วิธีเทรดที่ Deepak Uppal สามารถทำกำไรระดับ 100%++ ได้

Image
วิธีเทรดที่ Deepak Uppal สามารถทำกำไรระดับ 100%++ ได้ ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่เขาทำเพื่อให้ประสบความสำเร็จคือ: 1) มีกรอบความคิดผู้ชนะและเป็นบวก (Positive Mindset) – นี่คือปัจจัยสำคัญที่สุด ถ้าคุณไม่มีสิ่งนี้ มันจะยากมากที่จะบรรลุเป้าหมายการเทรดของคุณ . 2) สร้างกฎสำหรับตัวเอง (Create Rules) – แต่ต้องเป็นกฎที่เรียบง่าย เข้าใจง่าย และสามารถจดจำได้โดยไม่ต้องคิดเยอะ . 3) ระบุธีมของตลาดและผู้นำตลาด (Market Themes & Leaders) – เริ่มต้นปีโดยหาธีมที่แข็งแกร่งและหุ้นที่เป็นผู้นำ แล้วให้ความสนใจกับหุ้นเหล่านั้น . 4) โฟกัสพอร์ตของคุณไปที่หุ้นที่มีแนวโน้มดี (Concentrate Your Portfolio) – อย่ากระจายการลงทุนมากเกินไป ให้เลือกหุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูง . 5) หาจุดเข้าซื้อที่เหมาะสม (Identify Good Setups & Entries) – ต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรเข้าและออกจากตลาด . 6) ทำซ้ำกระบวนการนี้ (Rinse & Repeat) – เทรดตามกลยุทธ์ที่พิสูจน์แล้วว่าทำงานได้ดี eBook : คิดและสวิงเทรดเป็นระบบแบบพี่แดน (Dan Zanger) มีจำหน่ายที่แอพ Meb ที่เดียว https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&da...

Oliver Kell: วงจรของการเคลื่อนไหวของราคา (Cycle of Price Action)

วงจรของการเคลื่อนไหวของราคา (Cycle of Price Action)

แปลจาก https://traderlion.com/technical-analysis/chart-patterns/cycle-of-price-action-by-oliver-kell/

Oliver Kell เป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ โดยเขาทำผลตอบแทนได้ถึง 941% ในการแข่งขันเทรด U.S. Investing Championship ปี 2020  

ด้วยประสบการณ์การเทรดที่ยาวนาน เขาได้พัฒนากลยุทธ์ที่สามารถทำกำไรได้ทั้งในช่วงตลาดขาขึ้น (Uptrend) และตลาดขาลง (Downtrend)  


ภาพรวมของกลยุทธ์ Cycle of Price Action

กลยุทธ์ Cycle of Price Action ของ Oliver Kell เน้นการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)  

- เป้าหมาย: ช่วยให้นักเทรดสามารถระบุแนวโน้มของราคาได้อย่างชัดเจน  

- วิธีการ: มุ่งเน้นที่สัญญาณ การสะสม (Accumulation) และ การแจกจ่าย (Distribution) บนกราฟหุ้น  


กลยุทธ์ที่เหมาะกับทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง

กลยุทธ์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ได้ในทุกสภาพตลาด:  

- ในตลาดขาขึ้น: ช่วยค้นหาหุ้นที่มีศักยภาพสูง  

- ในตลาดขาลง: ช่วยลดความเสี่ยงและหาจุดเข้าเทรดที่มีโอกาสทำกำไร  


จุดเด่นของกลยุทธ์

1. มองข้ามข่าวและความผันผวนระยะสั้น:  

   Oliver Kell ใช้กลยุทธ์ที่ไม่สนใจกับรายงานผลประกอบการ ข่าว หรือข่าวลือ แต่เน้นที่โครงสร้างราคาจริง  


2. หาโอกาสที่ชัดเจน:  

   ใช้สัญญาณการสะสมและการกระจายตัวเพื่อระบุจุดซื้อขายที่มีความเสี่ยงต่ำ  


3. พิมพ์เขียวสำหรับการค้นหาหุ้นที่มีศักยภาพสูง:  

   กลยุทธ์นี้เปรียบเสมือนแผนที่นำทางในการค้นหาหุ้นที่เหมาะสมกับสภาพตลาด  


กลยุทธ์ Cycle of Price Action เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักเทรดทุกระดับ เพราะช่วยลดความซับซ้อนในการตัดสินใจและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะยาว  


หากคุณต้องการเริ่มต้นพัฒนาทักษะการเทรด การศึกษาแนวคิดของ Oliver Kell และการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคา จะช่วยสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จ!






Reversal Extension คืออะไร?



Reversal Extension คือ ช่วงการกลับตัวของแนวโน้ม ที่มักเกิดขึ้นหลังจากการขายอย่างรุนแรงในตลาด (เรียกว่า Capitulation)  

- ในช่วงนี้ ความกลัว ครอบงำตลาด นักลงทุนจำนวนมากตัดสินใจขายหุ้น เพราะไม่สามารถทนต่อการขาดทุนได้อีกต่อไป  


วิธีการระบุ Reversal Extension ด้วยกรอบเวลาหลายระดับ (Multiple Time Frames)

1. ค้นหาระดับแนวรับที่ชัดเจน:  

   - ใช้ กรอบเวลาที่ใหญ่กว่า (Higher Time Frame) เพื่อตรวจสอบแนวรับที่สำคัญ เช่น บริเวณที่ราคามักหยุดลง  

   - แนวรับนี้เป็นจุดที่ราคามีโอกาสกลับตัวหรือฟื้นตัว  


2. สังเกตการเคลื่อนไหวในกรอบเวลาที่เล็กกว่า:  

   - ใน กรอบเวลาที่เล็กกว่า (Lower Time Frame) ราคามักจะเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงและมีการยืดออก (Extended) จากเส้นค่าเฉลี่ย (Moving Averages)  

   - หลังจากนั้น ราคามักจะดีดกลับขึ้นมาสู่เส้นค่าเฉลี่ยอีกครั้ง  


สัญญาณที่บ่งบอกว่าอาจเกิดการกลับตัว

- ความผันผวนสูง (Volatility):  

  ช่วง Reversal Extension มักมีการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรง  

- ปริมาณการซื้อขายสูง (Heavy Volume):  

  การกลับตัวของแนวโน้มมักเกิดพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขาย  


จุดเข้าเทรดที่มีความเสี่ยงต่ำ

- การเข้าเทรดในช่วง Reversal Extension ควรรอให้ราคาปรับตัว "กระชับ" (Tighten) หรือเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ  

- จุดเข้าเทรดที่ดีมักปรากฏใน ช่วง 2-3 วันแรก หลังจากการกลับตัว  

- การรอให้ราคาปรับตัวกระชับช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร  


สรุป: วิธีใช้ Reversal Extension สำหรับนักเทรด

1. ใช้กรอบเวลาหลายระดับเพื่อตรวจสอบแนวรับที่สำคัญ  

2. สังเกตการยืดออกของราคาบนกรอบเวลาที่เล็กกว่า และการดีดกลับสู่เส้นค่าเฉลี่ย  

3. มองหาสัญญาณการกลับตัว เช่น ความผันผวนสูงและปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น  

4. รอจังหวะเข้าเทรดเมื่อราคาปรับตัวกระชับ เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสำเร็จ  


Reversal Extension เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้นักเทรดสามารถใช้ประโยชน์จากการกลับตัวของแนวโน้มได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณฝึกฝนการใช้กรอบเวลาหลายระดับและวิเคราะห์พฤติกรรมของราคา คุณจะสามารถใช้กลยุทธ์นี้เพื่อเพิ่มผลกำไรในระยะยาว!


ตัวอย่างจริง



Wedge Pop: สัญญาณทำเงิน




Wedge Pop คืออะไร?

Wedge Pop คือ จุดแรกที่ราคาหุ้นดีดตัวกลับผ่านเส้นค่าเฉลี่ย (Moving Averages) หลังจากเกิด Reversal Extension  

- หลังจากราคาหุ้นฟื้นตัวครั้งแรกจากจุดต่ำสุด (Initial Bounce)  

- ราคามักจะเคลื่อนไหว ด้านข้าง (Sideways) หรือปรับตัวลงเล็กน้อย  


ทำไมช่วงนี้ถึงสำคัญ?

ช่วงที่ราคาขยับด้านข้างหรือปรับตัวลงเล็กน้อยเป็นโอกาสสำคัญสำหรับการวิเคราะห์ ความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (Relative Strength) ของหุ้นเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดโดยรวม  

- หุ้นที่แสดงความแข็งแกร่งกว่าตลาดในช่วงนี้ มีโอกาสที่จะฟื้นตัวและปรับตัวขึ้นต่ออย่างทรงพลัง


การวิเคราะห์จุด Pivot

- เมื่อ ราคาและเส้นค่าเฉลี่ยเริ่มปรับตัวกระชับ (Tighten):  

  ราคาจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ และเริ่มสร้างจุด Pivot  

- จุด Pivot คือ จุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ราคาอาจทะลุแนวต้านระยะสั้น (Short-term Resistance)  


จุดเข้าเทรด (Entry Point)

- จุดเข้าเทรดที่ชัดเจน:

  เมื่อราคาทะลุแนวต้านระยะสั้นและผ่านขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ย (Reclaiming Moving Averages)  

- การจัดการความเสี่ยง: 

  - การเข้าเทรดในจังหวะนี้ทำให้คุณสามารถกำหนดจุดตัดขาดทุนได้ชัดเจน (เช่น ตั้ง Stop Loss ไว้ใต้แนวรับหรือจุด Pivot)  

  - ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร  


เริ่มต้นเทรนด์ขาขึ้น

หลังจากทะลุแนวต้านและ reclaim เส้นค่าเฉลี่ยได้สำเร็จ หุ้นมักเริ่มเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)  

- นี่เป็นจังหวะที่นักเทรดสามารถ เริ่มถือหุ้นเพื่อทำกำไรจากการปรับตัวขึ้น


สรุป: การใช้ Wedge Pop สำหรับการเทรด

1. รอสัญญาณ: ดูการดีดตัวครั้งแรกผ่านเส้นค่าเฉลี่ยหลังจาก Reversal Extension  

2. สังเกตความแข็งแกร่ง: วิเคราะห์ว่าราคามีความแข็งแกร่งกว่าดัชนีตลาดหรือไม่  

3. จับตาจุด Pivot: เมื่อราคากระชับและสร้างจุด Pivot ให้เตรียมพร้อมสำหรับการทะลุแนวต้าน  

4. เข้าเทรดเมื่อทะลุแนวต้าน: ใช้การ reclaim เส้นค่าเฉลี่ยเป็นสัญญาณเข้าเทรด  

5. ติดตามแนวโน้มขาขึ้น: หลังจากเข้าเทรดแล้ว สามารถถือเพื่อทำกำไรในแนวโน้มขาขึ้นได้  


กลยุทธ์ Wedge Pop เหมาะสำหรับการหาจุดเข้าเทรดที่มีความเสี่ยงต่ำ และสามารถช่วยให้นักเทรดเริ่มต้นในช่วงต้นของแนวโน้มขาขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ!




EMA Crossback: สัญญาณสำคัญถัดไป




EMA Crossback คืออะไร?

EMA Crossback คือ ช่วงที่ราคาทดสอบเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อีกครั้ง (Exponential Moving Average) หลังจากเกิด Wedge Pop  

- ในช่วงนี้ ราคามักจะเคลื่อนไหวในลักษณะ สะสมกำลัง (Consolidation) และกลับมาเคลื่อนไหวใกล้เส้นค่าเฉลี่ย  


พฤติกรรมของราคาในช่วง EMA Crossback

- การปรับตัวกระชับ (Tighten):  

  ราคามักจะปรับตัวเข้าใกล้เส้นค่าเฉลี่ยมากขึ้น  

- การรอแรงซื้อสนับสนุน (Supportive Buying Action):  

  นักเทรดจะเฝ้ารอสัญญาณแรงซื้อที่ช่วยดันราคาให้เริ่มกลับตัวขึ้นอีกครั้ง  


จุดเข้าเทรดครั้งที่สอง

- EMA Crossback เป็น โอกาสในการเข้าเทรดครั้งที่สอง หลังจาก Wedge Pop  

- จุดเข้าเทรดนี้ช่วยให้นักเทรดสามารถ เพิ่มสถานะการถือครองหุ้น (Add to Position) ได้ในระยะเริ่มต้นของวัฏจักรราคา  


ประโยชน์ของ EMA Crossback

- ช่วยสร้างสถานะในช่วงต้นของแนวโน้มราคา: 

  การเข้าเทรดในช่วง EMA Crossback ช่วยให้นักเทรดเริ่มสร้างสถานะในระยะแรกของแนวโน้มขาขึ้น  

- ถือหุ้นได้นานขึ้น (Longer Hold):  

  หากราคาหุ้นยังคงปรับตัวขึ้นต่อ จุดเข้าเทรดนี้ช่วยให้นักเทรดสามารถถือหุ้นในแนวโน้มขาขึ้นได้ในระยะยาว  


สรุป: การใช้ EMA Crossback ในการเทรด

1. รอสัญญาณการทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย: หลังจาก Wedge Pop สังเกตว่าราคาปรับตัวกลับมาที่เส้น EMA  

2. สังเกตแรงซื้อสนับสนุน: รอให้มีสัญญาณแรงซื้อที่ชัดเจนก่อนเข้าเทรด  

3. เพิ่มสถานะการถือครอง: ใช้ EMA Crossback เป็นจุดเข้าเทรดครั้งที่สองเพื่อตั้งตำแหน่งในช่วงต้นของวัฏจักรราคา  

4. ถือหุ้นในระยะยาว: หากหุ้นยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น คุณสามารถใช้จุดนี้เป็นฐานในการถือหุ้นเพื่อสร้างผลกำไรในระยะยาว  


EMA Crossback เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้นักเทรดเพิ่มสถานะการเทรดในจุดที่มีโอกาสสูง โดยไม่ต้องรอจนราคาขึ้นไปสูงเกินไป ช่วยให้การจัดการความเสี่ยงมีประสิทธิภาพมากขึ้น!




Base n’ Break: การเดินทางไปกับแนวโน้ม



Base n’ Break คืออะไร?

Base n’ Break คือ ช่วงที่ราคาหุ้นเคลื่อนไหวด้านข้าง (Sideways Movement) 

- เป็นช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวกระชับ (Tight Basing Patterns) เพื่อให้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เข้ามาใกล้ระดับราคา  

- รูปแบบนี้มักจะพัฒนาเป็น ฐาน (Base) ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์  


ลักษณะของ Base n’ Break

- Base n’ Break สามารถเกิดขึ้นหลายครั้งระหว่างแนวโน้มขาขึ้น  

- มันอาจพัฒนาในหลายสถานการณ์ เช่น:  

  - ก่อนจุดซื้อแบบดั้งเดิม: เช่น การเบรกแนวต้านครั้งสำคัญ  

  - สอดคล้องกับการทะลุ (Breakout) บนกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า: การทะลุแนวต้านเมื่อดูจาก Time Frame ที่ใหญ่กว่า  

  - หลังจากรูปแบบธงแคบ ๆ (Tight Flag Formation): ราคายังคงปรับตัวสูงขึ้นและทำจุดสูงสุดใหม่ (New Highs)  


บทบาทของ Moving Averages

- ในช่วง Base n’ Break เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ยังคง **สนับสนุนแนวโน้มขาขึ้น**  

- Moving Averages ช่วยให้นักเทรดสามารถระบุแนวรับและจุดที่ราคามีโอกาสฟื้นตัว  


การมองหาสัญญาณบวก

- การเคลื่อนไหวของราคาที่แข็งแกร่ง (Positive Price Action): เช่น ราคาทำจุดสูงขึ้นเรื่อย ๆ  

- จุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Lows): ช่วยยืนยันว่าแนวโน้มยังคงแข็งแกร่ง  


การปรับจุดตัดขาดทุน (Trailing Stop)

- เมื่อราคาทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Lows) นักเทรดสามารถปรับจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ขึ้นตามแนวโน้มได้  

- การใช้ Trailing Stop ช่วยให้สามารถล็อกกำไรบางส่วนไว้ได้ในขณะที่ยังคงเดินหน้าตามแนวโน้ม  


---


สรุป: การใช้ Base n’ Break เพื่อเดินทางไปกับแนวโน้ม

1. รอราคาสร้างฐาน: มองหารูปแบบที่ราคากระชับและเคลื่อนไหวด้านข้างในช่วงสั้น ๆ  

2. สังเกตการทะลุแนวต้าน: มองหาการ Breakout ที่สอดคล้องกับกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า  

3. ใช้ Moving Averages เป็นตัวสนับสนุน: สังเกตว่าราคาเคลื่อนที่ใกล้หรืออยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย  

4. ปรับจุดตัดขาดทุนตามแนวโน้ม: ใช้ Trailing Stop เพื่อปกป้องกำไรในขณะที่ยังถือหุ้นต่อไป  


Base n’ Break เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้นักเทรดสามารถเดินทางไปกับแนวโน้มขาขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้โครงสร้างฐานและจุดทะลุแนวต้านเป็นเครื่องมือในการค้นหาโอกาสที่ดีที่สุด!



Exhaustion Extension: จุดสิ้นสุดของแนวโน้ม




Exhaustion Extension คืออะไร?

Exhaustion Extension เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) กำลังจะสิ้นสุดลง  

- มักเกิดจาก ความตื่นเต้นสุดขีดในตลาด (Euphoric Blowoff) ที่ดันราคาให้ขึ้นสูงเกินไปจากเส้นค่าเฉลี่ย (Moving Averages)  

- ราคาขึ้นสูงเกินไปทั้งใน กรอบเวลาที่ใหญ่กว่า (Higher Time Frames) และ กรอบเวลาที่เล็กกว่า (Lower Time Frames)  


การยืนยันสัญญาณ

- ใช้ กรอบเวลาที่ใหญ่กว่า เพื่อยืนยันสัญญาณที่ปรากฏใน กรอบเวลาที่เล็กกว่า  

- ราคาจะยืดออก (Extend) จากเส้นค่าเฉลี่ยอย่างมาก และจากนั้นเริ่ม กลับตัวลง (Reversal) เนื่องจากแรงขายที่เพิ่มขึ้น  


ลักษณะการเคลื่อนไหวในช่วงแนวโน้มขาขึ้น

- ยิ่งแนวโน้มขาขึ้นดำเนินไปนานเท่าใด ราคาจะยืดออกจากเส้นค่าเฉลี่ยบ่อยครั้งมากขึ้น  

- นี่เป็นสัญญาณว่า:  

  - หุ้นอาจกำลังจะสร้างฐานใหม่ (Form Another Base)  

  - หรืออาจถึงจุดสูงสุด (Topped) แล้ว  


หากไม่มีสัญญาณ Exhaustion

ในบางกรณี หุ้นอาจหยุดปรับตัวขึ้นโดยไม่เกิด Exhaustion Extension:  

- ราคาจะเริ่ม เคลื่อนไหวในกรอบแคบ (Tightening of Price)

- จากนั้นอาจเกิดการ ปรับตัวลดลงแบบ Wedge Drop 


สรุป: การใช้ Exhaustion Extension เพื่อตรวจจับจุดสิ้นสุดของแนวโน้ม

1. สังเกตราคาที่ขึ้นเกินเส้นค่าเฉลี่ย: หากราคายืดออกจาก Moving Averages มากเกินไปในกรอบเวลาหลายระดับ อาจเป็นสัญญาณว่าตลาดอยู่ในช่วงท้ายของแนวโน้มขาขึ้น  

2. ยืนยันด้วยกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า: ใช้ Higher Time Frames เพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์  

3. ระวังแรงขายเพิ่มขึ้น: เมื่อราคากลับตัวลงเนื่องจากแรงขายที่มากขึ้น อาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแนวโน้ม  

4. วางแผนสำหรับการสร้างฐานหรือการกลับตัว: หากราคาหยุดขึ้น อาจเกิดการสร้างฐานใหม่หรือเข้าสู่แนวโน้มขาลง  


Exhaustion Extension เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักเทรดที่ต้องการระบุจุดสิ้นสุดของแนวโน้ม และเตรียมตัวสำหรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ!



Wedge Drop: การยืนยันแนวโน้มขาลง


Wedge Drop คืออะไร?

Wedge Drop คือ สัญญาณยืนยันการกลับตัวของแนวโน้มเป็นขาลง (Downtrend)  

- เกิดขึ้นหลังจากช่วง Exhaustion Extension ซึ่งราคาขึ้นสูงเกินไปและเริ่มมีแรงขายเพิ่มขึ้น  

- ราคาจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ (Tight Range) ใกล้กับเส้นค่าเฉลี่ย (Moving Averages) เนื่องจากมีผู้ซื้อรายใหม่เข้ามาน้อยลง  


การยืนยันการกลับตัว

- Wedge Drop เกิดขึ้นเมื่อ:  

  - ราคาตกทะลุเส้นค่าเฉลี่ย (Falls Through Moving Averages)  

  - มีแรงขายจำนวนมาก (Influx of Sellers) เข้ามากดดันราคา  

- การเคลื่อนไหวนี้ยืนยันว่าแนวโน้มกำลังเปลี่ยนจากขาขึ้นเป็นขาลง  


วัฏจักรราคาได้รับการยืนยัน

- การเกิด Wedge Drop บ่งบอกว่า วัฏจักรราคา (Price Cycle) ได้เปลี่ยนแปลงแล้ว  

- แนวโน้มขาลงใหม่ (New Downtrend) เริ่มต้นขึ้น  


หุ้นต้องใช้เวลาสร้างฐานใหม่

หลังจาก Wedge Drop:  

- หุ้นต้องการเวลาในการ สร้างฐานใหม่ (Form a New Base)  

- อาจเกิดจากการเคลื่อนไหวสะสมกำลัง (Consolidation) หลังจากแนวโน้มขาขึ้นก่อนหน้า  

- หรือในบางกรณี หุ้นอาจถึงจุดสูงสุด (Topped) และไม่สามารถฟื้นตัวได้  


สรุป: การใช้ Wedge Drop เพื่อตรวจจับแนวโน้มขาลง

1. สังเกตราคาที่เคลื่อนไหวกระชับ: ดูว่าราคาเริ่มเคลื่อนไหวในกรอบแคบใกล้เส้นค่าเฉลี่ยหรือไม่  

2. จับตาการทะลุลง: เมื่อราคาทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยลงพร้อมแรงขายที่เพิ่มขึ้น นี่เป็นสัญญาณการกลับตัว  

3. เตรียมตัวสำหรับแนวโน้มขาลง: หลังจาก Wedge Drop หุ้นมักเข้าสู่แนวโน้มขาลงหรือเคลื่อนไหวในช่วงสะสมกำลัง  

4. วางแผนการเทรด: หากคุณเป็นนักเทรดที่เน้นการขายชอร์ต (Short Selling) ช่วงนี้อาจเป็นโอกาสที่เหมาะสม  


Wedge Drop เป็นสัญญาณสำคัญที่ช่วยให้นักเทรดระบุการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มได้อย่างชัดเจน และเตรียมกลยุทธ์สำหรับการเทรดในสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลง!




EMA Crossback Downside: การระบุการดีดตัวครั้งแรกในแนวโน้มขาลง



EMA Crossback Downside คืออะไร?

EMA Crossback Downside คือช่วงที่ ราคาพยายามดีดตัวครั้งแรก ในแนวโน้มขาลง (Downtrend)  

- ราคาลดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) แล้ว  

- ราคาพยายามปรับตัวขึ้นเพื่อกลับไปใกล้เส้นค่าเฉลี่ยที่กำลังลดลง แต่ไม่สามารถผ่านได้  


ลักษณะของ EMA Crossback Downside

- เหมือนกับ EMA Crossback ในแนวโน้มขาขึ้น แต่ในกรณีนี้:  

  - การดีดตัวขึ้นจะเผชิญ แรงต้านทาน (Resistance) ที่แข็งแกร่งจากเส้นค่าเฉลี่ย  

  - แทนที่ราคาจะผ่านขึ้นไป ราคากลับถูกแรงขายกดลงมา  


การก่อตัวของแรงต้านทาน

- เมื่อราคาพยายามกลับมาที่เส้นค่าเฉลี่ย (Retest Moving Averages) และเผชิญแรงขายเพิ่มขึ้น (More Sellers Show Up):  

  - แรงต้านทานชัดเจนขึ้น (Resistance Forms): เส้นค่าเฉลี่ยกลายเป็นแนวต้านสำคัญ  

  - ราคาถูกกดลงไปอีกครั้ง (Snap Back Downward)  


การยืนยันแนวโน้มขาลง

- EMA Crossback Downside ช่วยยืนยันว่า แนวโน้มขาลงยังคงดำเนินต่อไป  

- ราคายังไม่สามารถกลับตัวขึ้น และยังคงเผชิญแรงขายที่ต่อเนื่อง  


สรุป: การใช้ EMA Crossback Downside ในการเทรด

1. สังเกตการดีดตัว: หลังจากราคาตกต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย สังเกตว่าราคาพยายามปรับตัวกลับมาที่เส้นค่าเฉลี่ยหรือไม่  

2. มองหาแรงต้านทาน: หากราคาพบแรงต้านที่เส้นค่าเฉลี่ยและไม่สามารถทะลุขึ้นได้ นี่เป็นสัญญาณว่าแนวโน้มขาลงยังคงดำเนินต่อ  

3. รอการยืนยัน: เมื่อราคาถูกกดลงจากแรงต้านและแรงขายเพิ่มขึ้น แนวโน้มขาลงได้รับการยืนยัน  

4. วางแผนเทรด:

   - หากคุณต้องการขายชอร์ต (Short Sell) นี่เป็นจุดที่ดีสำหรับการเข้าตลาด  

   - ระมัดระวังและกำหนดจุดตัดขาดทุนในกรณีที่ราคาสามารถทะลุแนวต้านได้  


EMA Crossback Downside เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับการระบุจุดกลับตัวและแรงต้านในแนวโน้มขาลง ช่วยให้นักเทรดสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างมั่นใจมากขึ้น!


Base n’ Break Downside: การยืนยันแนวโน้มขาลงต่อเนื่อง


Base n’ Break Downside คืออะไร?

Base n’ Break Downside เป็นช่วงที่ ราคาสร้างรูปแบบฐานเล็ก ๆ (Small Basing Patterns) ในขณะที่แนวโน้มราคายังคงลดลง  

- คล้ายกับ Base n’ Break ในแนวโน้มขาขึ้น แต่ในกรณีนี้ ราคาเคลื่อนไหวด้านข้าง (Sideways) เข้าหาเส้นค่าเฉลี่ยที่กำลังลดลง  


บทบาทของเส้นค่าเฉลี่ย (Moving Averages)

- ในช่วง Base n’ Break Downside เส้นค่าเฉลี่ยจะทำหน้าที่เป็น แนวต้าน (Resistance)

- แทนที่จะสนับสนุนราคาเหมือนในแนวโน้มขาขึ้น เส้นค่าเฉลี่ยในที่นี้จะ กดดันให้ราคาลดลงต่อ 


วัฏจักรของราคาที่ดำเนินต่อไป

- ราคายังคงลดลงเป็นลำดับ โดยสร้างฐานเล็ก ๆ หลายครั้งระหว่างทาง  

- รูปแบบนี้เป็นสัญญาณของการ ยืนยันแนวโน้มขาลงต่อเนื่อง  


จุดสิ้นสุดของแนวโน้มขาลง

- ในที่สุด ราคาจะเข้าสู่ Reversal Extension ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาหยุดลดลงและอาจเริ่มกลับตัว  

- การกลับตัวนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของ วัฏจักรราคาใหม่ (Cycle of Price)


สรุป: การใช้ Base n’ Break Downside ในการเทรด

1. จับตาการสร้างฐานเล็ก ๆ : สังเกตว่าราคาสร้างรูปแบบฐานเล็ก ๆ ในขณะที่ยังคงลดลง  

2. ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเป็นแนวต้าน: ระวังเมื่อราคาทดสอบเส้นค่าเฉลี่ยที่ลดลง เพราะนี่มักเป็นจุดที่ราคาโดนแรงขายกดลงต่อ  

3. รอการกลับตัว: ในขณะที่แนวโน้มขาลงยังคงดำเนินต่อ ให้เตรียมพร้อมสำหรับสัญญาณ Reversal Extension ที่บ่งบอกถึงจุดเปลี่ยนของตลาด  

4. วางแผนการเทรด: 

   - ใช้ Base n’ Break Downside เป็นจุดเข้าเทรดหากคุณเน้นขายชอร์ต  

   - กำหนดจุดตัดขาดทุนใกล้แนวต้านเพื่อจัดการความเสี่ยง  


Base n’ Break Downside เป็นรูปแบบสำคัญสำหรับนักเทรดที่ต้องการยืนยันแนวโน้มขาลงและวางแผนการเทรดอย่างรอบคอบในสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลง!




แนวทางการเทรดของ Oliver Kell: การใช้ราคาและปริมาณการซื้อขายเป็นตัวนำทาง


1. การเลือกหุ้นที่มีศักยภาพสูง

Oliver Kell มองหาหุ้นที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด (Game-changing Growth Stocks)  

- หุ้นเหล่านี้ต้องมีการเพิ่มขึ้นอย่างมากใน กำไร (Earnings) และ ยอดขาย (Sales)  

- อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของเขาอาศัย ราคา (Price) และ ปริมาณการซื้อขาย (Volume) เป็นตัวชี้นำ  


2. ราคาคือรากฐานของทุกสิ่ง

- การเคลื่อนไหวของราคา (Price Action) เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญที่สุด  

- กราฟที่เรียบง่ายและชัดเจนช่วยให้นักเทรดมุ่งเน้นไปที่ราคาซึ่งเป็นตัวชี้วัดอันดับหนึ่ง  


แนวคิดพื้นฐาน: 

- ตลาดขึ้น: เมื่อมีผู้ซื้อมากกว่าผู้ขาย  

- ตลาดลง: เมื่อมีผู้ขายมากกว่าผู้ซื้อ  


มันง่ายแค่นั้นเอง!  


3. ปริมาณการซื้อขายยืนยันการเคลื่อนไหวของราคา

- ปริมาณการซื้อขาย (Volume): เป็นตัวช่วยยืนยันทิศทางของราคาในช่วงสำคัญ เช่น:  

  - จุดเริ่มต้นของวัฏจักรราคา  

  - การทะลุแนวต้าน (Pivot)  

  - การกลับตัวของราคา  


แนวคิด:  

- Volume = Price, Cause = Effect  


4. เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ช่วยบอกแนวโน้ม

- เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เป็นตัวชี้วัดรองที่ติดตามราคาและแสดงทิศทางของแนวโน้ม  

- ช่วยให้นักเทรดมองเห็นแนวรับและแนวต้านเมื่อราคาสร้างจุด Pivot  


ตัวอย่างเส้นค่าเฉลี่ยที่ Oliver ใช้:

- 10 และ 20 วัน (Exponential Moving Averages): ช่วยนำทางแนวโน้มระยะกลาง  

- 50 และ 200 วัน (Simple Moving Averages): ช่วยบ่งชี้แนวโน้มระยะยาว  


5. การใช้กรอบเวลาหลายระดับ (Multiple Time Frames)

Oliver ใช้กรอบเวลาหลายระดับเพื่อตรวจสอบการเคลื่อนไหวของราคา:  

- กราฟรายสัปดาห์ (Weekly Charts): เพื่อดูภาพรวมใหญ่  

- กราฟรายวัน (Daily Charts): เพื่อจัดการการเทรด  

- กราฟรายชั่วโมงและ 15 นาที: เพื่อกำหนดจังหวะเข้าเทรด  


คำแนะนำ: 

- ระวังการใช้กรอบเวลาที่เล็กเกินไป เพราะอาจทำให้คุณ เทรดมากเกินไป (Overtrading)  

- ให้ดูภาพรวมจากกรอบเวลาที่ใหญ่กว่าเพื่อวางแผน และใช้กรอบเวลาที่เล็กกว่าเพื่อดำเนินการ  


6. การรวมแนวทางทั้งหมดเข้าด้วยกัน

ขั้นตอนสำคัญ:  

1. เลือกหุ้นที่เหมาะสม: หุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง  

2. ใช้จังหวะของโมเมนตัม: เข้าเทรดในช่วงเวลาที่เหมาะสม  

3. จัดการความเสี่ยง: ใช้การกำหนดขนาดตำแหน่ง (Position Sizing) และตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss)  


การเพิ่มกำไร:  

- เข้าใจว่าหุ้นอยู่ใน วัฏจักรราคา (Price Cycle) ส่วนใด  

- ต้นวัฏจักร: ให้ความอดทน  

- ปลายวัฏจักร: เร่งล็อกกำไรให้เร็วขึ้น  


ถ้าราคาหุ้นถึงจุดสูงสุดแล้วเริ่มลดลง:  

- ออกจากตลาดและรอให้วัฏจักรราคาเริ่มใหม่ก่อนจะกลับเข้าไป  



สนับสนุนโดย อีบุ๊ค "เคล็ดลึก สวิงเทรด ให้ได้กำไรสม่ำเสมอ"  https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTk5MjQzNSI7czo3OiJib29rX2lkIjtpOjMzNjYyMjt9 


บทสรุป: การเทรดตาม Cycle of Price Action ของ Oliver Kell

1. ใช้ วัฏจักรราคา เพื่อระบุจุดเข้าและออกที่เหมาะสม  

2. ลดความเสี่ยงด้วยการวางแผนและการจัดการอย่างมีวินัย  

3. ใช้กรอบเวลาหลายระดับเพื่อมองภาพรวมและดำเนินการเทรด  


ผลลัพธ์:

คุณจะสามารถ ปรับตัวตามตลาด ลดความเสี่ยง และตัดสินใจเทรดได้อย่างชาญฉลาด!


ตัวอย่างจริง


(โฆษณา)

ถ้าท่านชื่นชอบเนื้อหาแบบนี้ แล้วอยากให้มีบ่อย ๆ สนับสนุนผลงานของผมหน่อยนะครับ


eBook มีจจำหน่ายที่แอพ Meb


https://www.mebmarket.com/index.php?action=search_book&type=author_name&search=%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%20%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87&auto_search_id=&exact_keyword=1&page_no=1


หนังสือเล่มมีจำหน่ายที่ https://www.facebook.com/zyobooks


7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

ดูยังไงว่าเป็น Cup with Handle pattern?

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

คุณต้องลงสนามเทรดจริง ถึงจะเข้าใจการเทรดอย่างแท้จริงได้

วิธีการอ่านสัญญาณแท่งเทียน (Candlesticks Reading) สำหรับมือใหม่

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ