี้ลงในสเปรดชีต และผลลัพธ์ที่ได้ทำให้เขาตื่นตะลึง:
- ปีที่ได้กำไรมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างมาก
- การขาดทุนลดลงอย่างเห็นได้ชัด
บทเรียนสำคัญจากเส้นทางของ Christian
1. หยุดการเทรดด้วยอารมณ์: การเทรดที่มากเกินไปหรือตามอารมณ์สามารถทำลายผลลัพธ์ของคุณได้
2. กำหนดขอบเขตความเสี่ยงอย่างชัดเจน: ตั้งเป้าว่าจะไม่ขาดทุนเกินจุดที่กำหนดไว้ เพื่อรักษาความมั่นคงทางอารมณ์และการเงิน
3. การจดบันทึกและวิเคราะห์ผลลัพธ์: การบันทึกข้อมูลและการวิเคราะห์ผลลัพธ์เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการพัฒนาและปรับปรุงกลยุทธ์
Christian เปลี่ยนจากนักโป๊กเกอร์มืออาชีพที่มีความชำนาญในเกมตัวเลขและความน่าจะเป็น มาเป็นนักเทรดที่รู้จักการจัดการความเสี่ยงและการควบคุมตนเองอย่างชาญฉลาด บทเรียนของเขาแสดงให้เห็นว่าความสำเร็จในตลาดการเงินไม่ได้มาจากการชนะทุกครั้ง แต่คือการควบคุมการขาดทุนและปล่อยให้โอกาสที่ดีที่สุดนำคุณไปสู่กำไรในระยะยาว
สนับสนุนโดย อีบุ๊ค "เคล็ดลึก สวิงเทรด ให้ได้กำไรสม่ำเสมอ" https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTk5MjQzNSI7czo3OiJib29rX2lkIjtpOjMzNjYyMjt9
บทเรียนจากการควบคุมการขาดทุน
จากการทบทวนผลลัพธ์การเทรดในอดีต ผมพบว่า:
- ไม่ว่าผมจะทำกำไรได้มากแค่ไหนในช่วงเวลาที่ตลาดเป็นใจ การขาดทุนในเดือนที่เลวร้ายจะทำลายความสามารถในการเติบโตของเงินทุนแบบทบต้น
- ดังนั้น การควบคุมการขาดทุน เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
แทนที่จะพยายาม "เอาเงินที่เสียไปกลับคืนมา" หลังจากขาดทุนติดต่อกัน ผมเริ่มลดขนาดการเทรดลงอย่างมากเมื่อการเทรดของผมหยุดทำงาน
เมื่อผมถูก Stop Loss ซ้ำ ๆ นั่นคือสัญญาณชัดเจนจากตลาดว่า:
- ลดขนาดการเทรด
- ลดความเสี่ยง
- และหยุดเทรดไปก่อน
eBook "Risk Management: การบริหารจัดการความเสี่ยงเบื้องต้นสำหรับนักเทรด"
มีจำหน่ายที่แอพ Meb เท่านั้น https://www.mebmarket.com/?action=book_details&book_id=332340
ตัวอย่างในปี 2024: บทเรียนที่นำไปสู่ความสำเร็จ
ในเดือนมีนาคม 2024 ผมไม่มีการเทรดที่ได้กำไรเลย มีแต่การขาดทุนถึง 27 ครั้ง
เดือนเมษายนก็ดีขึ้นเล็กน้อย มีการเทรดที่ชนะเพียง 5 ครั้ง และขาดทุน 18 ครั้ง
ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไป:
ด้วยการลดขนาดการเทรดลงอย่างมาก ผมสามารถรับมือกับช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ได้ โดยที่ไม่เกิดการขาดทุนหนักเป็นตัวเลขสองหลักเหมือนในอดีต
หากผมเพิ่มขนาดความเสี่ยง เช่น จาก 0.25% ต่อการเทรดเป็น 2% ต่อการเทรด ผลลัพธ์จะยิ่งแย่ เพราะการขาดทุนติดต่อกัน 20 ครั้งขึ้นไปจะทำให้พอร์ตเสียหายรุนแรง
ข้อคิด: ตลาดกระทิงอาจทำให้คุณเชื่อว่าช่วงเวลาดี ๆ จะอยู่ตลอดไป แต่มันไม่ใช่
ดังที่ Qullamaggie กล่าวว่า: "แม้ในปีที่ดีมาก คุณจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในช่วงขาดทุน (Drawdown)"
วิธีเดียวที่จะปกป้องตัวเองคือ:
- ค่อย ๆ เพิ่มขนาดการเทรด (Progressive Exposure)
- ลดความเสี่ยงเมื่อคุณขาดทุน
- และหยุดเทรดในช่วงที่ตลาดไม่เป็นใจ
NVDA the Big Winner
เพิ่มขนาดการเทรดในโอกาสที่เหมาะสม
ในปี 2024 การเทรดที่ได้กำไรสูงสุดของผมคือหุ้น $NVDA (NVIDIA) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในธีม AI ที่เริ่มเป็นที่นิยม
- ผมพลาดการเคลื่อนไหวรอบแรกจาก ราคาต่ำสุดที่ $110 ในช่วงตลาดหมีไปถึง $500
- อย่างไรก็ตาม หุ้นตัวนี้ได้สร้าง รูปแบบ VCP (Volatility Contraction Pattern) ใต้ระดับ $500 ซึ่งเป็นรูปแบบที่สมบูรณ์แบบ
พื้นฐานของ $NVDA:
- รายได้ กำไร และอัตรากำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 3 ไตรมาสติดต่อกัน
- ตรงกับสิ่งที่ Mark Minervini เรียกว่า "Code 33" ในหนังสือ Trade Like a Stock Market Wizard
Code 33 คือสถานการณ์ที่ทั้งรายได้, ผลกำไร, และอัตรากำไร ทั้ง 3 อย่างนี้เร่งตัวขึ้น 3 ไตรมาสติดต่อกัน
---
การดำเนินการที่นำไปสู่ความสำเร็จ
เมื่อ $NVDA ทะลุระดับ $50 ผมพร้อมแล้ว:
- วันที่ 5 มกราคม 2024 ผมซื้อเมื่อราคาดีดตัวจากเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน (50 DMA)
- วันถัดมา ผมเพิ่มสถานะการลงทุนอย่างรวดเร็วเมื่อราคาผ่านระดับ $50 และค่อย ๆ เพิ่มขนาดการเทรดเป็น 220% ของตำแหน่งเริ่มต้น
หลังจากนั้น $NVDA ทะยานขึ้นต่อ:
- ราคาทะลุยอดฐาน (Top of the Base) และปรับตัวขึ้นใน 17 จาก 20 วันถัดไป
---
บทสรุป: แนวทางสู่ความสำเร็จในการเทรด
1. ควบคุมการขาดทุน: การลดความเสี่ยงและลดขนาดการเทรดในช่วงที่ตลาดไม่เป็นใจช่วยป้องกันการเสียหายใหญ่
2. เพิ่มขนาดการเทรดในโอกาสที่เหมาะสม: เมื่อคุณพบหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและเทคนิคที่น่าเชื่อถือ ให้เพิ่มขนาดการเทรดด้วยความมั่นใจ
3. วินัยในการเทรด: การติดตามแผนการเทรดและปฏิบัติตามกฎของคุณเองคือกุญแจสำคัญ
การเทรดไม่ใช่เรื่องของการชนะในทุกการเทรด แต่คือการจัดการความเสี่ยงและใช้ประโยชน์จากโอกาสที่ดีที่สุดในระยะยาว
การเทรดครั้งนี้ทำให้ผมนึกถึง $NFLX ในปี 2010
ในช่วงนั้น $NFLX ซึ่งเป็นหุ้นผู้นำตลาด ได้ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในขณะที่ตลาดโดยรวมยังอ่อนแอ และในที่สุดก็ก่อตัวเป็นรูปแบบ VCP (Volatility Contraction Pattern) ขณะที่ตลาดเริ่มปรับตัวตาม
---
โอกาสแบบ $NVDA เป็นสิ่งหายาก แต่จะมีแบบนี้อีกเรื่อย ๆ
โอกาสที่ $NVDA มอบให้นั้นอาจไม่เกิดขึ้นบ่อย แต่โอกาสลักษณะนี้มักจะเกิดขึ้นอีกหลังจาก:
- ตลาดหมีที่ยืดเยื้อ
- การเริ่มต้นของตลาดกระทิงใหม่
ช่วงเวลานี้คือจุดที่ โอกาสการลงทุนที่ยอดเยี่ยมมากมายถูกสร้างขึ้น
ผลกระทบต่อผลการเทรดของผม
โอกาสที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมและการเตรียมตัวที่พร้อมทำให้การเทรดแบบนี้ส่งผลต่อความสำเร็จในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ
ปี 2024 เกินความคาดหมายที่สุดของผม
ความสำเร็จในปีนี้เกิดจากการเตรียมตัวอย่างดีและการอยู่ในจังหวะเวลาที่เหมาะสม
---
เป้าหมายสำหรับปี 2025
สำหรับปี 2025 ผมตั้งใจที่จะ เลือกเทรดอย่างพิถีพิถันมากขึ้น
- แม้ผมจะพอใจกับการลดความเสี่ยงในช่วงที่ขาดทุนติดต่อกัน แต่สิ่งที่ดีกว่านั้นคือการ หยุดเทรดไปเลยในช่วงเวลาที่ตลาดไม่เหมาะสม
---
บทเรียนจากปี 2024
เมื่อผมย้อนกลับมาดูการเทรดและสถิติของตัวเองในปีที่ผ่านมา ผมพบว่า มีมากกว่า 100 การเทรดที่ไม่จำเป็นเลย
ข้อคิด: การหลีกเลี่ยงการเทรดที่ไม่จำเป็นคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผมสามารถรักษาพลังงาน ความมั่นใจ และลดการขาดทุนในอนาคตได้
ปี 2025 จะเป็นปีแห่งการโฟกัสที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ
เป้าหมายอีกข้อของผมสำหรับปี 2025 คือการเพิ่มระยะเวลาการถือครองในเทรดที่ได้กำไร
ในปีที่ผ่านมา ผมใช้ เส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน (10 DMA) เป็นจุดตัดขาดทุนแบบไล่ตาม (Trailing Stop) และแทบไม่เคยใช้ เส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน (20 DMA) เลย
ในปีนี้ ผมวางแผนที่จะลองใช้ 20 DMA เป็นจุดตัดขาดทุนสำหรับส่วนเล็ก ๆ ของตำแหน่งเริ่มต้น เพื่อทดสอบว่ามันช่วยให้ผมดึงกำไรได้มากขึ้นหรือไม่
แนวคิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปรับปรุงจุดตัดขาดทุน
ผมยังมีแนวคิดอื่น ๆ เกี่ยวกับการปรับแต่งการวางจุดตัดขาดทุน เช่น:
- การวิเคราะห์ Maximum Adverse Excursion (MAE) หรือระดับราคาที่เคลื่อนไหวในทิศทางลบมากที่สุดจากจุดเข้าซื้อ
- การวิเคราะห์ Maximum Favourable Excursion (MFE) หรือระดับราคาที่เคลื่อนไหวในทิศทางบวกมากที่สุด
แต่แนวคิดเหล่านี้อาจต้องรอให้ผมมีเวลามากขึ้นในอนาคต!
สรุป: เป้าหมายในปี 2025 ของผมคือการพัฒนาวิธีการถือครองเทรดที่มีกำไรให้นานขึ้น พร้อมทั้งทดสอบและปรับปรุงจุดตัดขาดทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเทรดในระยะยาว
(โฆษณา)
ถ้าท่านชื่นชอบเนื้อหาแบบนี้ แล้วอยากให้มีบ่อย ๆ สนับสนุนผลงานของผมหน่อยนะครับ
eBook มีจำหน่ายที่แอพ Meb
https://www.mebmarket.com/index.php?action=search_book&type=author_name&search=%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%20%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87&auto_search_id=&exact_keyword=1&page_no=1
- Get link
- X
- Other Apps