Oliver Kell: วงจรของการเคลื่อนไหวของราคา (Cycle of Price Action)

วงจรของการเคลื่อนไหวของราคา (Cycle of Price Action)

แปลจาก https://traderlion.com/technical-analysis/chart-patterns/cycle-of-price-action-by-oliver-kell/

Oliver Kell เป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ โดยเขาทำผลตอบแทนได้ถึง 941% ในการแข่งขันเทรด U.S. Investing Championship ปี 2020  

ด้วยประสบการณ์การเทรดที่ยาวนาน เขาได้พัฒนากลยุทธ์ที่สามารถทำกำไรได้ทั้งในช่วงตลาดขาขึ้น (Uptrend) และตลาดขาลง (Downtrend)  


ภาพรวมของกลยุทธ์ Cycle of Price Action

กลยุทธ์ Cycle of Price Action ของ Oliver Kell เน้นการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)  

- เป้าหมาย: ช่วยให้นักเทรดสามารถระบุแนวโน้มของราคาได้อย่างชัดเจน  

- วิธีการ: มุ่งเน้นที่สัญญาณ การสะสม (Accumulation) และ การแจกจ่าย (Distribution) บนกราฟหุ้น  


กลยุทธ์ที่เหมาะกับทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง

กลยุทธ์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ได้ในทุกสภาพตลาด:  

- ในตลาดขาขึ้น: ช่วยค้นหาหุ้นที่มีศักยภาพสูง  

- ในตลาดขาลง: ช่วยลดความเสี่ยงและหาจุดเข้าเทรดที่มีโอกาสทำกำไร  


จุดเด่นของกลยุทธ์

1. มองข้ามข่าวและความผันผวนระยะสั้น:  

   Oliver Kell ใช้กลยุทธ์ที่ไม่สนใจกับรายงานผลประกอบการ ข่าว หรือข่าวลือ แต่เน้นที่โครงสร้างราคาจริง  


2. หาโอกาสที่ชัดเจน:  

   ใช้สัญญาณการสะสมและการกระจายตัวเพื่อระบุจุดซื้อขายที่มีความเสี่ยงต่ำ  


3. พิมพ์เขียวสำหรับการค้นหาหุ้นที่มีศักยภาพสูง:  

   กลยุทธ์นี้เปรียบเสมือนแผนที่นำทางในการค้นหาหุ้นที่เหมาะสมกับสภาพตลาด  


กลยุทธ์ Cycle of Price Action เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักเทรดทุกระดับ เพราะช่วยลดความซับซ้อนในการตัดสินใจและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะยาว  


หากคุณต้องการเริ่มต้นพัฒนาทักษะการเทรด การศึกษาแนวคิดของ Oliver Kell และการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคา จะช่วยสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จ!






Reversal Extension คืออะไร?



Reversal Extension คือ ช่วงการกลับตัวของแนวโน้ม ที่มักเกิดขึ้นหลังจากการขายอย่างรุนแรงในตลาด (เรียกว่า Capitulation)  

- ในช่วงนี้ ความกลัว ครอบงำตลาด นักลงทุนจำนวนมากตัดสินใจขายหุ้น เพราะไม่สามารถทนต่อการขาดทุนได้อีกต่อไป  


วิธีการระบุ Reversal Extension ด้วยกรอบเวลาหลายระดับ (Multiple Time Frames)

1. ค้นหาระดับแนวรับที่ชัดเจน:  

   - ใช้ กรอบเวลาที่ใหญ่กว่า (Higher Time Frame) เพื่อตรวจสอบแนวรับที่สำคัญ เช่น บริเวณที่ราคามักหยุดลง  

   - แนวรับนี้เป็นจุดที่ราคามีโอกาสกลับตัวหรือฟื้นตัว  


2. สังเกตการเคลื่อนไหวในกรอบเวลาที่เล็กกว่า:  

   - ใน กรอบเวลาที่เล็กกว่า (Lower Time Frame) ราคามักจะเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงและมีการยืดออก (Extended) จากเส้นค่าเฉลี่ย (Moving Averages)  

   - หลังจากนั้น ราคามักจะดีดกลับขึ้นมาสู่เส้นค่าเฉลี่ยอีกครั้ง  


สัญญาณที่บ่งบอกว่าอาจเกิดการกลับตัว

- ความผันผวนสูง (Volatility):  

  ช่วง Reversal Extension มักมีการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรง  

- ปริมาณการซื้อขายสูง (Heavy Volume):  

  การกลับตัวของแนวโน้มมักเกิดพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขาย  


จุดเข้าเทรดที่มีความเสี่ยงต่ำ

- การเข้าเทรดในช่วง Reversal Extension ควรรอให้ราคาปรับตัว "กระชับ" (Tighten) หรือเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ  

- จุดเข้าเทรดที่ดีมักปรากฏใน ช่วง 2-3 วันแรก หลังจากการกลับตัว  

- การรอให้ราคาปรับตัวกระชับช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร  


สรุป: วิธีใช้ Reversal Extension สำหรับนักเทรด

1. ใช้กรอบเวลาหลายระดับเพื่อตรวจสอบแนวรับที่สำคัญ  

2. สังเกตการยืดออกของราคาบนกรอบเวลาที่เล็กกว่า และการดีดกลับสู่เส้นค่าเฉลี่ย  

3. มองหาสัญญาณการกลับตัว เช่น ความผันผวนสูงและปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น  

4. รอจังหวะเข้าเทรดเมื่อราคาปรับตัวกระชับ เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสำเร็จ  


Reversal Extension เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้นักเทรดสามารถใช้ประโยชน์จากการกลับตัวของแนวโน้มได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณฝึกฝนการใช้กรอบเวลาหลายระดับและวิเคราะห์พฤติกรรมของราคา คุณจะสามารถใช้กลยุทธ์นี้เพื่อเพิ่มผลกำไรในระยะยาว!


ตัวอย่างจริง



Wedge Pop: สัญญาณทำเงิน




Wedge Pop คืออะไร?

Wedge Pop คือ จุดแรกที่ราคาหุ้นดีดตัวกลับผ่านเส้นค่าเฉลี่ย (Moving Averages) หลังจากเกิด Reversal Extension  

- หลังจากราคาหุ้นฟื้นตัวครั้งแรกจากจุดต่ำสุด (Initial Bounce)  

- ราคามักจะเคลื่อนไหว ด้านข้าง (Sideways) หรือปรับตัวลงเล็กน้อย  


ทำไมช่วงนี้ถึงสำคัญ?

ช่วงที่ราคาขยับด้านข้างหรือปรับตัวลงเล็กน้อยเป็นโอกาสสำคัญสำหรับการวิเคราะห์ ความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (Relative Strength) ของหุ้นเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดโดยรวม  

- หุ้นที่แสดงความแข็งแกร่งกว่าตลาดในช่วงนี้ มีโอกาสที่จะฟื้นตัวและปรับตัวขึ้นต่ออย่างทรงพลัง


การวิเคราะห์จุด Pivot

- เมื่อ ราคาและเส้นค่าเฉลี่ยเริ่มปรับตัวกระชับ (Tighten):  

  ราคาจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ และเริ่มสร้างจุด Pivot  

- จุด Pivot คือ จุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ราคาอาจทะลุแนวต้านระยะสั้น (Short-term Resistance)  


จุดเข้าเทรด (Entry Point)

- จุดเข้าเทรดที่ชัดเจน:

  เมื่อราคาทะลุแนวต้านระยะสั้นและผ่านขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ย (Reclaiming Moving Averages)  

- การจัดการความเสี่ยง: 

  - การเข้าเทรดในจังหวะนี้ทำให้คุณสามารถกำหนดจุดตัดขาดทุนได้ชัดเจน (เช่น ตั้ง Stop Loss ไว้ใต้แนวรับหรือจุด Pivot)  

  - ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร  


เริ่มต้นเทรนด์ขาขึ้น

หลังจากทะลุแนวต้านและ reclaim เส้นค่าเฉลี่ยได้สำเร็จ หุ้นมักเริ่มเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)  

- นี่เป็นจังหวะที่นักเทรดสามารถ เริ่มถือหุ้นเพื่อทำกำไรจากการปรับตัวขึ้น


สรุป: การใช้ Wedge Pop สำหรับการเทรด

1. รอสัญญาณ: ดูการดีดตัวครั้งแรกผ่านเส้นค่าเฉลี่ยหลังจาก Reversal Extension  

2. สังเกตความแข็งแกร่ง: วิเคราะห์ว่าราคามีความแข็งแกร่งกว่าดัชนีตลาดหรือไม่  

3. จับตาจุด Pivot: เมื่อราคากระชับและสร้างจุด Pivot ให้เตรียมพร้อมสำหรับการทะลุแนวต้าน  

4. เข้าเทรดเมื่อทะลุแนวต้าน: ใช้การ reclaim เส้นค่าเฉลี่ยเป็นสัญญาณเข้าเทรด  

5. ติดตามแนวโน้มขาขึ้น: หลังจากเข้าเทรดแล้ว สามารถถือเพื่อทำกำไรในแนวโน้มขาขึ้นได้  


กลยุทธ์ Wedge Pop เหมาะสำหรับการหาจุดเข้าเทรดที่มีความเสี่ยงต่ำ และสามารถช่วยให้นักเทรดเริ่มต้นในช่วงต้นของแนวโน้มขาขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ!




EMA Crossback: สัญญาณสำคัญถัดไป




EMA Crossback คืออะไร?

EMA Crossback คือ ช่วงที่ราคาทดสอบเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อีกครั้ง (Exponential Moving Average) หลังจากเกิด Wedge Pop  

- ในช่วงนี้ ราคามักจะเคลื่อนไหวในลักษณะ สะสมกำลัง (Consolidation) และกลับมาเคลื่อนไหวใกล้เส้นค่าเฉลี่ย  


พฤติกรรมของราคาในช่วง EMA Crossback

- การปรับตัวกระชับ (Tighten):  

  ราคามักจะปรับตัวเข้าใกล้เส้นค่าเฉลี่ยมากขึ้น  

- การรอแรงซื้อสนับสนุน (Supportive Buying Action):  

  นักเทรดจะเฝ้ารอสัญญาณแรงซื้อที่ช่วยดันราคาให้เริ่มกลับตัวขึ้นอีกครั้ง  


จุดเข้าเทรดครั้งที่สอง

- EMA Crossback เป็น โอกาสในการเข้าเทรดครั้งที่สอง หลังจาก Wedge Pop  

- จุดเข้าเทรดนี้ช่วยให้นักเทรดสามารถ เพิ่มสถานะการถือครองหุ้น (Add to Position) ได้ในระยะเริ่มต้นของวัฏจักรราคา  


ประโยชน์ของ EMA Crossback

- ช่วยสร้างสถานะในช่วงต้นของแนวโน้มราคา: 

  การเข้าเทรดในช่วง EMA Crossback ช่วยให้นักเทรดเริ่มสร้างสถานะในระยะแรกของแนวโน้มขาขึ้น  

- ถือหุ้นได้นานขึ้น (Longer Hold):  

  หากราคาหุ้นยังคงปรับตัวขึ้นต่อ จุดเข้าเทรดนี้ช่วยให้นักเทรดสามารถถือหุ้นในแนวโน้มขาขึ้นได้ในระยะยาว  


สรุป: การใช้ EMA Crossback ในการเทรด

1. รอสัญญาณการทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย: หลังจาก Wedge Pop สังเกตว่าราคาปรับตัวกลับมาที่เส้น EMA  

2. สังเกตแรงซื้อสนับสนุน: รอให้มีสัญญาณแรงซื้อที่ชัดเจนก่อนเข้าเทรด  

3. เพิ่มสถานะการถือครอง: ใช้ EMA Crossback เป็นจุดเข้าเทรดครั้งที่สองเพื่อตั้งตำแหน่งในช่วงต้นของวัฏจักรราคา  

4. ถือหุ้นในระยะยาว: หากหุ้นยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น คุณสามารถใช้จุดนี้เป็นฐานในการถือหุ้นเพื่อสร้างผลกำไรในระยะยาว  


EMA Crossback เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้นักเทรดเพิ่มสถานะการเทรดในจุดที่มีโอกาสสูง โดยไม่ต้องรอจนราคาขึ้นไปสูงเกินไป ช่วยให้การจัดการความเสี่ยงมีประสิทธิภาพมากขึ้น!




Base n’ Break: การเดินทางไปกับแนวโน้ม



Base n’ Break คืออะไร?

Base n’ Break คือ ช่วงที่ราคาหุ้นเคลื่อนไหวด้านข้าง (Sideways Movement) 

- เป็นช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวกระชับ (Tight Basing Patterns) เพื่อให้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เข้ามาใกล้ระดับราคา  

- รูปแบบนี้มักจะพัฒนาเป็น ฐาน (Base) ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์  


ลักษณะของ Base n’ Break

- Base n’ Break สามารถเกิดขึ้นหลายครั้งระหว่างแนวโน้มขาขึ้น  

- มันอาจพัฒนาในหลายสถานการณ์ เช่น:  

  - ก่อนจุดซื้อแบบดั้งเดิม: เช่น การเบรกแนวต้านครั้งสำคัญ  

  - สอดคล้องกับการทะลุ (Breakout) บนกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า: การทะลุแนวต้านเมื่อดูจาก Time Frame ที่ใหญ่กว่า  

  - หลังจากรูปแบบธงแคบ ๆ (Tight Flag Formation): ราคายังคงปรับตัวสูงขึ้นและทำจุดสูงสุดใหม่ (New Highs)  


บทบาทของ Moving Averages

- ในช่วง Base n’ Break เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ยังคง **สนับสนุนแนวโน้มขาขึ้น**  

- Moving Averages ช่วยให้นักเทรดสามารถระบุแนวรับและจุดที่ราคามีโอกาสฟื้นตัว  


การมองหาสัญญาณบวก

- การเคลื่อนไหวของราคาที่แข็งแกร่ง (Positive Price Action): เช่น ราคาทำจุดสูงขึ้นเรื่อย ๆ  

- จุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Lows): ช่วยยืนยันว่าแนวโน้มยังคงแข็งแกร่ง  


การปรับจุดตัดขาดทุน (Trailing Stop)

- เมื่อราคาทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Lows) นักเทรดสามารถปรับจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ขึ้นตามแนวโน้มได้  

- การใช้ Trailing Stop ช่วยให้สามารถล็อกกำไรบางส่วนไว้ได้ในขณะที่ยังคงเดินหน้าตามแนวโน้ม  


---


สรุป: การใช้ Base n’ Break เพื่อเดินทางไปกับแนวโน้ม

1. รอราคาสร้างฐาน: มองหารูปแบบที่ราคากระชับและเคลื่อนไหวด้านข้างในช่วงสั้น ๆ  

2. สังเกตการทะลุแนวต้าน: มองหาการ Breakout ที่สอดคล้องกับกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า  

3. ใช้ Moving Averages เป็นตัวสนับสนุน: สังเกตว่าราคาเคลื่อนที่ใกล้หรืออยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย  

4. ปรับจุดตัดขาดทุนตามแนวโน้ม: ใช้ Trailing Stop เพื่อปกป้องกำไรในขณะที่ยังถือหุ้นต่อไป  


Base n’ Break เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้นักเทรดสามารถเดินทางไปกับแนวโน้มขาขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้โครงสร้างฐานและจุดทะลุแนวต้านเป็นเครื่องมือในการค้นหาโอกาสที่ดีที่สุด!



Exhaustion Extension: จุดสิ้นสุดของแนวโน้ม




Exhaustion Extension คืออะไร?

Exhaustion Extension เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) กำลังจะสิ้นสุดลง  

- มักเกิดจาก ความตื่นเต้นสุดขีดในตลาด (Euphoric Blowoff) ที่ดันราคาให้ขึ้นสูงเกินไปจากเส้นค่าเฉลี่ย (Moving Averages)  

- ราคาขึ้นสูงเกินไปทั้งใน กรอบเวลาที่ใหญ่กว่า (Higher Time Frames) และ กรอบเวลาที่เล็กกว่า (Lower Time Frames)  


การยืนยันสัญญาณ

- ใช้ กรอบเวลาที่ใหญ่กว่า เพื่อยืนยันสัญญาณที่ปรากฏใน กรอบเวลาที่เล็กกว่า  

- ราคาจะยืดออก (Extend) จากเส้นค่าเฉลี่ยอย่างมาก และจากนั้นเริ่ม กลับตัวลง (Reversal) เนื่องจากแรงขายที่เพิ่มขึ้น  


ลักษณะการเคลื่อนไหวในช่วงแนวโน้มขาขึ้น

- ยิ่งแนวโน้มขาขึ้นดำเนินไปนานเท่าใด ราคาจะยืดออกจากเส้นค่าเฉลี่ยบ่อยครั้งมากขึ้น  

- นี่เป็นสัญญาณว่า:  

  - หุ้นอาจกำลังจะสร้างฐานใหม่ (Form Another Base)  

  - หรืออาจถึงจุดสูงสุด (Topped) แล้ว  


หากไม่มีสัญญาณ Exhaustion

ในบางกรณี หุ้นอาจหยุดปรับตัวขึ้นโดยไม่เกิด Exhaustion Extension:  

- ราคาจะเริ่ม เคลื่อนไหวในกรอบแคบ (Tightening of Price)

- จากนั้นอาจเกิดการ ปรับตัวลดลงแบบ Wedge Drop 


สรุป: การใช้ Exhaustion Extension เพื่อตรวจจับจุดสิ้นสุดของแนวโน้ม

1. สังเกตราคาที่ขึ้นเกินเส้นค่าเฉลี่ย: หากราคายืดออกจาก Moving Averages มากเกินไปในกรอบเวลาหลายระดับ อาจเป็นสัญญาณว่าตลาดอยู่ในช่วงท้ายของแนวโน้มขาขึ้น  

2. ยืนยันด้วยกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า: ใช้ Higher Time Frames เพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์  

3. ระวังแรงขายเพิ่มขึ้น: เมื่อราคากลับตัวลงเนื่องจากแรงขายที่มากขึ้น อาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแนวโน้ม  

4. วางแผนสำหรับการสร้างฐานหรือการกลับตัว: หากราคาหยุดขึ้น อาจเกิดการสร้างฐานใหม่หรือเข้าสู่แนวโน้มขาลง  


Exhaustion Extension เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักเทรดที่ต้องการระบุจุดสิ้นสุดของแนวโน้ม และเตรียมตัวสำหรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ!



Wedge Drop: การยืนยันแนวโน้มขาลง


Wedge Drop คืออะไร?

Wedge Drop คือ สัญญาณยืนยันการกลับตัวของแนวโน้มเป็นขาลง (Downtrend)  

- เกิดขึ้นหลังจากช่วง Exhaustion Extension ซึ่งราคาขึ้นสูงเกินไปและเริ่มมีแรงขายเพิ่มขึ้น  

- ราคาจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ (Tight Range) ใกล้กับเส้นค่าเฉลี่ย (Moving Averages) เนื่องจากมีผู้ซื้อรายใหม่เข้ามาน้อยลง  


การยืนยันการกลับตัว

- Wedge Drop เกิดขึ้นเมื่อ:  

  - ราคาตกทะลุเส้นค่าเฉลี่ย (Falls Through Moving Averages)  

  - มีแรงขายจำนวนมาก (Influx of Sellers) เข้ามากดดันราคา  

- การเคลื่อนไหวนี้ยืนยันว่าแนวโน้มกำลังเปลี่ยนจากขาขึ้นเป็นขาลง  


วัฏจักรราคาได้รับการยืนยัน

- การเกิด Wedge Drop บ่งบอกว่า วัฏจักรราคา (Price Cycle) ได้เปลี่ยนแปลงแล้ว  

- แนวโน้มขาลงใหม่ (New Downtrend) เริ่มต้นขึ้น  


หุ้นต้องใช้เวลาสร้างฐานใหม่

หลังจาก Wedge Drop:  

- หุ้นต้องการเวลาในการ สร้างฐานใหม่ (Form a New Base)  

- อาจเกิดจากการเคลื่อนไหวสะสมกำลัง (Consolidation) หลังจากแนวโน้มขาขึ้นก่อนหน้า  

- หรือในบางกรณี หุ้นอาจถึงจุดสูงสุด (Topped) และไม่สามารถฟื้นตัวได้  


สรุป: การใช้ Wedge Drop เพื่อตรวจจับแนวโน้มขาลง

1. สังเกตราคาที่เคลื่อนไหวกระชับ: ดูว่าราคาเริ่มเคลื่อนไหวในกรอบแคบใกล้เส้นค่าเฉลี่ยหรือไม่  

2. จับตาการทะลุลง: เมื่อราคาทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยลงพร้อมแรงขายที่เพิ่มขึ้น นี่เป็นสัญญาณการกลับตัว  

3. เตรียมตัวสำหรับแนวโน้มขาลง: หลังจาก Wedge Drop หุ้นมักเข้าสู่แนวโน้มขาลงหรือเคลื่อนไหวในช่วงสะสมกำลัง  

4. วางแผนการเทรด: หากคุณเป็นนักเทรดที่เน้นการขายชอร์ต (Short Selling) ช่วงนี้อาจเป็นโอกาสที่เหมาะสม  


Wedge Drop เป็นสัญญาณสำคัญที่ช่วยให้นักเทรดระบุการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มได้อย่างชัดเจน และเตรียมกลยุทธ์สำหรับการเทรดในสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลง!




EMA Crossback Downside: การระบุการดีดตัวครั้งแรกในแนวโน้มขาลง



EMA Crossback Downside คืออะไร?

EMA Crossback Downside คือช่วงที่ ราคาพยายามดีดตัวครั้งแรก ในแนวโน้มขาลง (Downtrend)  

- ราคาลดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) แล้ว  

- ราคาพยายามปรับตัวขึ้นเพื่อกลับไปใกล้เส้นค่าเฉลี่ยที่กำลังลดลง แต่ไม่สามารถผ่านได้  


ลักษณะของ EMA Crossback Downside

- เหมือนกับ EMA Crossback ในแนวโน้มขาขึ้น แต่ในกรณีนี้:  

  - การดีดตัวขึ้นจะเผชิญ แรงต้านทาน (Resistance) ที่แข็งแกร่งจากเส้นค่าเฉลี่ย  

  - แทนที่ราคาจะผ่านขึ้นไป ราคากลับถูกแรงขายกดลงมา  


การก่อตัวของแรงต้านทาน

- เมื่อราคาพยายามกลับมาที่เส้นค่าเฉลี่ย (Retest Moving Averages) และเผชิญแรงขายเพิ่มขึ้น (More Sellers Show Up):  

  - แรงต้านทานชัดเจนขึ้น (Resistance Forms): เส้นค่าเฉลี่ยกลายเป็นแนวต้านสำคัญ  

  - ราคาถูกกดลงไปอีกครั้ง (Snap Back Downward)  


การยืนยันแนวโน้มขาลง

- EMA Crossback Downside ช่วยยืนยันว่า แนวโน้มขาลงยังคงดำเนินต่อไป  

- ราคายังไม่สามารถกลับตัวขึ้น และยังคงเผชิญแรงขายที่ต่อเนื่อง  


สรุป: การใช้ EMA Crossback Downside ในการเทรด

1. สังเกตการดีดตัว: หลังจากราคาตกต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย สังเกตว่าราคาพยายามปรับตัวกลับมาที่เส้นค่าเฉลี่ยหรือไม่  

2. มองหาแรงต้านทาน: หากราคาพบแรงต้านที่เส้นค่าเฉลี่ยและไม่สามารถทะลุขึ้นได้ นี่เป็นสัญญาณว่าแนวโน้มขาลงยังคงดำเนินต่อ  

3. รอการยืนยัน: เมื่อราคาถูกกดลงจากแรงต้านและแรงขายเพิ่มขึ้น แนวโน้มขาลงได้รับการยืนยัน  

4. วางแผนเทรด:

   - หากคุณต้องการขายชอร์ต (Short Sell) นี่เป็นจุดที่ดีสำหรับการเข้าตลาด  

   - ระมัดระวังและกำหนดจุดตัดขาดทุนในกรณีที่ราคาสามารถทะลุแนวต้านได้  


EMA Crossback Downside เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับการระบุจุดกลับตัวและแรงต้านในแนวโน้มขาลง ช่วยให้นักเทรดสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างมั่นใจมากขึ้น!


Base n’ Break Downside: การยืนยันแนวโน้มขาลงต่อเนื่อง


Base n’ Break Downside คืออะไร?

Base n’ Break Downside เป็นช่วงที่ ราคาสร้างรูปแบบฐานเล็ก ๆ (Small Basing Patterns) ในขณะที่แนวโน้มราคายังคงลดลง  

- คล้ายกับ Base n’ Break ในแนวโน้มขาขึ้น แต่ในกรณีนี้ ราคาเคลื่อนไหวด้านข้าง (Sideways) เข้าหาเส้นค่าเฉลี่ยที่กำลังลดลง  


บทบาทของเส้นค่าเฉลี่ย (Moving Averages)

- ในช่วง Base n’ Break Downside เส้นค่าเฉลี่ยจะทำหน้าที่เป็น แนวต้าน (Resistance)

- แทนที่จะสนับสนุนราคาเหมือนในแนวโน้มขาขึ้น เส้นค่าเฉลี่ยในที่นี้จะ กดดันให้ราคาลดลงต่อ 


วัฏจักรของราคาที่ดำเนินต่อไป

- ราคายังคงลดลงเป็นลำดับ โดยสร้างฐานเล็ก ๆ หลายครั้งระหว่างทาง  

- รูปแบบนี้เป็นสัญญาณของการ ยืนยันแนวโน้มขาลงต่อเนื่อง  


จุดสิ้นสุดของแนวโน้มขาลง

- ในที่สุด ราคาจะเข้าสู่ Reversal Extension ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาหยุดลดลงและอาจเริ่มกลับตัว  

- การกลับตัวนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของ วัฏจักรราคาใหม่ (Cycle of Price)


สรุป: การใช้ Base n’ Break Downside ในการเทรด

1. จับตาการสร้างฐานเล็ก ๆ : สังเกตว่าราคาสร้างรูปแบบฐานเล็ก ๆ ในขณะที่ยังคงลดลง  

2. ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเป็นแนวต้าน: ระวังเมื่อราคาทดสอบเส้นค่าเฉลี่ยที่ลดลง เพราะนี่มักเป็นจุดที่ราคาโดนแรงขายกดลงต่อ  

3. รอการกลับตัว: ในขณะที่แนวโน้มขาลงยังคงดำเนินต่อ ให้เตรียมพร้อมสำหรับสัญญาณ Reversal Extension ที่บ่งบอกถึงจุดเปลี่ยนของตลาด  

4. วางแผนการเทรด: 

   - ใช้ Base n’ Break Downside เป็นจุดเข้าเทรดหากคุณเน้นขายชอร์ต  

   - กำหนดจุดตัดขาดทุนใกล้แนวต้านเพื่อจัดการความเสี่ยง  


Base n’ Break Downside เป็นรูปแบบสำคัญสำหรับนักเทรดที่ต้องการยืนยันแนวโน้มขาลงและวางแผนการเทรดอย่างรอบคอบในสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลง!




แนวทางการเทรดของ Oliver Kell: การใช้ราคาและปริมาณการซื้อขายเป็นตัวนำทาง


1. การเลือกหุ้นที่มีศักยภาพสูง

Oliver Kell มองหาหุ้นที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด (Game-changing Growth Stocks)  

- หุ้นเหล่านี้ต้องมีการเพิ่มขึ้นอย่างมากใน กำไร (Earnings) และ ยอดขาย (Sales)  

- อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของเขาอาศัย ราคา (Price) และ ปริมาณการซื้อขาย (Volume) เป็นตัวชี้นำ  


2. ราคาคือรากฐานของทุกสิ่ง

- การเคลื่อนไหวของราคา (Price Action) เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญที่สุด  

- กราฟที่เรียบง่ายและชัดเจนช่วยให้นักเทรดมุ่งเน้นไปที่ราคาซึ่งเป็นตัวชี้วัดอันดับหนึ่ง  


แนวคิดพื้นฐาน: 

- ตลาดขึ้น: เมื่อมีผู้ซื้อมากกว่าผู้ขาย  

- ตลาดลง: เมื่อมีผู้ขายมากกว่าผู้ซื้อ  


มันง่ายแค่นั้นเอง!  


3. ปริมาณการซื้อขายยืนยันการเคลื่อนไหวของราคา

- ปริมาณการซื้อขาย (Volume): เป็นตัวช่วยยืนยันทิศทางของราคาในช่วงสำคัญ เช่น:  

  - จุดเริ่มต้นของวัฏจักรราคา  

  - การทะลุแนวต้าน (Pivot)  

  - การกลับตัวของราคา  


แนวคิด:  

- Volume = Price, Cause = Effect  


4. เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ช่วยบอกแนวโน้ม

- เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เป็นตัวชี้วัดรองที่ติดตามราคาและแสดงทิศทางของแนวโน้ม  

- ช่วยให้นักเทรดมองเห็นแนวรับและแนวต้านเมื่อราคาสร้างจุด Pivot  


ตัวอย่างเส้นค่าเฉลี่ยที่ Oliver ใช้:

- 10 และ 20 วัน (Exponential Moving Averages): ช่วยนำทางแนวโน้มระยะกลาง  

- 50 และ 200 วัน (Simple Moving Averages): ช่วยบ่งชี้แนวโน้มระยะยาว  


5. การใช้กรอบเวลาหลายระดับ (Multiple Time Frames)

Oliver ใช้กรอบเวลาหลายระดับเพื่อตรวจสอบการเคลื่อนไหวของราคา:  

- กราฟรายสัปดาห์ (Weekly Charts): เพื่อดูภาพรวมใหญ่  

- กราฟรายวัน (Daily Charts): เพื่อจัดการการเทรด  

- กราฟรายชั่วโมงและ 15 นาที: เพื่อกำหนดจังหวะเข้าเทรด  


คำแนะนำ: 

- ระวังการใช้กรอบเวลาที่เล็กเกินไป เพราะอาจทำให้คุณ เทรดมากเกินไป (Overtrading)  

- ให้ดูภาพรวมจากกรอบเวลาที่ใหญ่กว่าเพื่อวางแผน และใช้กรอบเวลาที่เล็กกว่าเพื่อดำเนินการ  


6. การรวมแนวทางทั้งหมดเข้าด้วยกัน

ขั้นตอนสำคัญ:  

1. เลือกหุ้นที่เหมาะสม: หุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง  

2. ใช้จังหวะของโมเมนตัม: เข้าเทรดในช่วงเวลาที่เหมาะสม  

3. จัดการความเสี่ยง: ใช้การกำหนดขนาดตำแหน่ง (Position Sizing) และตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss)  


การเพิ่มกำไร:  

- เข้าใจว่าหุ้นอยู่ใน วัฏจักรราคา (Price Cycle) ส่วนใด  

- ต้นวัฏจักร: ให้ความอดทน  

- ปลายวัฏจักร: เร่งล็อกกำไรให้เร็วขึ้น  


ถ้าราคาหุ้นถึงจุดสูงสุดแล้วเริ่มลดลง:  

- ออกจากตลาดและรอให้วัฏจักรราคาเริ่มใหม่ก่อนจะกลับเข้าไป  



สนับสนุนโดย อีบุ๊ค "เคล็ดลึก สวิงเทรด ให้ได้กำไรสม่ำเสมอ"  https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTk5MjQzNSI7czo3OiJib29rX2lkIjtpOjMzNjYyMjt9 


บทสรุป: การเทรดตาม Cycle of Price Action ของ Oliver Kell

1. ใช้ วัฏจักรราคา เพื่อระบุจุดเข้าและออกที่เหมาะสม  

2. ลดความเสี่ยงด้วยการวางแผนและการจัดการอย่างมีวินัย  

3. ใช้กรอบเวลาหลายระดับเพื่อมองภาพรวมและดำเนินการเทรด  


ผลลัพธ์:

คุณจะสามารถ ปรับตัวตามตลาด ลดความเสี่ยง และตัดสินใจเทรดได้อย่างชาญฉลาด!


ตัวอย่างจริง


(โฆษณา)

ถ้าท่านชื่นชอบเนื้อหาแบบนี้ แล้วอยากให้มีบ่อย ๆ สนับสนุนผลงานของผมหน่อยนะครับ


eBook มีจจำหน่ายที่แอพ Meb


https://www.mebmarket.com/index.php?action=search_book&type=author_name&search=%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%20%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87&auto_search_id=&exact_keyword=1&page_no=1


หนังสือเล่มมีจำหน่ายที่ https://www.facebook.com/zyobooks


7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

VCP (Volatility Contraction Pattern) และรูปแบบที่คล้ายกัน

แชร์วิธีการหารายได้จากการช่วยขาย ebook ที่ mebmarket.com