การเทรดที่ประสบความสำเร็จ นั้น แค่ “ดีกว่าค่าเฉลี่ย” ก็ยังไม่พอ

Image
Alexander Elder กล่าวว่า การเป็นเพียงแค่ “ดีกว่าค่าเฉลี่ย” ยังไม่เพียงพอ คุณต้องโดดเด่นกว่าใครๆ เพื่อที่จะชนะในเกมที่มีผลรวมติดลบ (Being simply “better than average” is not good enough. You have to be head and shoulders above the crowd to win a minus-sum game.) eBook : คิดและสวิงเทรดเป็นระบบแบบพี่แดน (Dan Zanger) มีจำหน่ายที่แอพ Meb ที่เดียว https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTk5MjQzNSI7czo3OiJib29rX2lkIjtpOjM0NDM3MTt9 ในคำพูดนี้ Alexander Elder กำลังเน้นย้ำว่า ในโลกของการเทรด การเป็นเพียงแค่คนที่ "เก่งกว่าค่าเฉลี่ย" อาจไม่เพียงพอที่จะประสบความสำเร็จได้ เพราะการเทรดไม่ใช่เกมที่ทุกคนสามารถชนะพร้อมกันได้ มันคือเกมที่เรียกว่า เกมที่มีผลรวมติดลบ (minus-sum game) ซึ่งหมายความว่า ทรัพยากรที่หมุนเวียนอยู่ในตลาด เช่น กำไรและขาดทุน ถูกกระจายไปในกลุ่มผู้เล่น แต่เมื่อรวมต้นทุนการเทรด เช่น ค่าธรรมเนียม นายหน้า และค่าเสียโอกาสแล้ว จะทำให้โดยรวมตลาดมีผลขาดทุนสุทธิ "เกมที่มีผลรวมติดลบ" หมายถึงอะไร? การเทรดในตลาดไม่ได้มี...

Marios Stamatoudis สวิงเทรดปั้นพอร์ตโต 291.2% ในปีเดียว เขาทำได้อย่างไร?


Marios Stamatoudis ได้รับอันดับที่ 4 ในการแข่งขัน US Investing Championship 2023 ด้วยผลตอบแทน 291.2%

แปลจาก https://retailtradersrepository.substack.com/p/marios-stamatoudis-the-traderlion


(สนับสนุนโดย)


eBook : คิดและสวิงเทรดเป็นระบบแบบพี่แดน (Dan Zanger)
มีจำหน่ายที่แอพ Meb ที่เดียว

https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTk5MjQzNSI7czo3OiJib29rX2lkIjtpOjM0NDM3MTt9


กระบวนการเรียนรู้การเทรด (Process of Learning to Trade)

ศึกษาจากนักเทรดที่ประสบความสำเร็จในอดีต  

เริ่มต้นด้วยการดูและพยายามวิเคราะห์กลยุทธ์ของนักเทรดชื่อดัง พบว่ามีกลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกันในหลายกรณี เช่น  

- การ Short หุ้นที่ขึ้นไป 100-200% ภายใน 3-4 วันติดกัน: นักเทรดจะรอจังหวะวันที่หุ้นเริ่มอ่อนแรงแล้วเข้า Short  

- การ Long หุ้นที่มี Catalyst: เช่น หุ้นที่มีข่าวดีและราคากระโดดขึ้นจากกรอบเดิม  


ปรับตัวจาก Day Trading สู่ Swing Trading

เมื่อเริ่ม Day Trade และประสบความสำเร็จบางส่วน เขาพบว่าการจัดการความเสี่ยงและการเทรดของเขาทำให้เกิดการแกว่งของกำไรขาดทุน (PnL) อย่างรุนแรง แม้ PnL Curve จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความเหนื่อยล้าทางจิตใจทำให้เขาหันมาสนใจ Swing Trading  

- เขาใช้ความรู้จาก Day Trading รวมกับกลยุทธ์ของ Mark Minervini และ William O’Neil  

- ได้แรงบันดาลใจจาก Kristjan Kullamägi ที่ช่วยให้เขา "เชื่อมโยงจุดต่าง ๆ" ในการเรียนรู้การเทรด  


การมี Passion ในการเทรด (Having a Passion for Trading)

ความหลงใหลที่แท้จริงช่วยให้คุณก้าวหน้า  

การศึกษาตลาดและหุ้นที่เทรดช่วยเพิ่มความเข้าใจและความหลงใหลได้มากขึ้น  

- เขาปฏิบัติกับการเทรดเหมือนกีฬา ที่ต้องมีการศึกษาและฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ  

- ทดสอบความหลงใหล: "ถ้าคุณทำเงินได้ 20 ล้านดอลลาร์จากการเทรด คุณจะเลิกหรือไม่?" ถ้าคำตอบคือเลิก อาจเป็นเรื่องยากที่จะฝ่าฟันอุปสรรคในเส้นทางนี้  



รูปแบบการเทรดที่ใช้ (Setups He Uses)

1. Breakout Setups (การทะลุแนวต้าน)  

   - หุ้นเริ่มต้นด้วยแรงโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง จากนั้นราคาค่อย ๆ รวมตัว (Consolidate) และทะลุแนวต้าน  

   - เหตุผลที่ได้ผล: รูปแบบการ Breakout นี้ปรากฏมานานหลายทศวรรษและในตลาดหลากหลายประเภท สอดคล้องกับกฎของอุปสงค์และอุปทาน เมื่อราคาสะสมอยู่ในกรอบ (Consolidation) สภาพคล่องจะลดลง ส่งผลให้เกิดการทะลุ  


2. Episodic Pivots (จุดเปลี่ยนเชิงเหตุการณ์)  

   - หุ้นที่มี Catalyst ส่งผลให้ราคากระโดดและต่อเนื่องไปด้วยโมเมนตัม  

   - เหตุผลที่ได้ผล: Catalyst เป็นเชื้อเพลิงที่กระตุ้นให้ราคาหุ้นขยับขึ้นอย่างรวดเร็ว  


3. Parabolic Short (Short หลังราคาพุ่งขึ้นแบบพาราโบลา)  

   - เป็นกลยุทธ์แรกที่เริ่มใช้ โดย Short หุ้นหลังจากราคาพุ่งขึ้นแบบพาราโบลา  

   - ข้อควรระวัง: เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ยากที่สุด เขาเรียนรู้ที่จะไม่ยึดติดกับอารมณ์ในการเทรดแบบนี้ เพราะอาจทำให้พอร์ตเสียหายอย่างหนัก  


สรุป  

- การเรียนรู้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จ และปรับให้เหมาะสมกับตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ  

- การเทรดต้องมี Passion เพราะจะช่วยให้ก้าวข้ามความยากลำบาก  

- การมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนและการเข้าใจเหตุผลเบื้องหลัง จะช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาว


(สนับสนุนโดย)

สนับสนุนโดย อีบุ๊ค "เคล็ดลึก สวิงเทรด ให้ได้กำไรสม่ำเสมอ"  https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTk5MjQzNSI7czo3OiJib29rX2lkIjtpOjMzNjYyMjt9


กิจวัตรประจำวัน (Daily Routine)

Breakout Setup Daily Routine

1. ช่วง Pre-market (ก่อนตลาดเปิด) 

   - ตรวจสอบและบริหารจัดการตำแหน่งการลงทุนที่เปิดอยู่ (ถ้ามี)  

   - เช็คข่าวสารและพาดหัวข่าวทั่วโลก  


2. 1-1.5 ชั่วโมงก่อนตลาดเปิด  

   - ใช้ Screener Chart Layout ค้นหาและระบุหุ้นที่มีแรงส่ง (Momentum Leaders)  

   - ตรวจสอบหุ้นหลายร้อยตัวเพื่อค้นหาหุ้นที่มีสัญญาณดังนี้:  

     - Relative Strength: มีค่าเบต้า (β) บวกเมื่อตลาดเป็นขาขึ้น และเบต้า (β) ลบเมื่อเป็นขาลง  

     - การรวมตัวของราคา: มีการ Consolidation (ราคาตึงตัว)  

     - เคารพค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)  


3. การจัดการ Watchlist  

   - หุ้นที่น่าสนใจจะถูกเพิ่มลงใน "Bulk List" ซึ่งเขาจะตรวจสอบทุกวัน  

   - แม้บางวันจะไม่ได้เทรดเลย แต่เขายังคงติดตามสภาวะตลาดและหุ้นที่มี Momentum Leader อย่างสม่ำเสมอ  


4. การคัดเลือกจาก Bulk List 

   - ตรวจสอบว่าหุ้นใน Bulk List มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์หรือไม่  

   - หากหุ้นใดผ่านเกณฑ์ จะถูกย้ายไปยัง "Intraday" Watchlist  

   - วาดเส้นแนวโน้ม (Trendlines) เพื่อประมาณช่วง Consolidation ของหุ้น  

   - ตั้งการแจ้งเตือน (Alert) ใกล้จุดที่คาดว่าจะมี Breakout  


ตัวอย่างการวิเคราะห์

เขาใช้กระบวนการนี้ในการวิเคราะห์หุ้น เช่น SMCI ซึ่งมีการวาดเส้นแนวโน้มและคาดการณ์จุด Breakout ที่อาจเกิดขึ้น  




สรุปกิจวัตร Breakout Setup

- การจัดระบบอย่างมีระเบียบช่วยให้เขาติดตาม Momentum Leader ได้ทุกวัน  

- แม้จะไม่ได้เทรดในแต่ละวัน เขายังคงติดตามตลาดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสในอนาคต  

- การใช้เครื่องมืออย่าง Screener, Watchlist และ Alerts ช่วยให้สามารถระบุหุ้นที่มีศักยภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ  


ระบบเทรดและการเทรดตามระบบ เบื้องต้นสำหรับมือใหม่... ในรูปแบบ ebook โดย เซียว จับอิดนึ้ง https://www.mebmarket.com/?action=book_details&book_id=334986


กิจวัตรประจำวัน: Episodic Pivot Daily Routine

1. ค้นหาหุ้นที่น่าสนใจในช่วง Pre-market  

   - ใช้เว็บไซต์ที่สามารถสแกนหุ้นที่ราคาเปิดกระโดด (Gap Up) มากกว่า 5% และมีปริมาณการซื้อขาย (Relative Volume) สูงในวันนั้น  

   - ตรวจสอบเหตุผลที่ราคากระโดด เช่น:  

     - ผลประกอบการที่ดีกว่าคาด  

     - คำแนะนำการคาดการณ์รายได้ที่ดีขึ้น  

     - การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจ  

     - ข่าวเกี่ยวกับยาใหม่หรือการอนุมัติในอุตสาหกรรมชีวเภสัช  


กิจวัตรประจำสัปดาห์: “Clean the weeds and keep the flowers” (กำจัดวัชพืชและเก็บดอกไม้)


1. ลบหุ้นที่ไม่มีศักยภาพออก  

   - หุ้นที่หลุดแนวรับหรือไม่เคารพค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะถูกลบออกจากรายการ  


2. ศึกษาหุ้นใน Watchlist อย่างลึกซึ้ง  

   - วิเคราะห์ลักษณะของหุ้นใน Watchlist โดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น:  

     - ประเภทอุตสาหกรรม  

     - ธีมหลักที่หุ้นเหล่านั้นอยู่ (Sector Theme)  

   - เขาเน้นเรื่อง "ธีมกว้าง" ที่สามารถใช้แบ่งกลุ่มหุ้นได้ เช่นใน Mini Masterclass ของ Jason Leavitt บน YouTube  


3. ติดตามหุ้นที่เคยอยู่ใน Watchlist

   - ย้อนกลับไปดูว่าหุ้นใน Watchlist ก่อนหน้านี้มีการหลุดแนวรับหรือทำตามเทรนด์ที่วางไว้หรือไม่  

   - การติดตามนี้ช่วยให้เขาเข้าใจความเชื่อมั่นของตลาด (Market Sentiment) และตรวจสอบว่าสภาวะตลาดเหมาะสมกับการใช้ Breakout Setup หรือไม่  

     - หมายเหตุ: Breakout Setup มักจะได้ผลในตลาดที่มีแนวโน้มขาขึ้นเท่านั้น  






กิจวัตรประจำเดือน: “Stocks to Study” Watchlist

- ทุกเดือนเขาจะบันทึกหุ้นที่น่าสนใจลงใน Watchlist ชื่อ “Stocks to Study - [เดือน]”  

- Watchlist นี้ใช้เพื่อย้อนกลับมาทบทวนและศึกษาหุ้นในอดีต เพื่อเรียนรู้จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น  


---


สรุป  

- การสแกนหุ้นในช่วง Pre-market เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ  

- การจัดการ Watchlist และการทำความเข้าใจธีมของตลาดช่วยให้เขาคัดกรองหุ้นที่มีศักยภาพสูง  

- การศึกษาและติดตามหุ้นย้อนหลังช่วยพัฒนากลยุทธ์และการตัดสินใจในอนาคต


สถิติการเทรดในปี 2023 (2023 Stats)

1. มุมมองต่อการวิเคราะห์สถิติ  

   - Marios ไม่เน้นวิเคราะห์สถิติของตัวเองลึกมากนัก เพราะสภาวะตลาด, การจัดการความเสี่ยง, การปิดบางส่วนของกำไร (Partials) และปัจจัยอื่น ๆ มีความหลากหลายสูง  

   - สถิติเพียงแค่สะท้อนภาพรวม ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของการเทรด  


---


2. สถิติสำคัญในปี 2023

   - อัตราชนะ (Win Rate): ประมาณ 32%  

   - Risk-to-Reward Ratio: เฉลี่ย 1:5 (บางกรณีอาจสูงถึง 1:10 ถึง 1:30 และในกรณีพิเศษอาจสูงถึง 1:50 ถึง 1:70)  

   - จำนวนเทรดที่สร้างกำไรส่วนใหญ่: 10-15 เทรดที่สร้างกำไรหลักของทั้งปี  

     - พลังของผลตอบแทนแบบอสมมาตร (Asymmetric Returns): แม้จะชนะน้อย แต่กำไรต่อการเทรดมีมูลค่าสูง  


---


3. การจัดการตำแหน่ง (Position Management)  

   - ขนาดตำแหน่งเฉลี่ย: 13%-16% ของพอร์ต และอาจสูงถึง 30%  

   - จำนวนตำแหน่งที่ถือพร้อมกัน:  

     - โดยเฉลี่ย 6-7 ตำแหน่ง  

     - สูงสุดประมาณ **15 ตำแหน่ง  

   - เหตุผลของการจำกัดจำนวนตำแหน่ง:  

     - ยิ่งมีตำแหน่งมาก ยิ่งเสี่ยงต่อความผิดพลาดจากอารมณ์  

     - จำกัดจำนวนตำแหน่งเพื่อรักษาความมั่นคงทางจิตใจ  


---


4. พฤติกรรมการเทรด  

   - จำนวนเทรดเฉลี่ยต่อวัน: ประมาณ 2 เทรด  

   - จำนวนเทรดทั้งหมดในปี 2023: ประมาณ 500 เทรด  

   - ความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้ง (Risk per Trade):  

     - อยู่ระหว่าง 0.25%-0.4% ของเงินทุนทั้งหมด  

     - ระบบนี้ออกแบบมาให้รับมือกับ "ความเจ็บปวด" ได้สูงสุด  


eBook "Risk Management: การบริหารจัดการความเสี่ยงเบื้องต้นสำหรับนักเทรด"

มีจำหน่ายที่แอพ Meb เท่านั้น https://www.mebmarket.com/?action=book_details&book_id=332340


5. ปรับตัวเพื่อการเทรดแบบ Swing Trading  

   - เมื่อเทรดแบบ Day Trading: เคยใช้ความเสี่ยงต่อการเทรดถึง 1% หรือมากกว่า  

   - หากใช้ความเสี่ยงระดับนั้นใน Swing Trading ที่มีจุด Stop Loss แคบ จะทำให้ต้องถือเงินทุนถึง 50%-60% ในตำแหน่งเดียว ซึ่งมากเกินไป  

   - การใช้ความเสี่ยงที่อนุรักษ์นิยม (Conservative) ช่วยลดความเสี่ยงและการขาดทุน  




6. เหตุผลที่ใช้ความเสี่ยงต่ำต่อการเทรด (0.25%-0.4%)  

   - เหตุผลทางคณิตศาสตร์:  

     - ด้วยอัตราชนะ 30% มีโอกาส 70% ที่จะขาดทุนต่อเนื่อง 10 ครั้ง ในการสุ่ม 50 เทรด  

     - หากเสี่ยง 1% ต่อเทรด จะส่งผลให้การขาดทุนต่อเนื่องสร้าง Drawdown ที่สูงเกินความสบายใจ  

   - ปัจจัยทางจิตใจ:  

     - การขาดทุนใหญ่จะส่งผลต่อจิตใจ เช่น ความเหนื่อยล้า, การนอนหลับไม่เพียงพอ, และความคิดทำลายตัวเอง  


---


สรุปบทเรียนจากสถิติของ Marios  

- การเทรดไม่ได้เกี่ยวกับการชนะบ่อยครั้ง แต่เกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงและผลตอบแทนที่สมดุล  

- ระบบการเทรดที่ดีควรออกแบบให้รับมือกับความผิดพลาดและความเจ็บปวดทางจิตใจได้  

- การจัดการพอร์ตและตำแหน่งอย่างอนุรักษ์นิยมช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาว  



กลยุทธ์การเข้าเทรด (Entry Tactics: Breakouts and Episodic Pivots)

1. การเข้าเทรดในช่วงเริ่มต้นตลาด (Opening Range High - ORH)  

   - ปกติจะเข้าเทรดที่ จุดสูงสุดของช่วง 1 นาทีหรือ 5 นาทีแรก ของตลาด (1-minute หรือ 5-minute ORH)  


2. การจัดการ Stop Loss และการกลับเข้าเทรดอีกครั้ง  

   - หากเข้าเทรดที่ ORH และถูก Stop Out ที่ จุดต่ำสุดของวัน (Low of the Day - LOD)  

     - จะกลับมาเข้าเทรดใหม่ถ้าหุ้นกลับไปเหนือระดับ VWAP และราคามีการ Consolidation อยู่ที่ VWAP  

     - การตั้ง Stop Loss:  

       - วางที่ LOD หรือ  

       - ใช้ 2 จุด Stop Loss คือที่ LOD และจุดต่ำสุดของรูปแบบ Consolidation บน VWAP  


3. การหยุดเทรดในวันนั้น  

   - หากล้มเหลวมากกว่า 2-3 ครั้ง ในวันเดียว จะหยุดเทรดหุ้นตัวนั้นในวันนั้น  


4. หลีกเลี่ยงการเทรดที่มีระยะ Stop Loss มากเกินไป  

   - หากระยะ Stop Loss เกินกว่า 1 ATR (Average True Range) การเทรดนั้นอาจไม่คุ้มค่า เนื่องจาก Risk-to-Reward (RR) จะไม่สมดุล  


5. หลีกเลี่ยงการถือสถานะขาดทุนข้ามคืน  

   - ในวันเข้าเทรด เขาจะไม่ถือสถานะที่ติดลบข้ามคืน เพื่อป้องกันความเสี่ยงจาก การ Gap Down หรือข่าวที่ไม่คาดคิด  


6. การซื้อเพิ่มหรือกลับเข้าเทรดเมื่อราคาทดสอบค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)  

   - หากหุ้น Breakout และวิ่งเข้าหา ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10 หรือ 20 วัน  

     - จะซื้อหุ้นเพิ่ม หรือ  

     - หากถูก Stop Out ในวันแรก จะพยายามกลับเข้าเทรดใหม่  


---


ตัวอย่างการนำกลยุทธ์มาใช้

- การซื้อเพิ่มหรือกลับเข้าเทรดอีกครั้งเมื่อราคามีการทดสอบค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แสดงให้เห็นถึง ความยืดหยุ่น และการใช้ Moving Averages เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ  




สรุป

- การเข้าเทรดในช่วงเริ่มต้นตลาด (ORH) เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ  

- การจัดการ Stop Loss และการเข้าใหม่อย่างมีแผนช่วยลดความเสี่ยง  

- การหลีกเลี่ยงการถือสถานะข้ามคืนและการจัดการ RR เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การเทรดมีประสิทธิภาพ  

- การซื้อเพิ่มเมื่อราคาทดสอบ Moving Averages แสดงถึงการติดตามแนวโน้มของตลาดอย่างใกล้ชิด


สำหรับหุ้นในกลุ่ม Biotech:

1. พฤติกรรมของหุ้น Biotech ในวันที่มี Catalyst  

   - หลายบริษัทในกลุ่ม Biotech มีแนวโน้มที่จะปิดราคาลดลง (Close Red) แม้ในวันที่มีข่าวดีหรือ Catalyst  


2. กลยุทธ์สำหรับหุ้น Biotech 

   - เขาเลือกที่จะ ซื้อหุ้นในวันที่สองหลังจากมี Catalyst แทนที่จะซื้อในวันแรก  

   - ตัวอย่าง: หุ้นที่ปิดลบในวันแรก แต่ในวันที่สองมีการฟื้นตัวหรือสร้างแนวโน้มที่ชัดเจน  

การรอซื้อในวันที่สองหลังจากมี Catalyst สำหรับหุ้นในกลุ่ม Biotech ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนในวันแรก และเพิ่มโอกาสในการติดตามแนวโน้มราคาที่มีเสถียรภาพมากขึ้น


กลยุทธ์การออกจากการเทรด (Exit Strategy)

1. การขายบางส่วน (Partials)  

   - จะขายหุ้นบางส่วน (ประมาณ 1/4 ถึง 1/3 ของตำแหน่ง) เมื่อราคาขยับขึ้นถึง 2.5 - 3 เท่าของค่าเฉลี่ยช่วงการเคลื่อนไหวรายวัน (ADR Multiples)  


2. การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วัน (100-day Moving Average)  

   - ในบางกรณี จะใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วันเป็นเกณฑ์ในการขายหุ้นบางส่วนครั้งแรก  


- การขายบางส่วนช่วยล็อกกำไรในขณะที่ยังคงถือสถานะเพื่อรับโอกาสการเคลื่อนไหวเพิ่มเติม  

- การใช้ 100-day Moving Average เป็นเกณฑ์ขายช่วยสร้างระบบที่อิงตามข้อมูลเชิงเทคนิคเพื่อการตัดสินใจที่มีเหตุผลและมั่นคง  


กลยุทธ์หลังการขายบางส่วน (After Partial Sell)

1. การตั้ง Stop Loss (SL) สำหรับตำแหน่งที่เหลือ  

   - ครึ่งหนึ่งของหุ้นที่เหลือ: วาง Stop Loss ไว้ที่จุดคุ้มทุน (Break-even)  

   - อีกครึ่งหนึ่ง: วาง Stop Loss ไว้ที่จุด SL เดิม (ซึ่งปกติคือ จุดต่ำสุดของวัน - LOD)  


2. การใช้ Trailing Stop Loss ตามเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่  

   - ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เช่น 10 หรือ 20 วัน เป็นเกณฑ์สำหรับการเลื่อน Stop Loss ตามแนวโน้ม  

   - ปิดสถานะทั้งหมดเมื่อราคาหุ้นปิดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในวันนั้น  


---


การใช้ Margin (Use of Margin)


1. แนวคิดเกี่ยวกับ Margin  

   - การใช้ Margin เป็นสิ่งที่ควรได้รับการ "สร้างสมดุล" และไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากเกินไป  

   - กฎของเขาไม่อนุญาตให้ใช้ Margin อย่างหนักหน่วงหรือเกินตัว  


2. กระบวนการก่อนใช้ Margin  

   - ตรวจสอบตำแหน่งปัจจุบัน:  

     - ปิดตำแหน่งที่อ่อนแอกว่าหรือไม่ให้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง  

   - ตรวจสอบจุด Stop Loss ของตำแหน่งที่ถืออยู่:  

     - ตรวจสอบว่า Stop Loss ในตำแหน่งปัจจุบันอยู่ที่จุดคุ้มทุนหรือสูงกว่า (Break-even หรือสูงกว่า)  

     - สิ่งนี้ช่วยให้มั่นใจว่าหากราคาหุ้นปรับตัวลดลง จะไม่ทำให้เกิดการขาดทุนในตำแหน่งปัจจุบัน ก่อนจะตัดสินใจใช้ Margin  


---


สรุป  

- การตั้ง SL แบบแบ่งส่วนช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการตำแหน่งที่เหลือ  

- การใช้ Trailing Stop Loss ตาม Moving Averages ช่วยติดตามแนวโน้มและเพิ่มโอกาสปิดกำไรสูงสุด  

- การใช้ Margin ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยตรวจสอบตำแหน่งและความเสี่ยงปัจจุบันก่อนเสมอ  


บทเรียนจากปี 2023 (2023 Takeaways)


1. คุณไม่สามารถจับทุกการเทรดได้  

   - อย่าคาดหวังว่าจะได้กำไรจากทุกโอกาสการเทรด  


2. สร้างผลตอบแทนแบบอสมมาตร (Asymmetric Returns)  

   - ตั้งเป้าผลตอบแทนที่สูงด้วยความเสี่ยงต่อการเทรดที่ต่ำ  

   - การลดความเสี่ยงช่วยลดความผันผวนทางอารมณ์  


---


ข้อคิดปิดท้าย (Ending Remarks)

1. เรียนรู้จากนักเทรดมืออาชีพ  

   - ค้นหานักเทรดที่คุณสามารถเรียนรู้ได้ (อย่าหลงเชื่อคนแรกที่ปรากฏในฟีดโซเชียลมีเดียของคุณ)  

   - ความสำเร็จในโลกของการเทรดต้องการ วินัย และ ความหลงใหล  

   - การศึกษารูปแบบการเทรดในอดีตและการเรียนรู้จากนักเทรดที่หลากหลายเป็นสิ่งสำคัญ  


2. อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นบวก  

   - การอยู่ท่ามกลางผู้คนที่คิดบวกช่วยให้คุณมีแรงใจในช่วงเวลาที่ยากลำบาก  

   - หากคุณสัมผัสกับความคิดลบมากเกินไป มันจะส่งผลกระทบต่อคุณเหมือน **รังสีที่มองไม่เห็น**  

   - การเทรดเป็นธุรกิจที่ยาก คุณจะรู้สึกหลงทางหรือหมดหนทางในบางครั้ง แต่ความคิดบวกจะช่วยให้คุณก้าวผ่านไปได้  


3. อย่าเร่งสร้างความเชี่ยวชาญ  

   - การเป็นนักเทรดที่เก่งต้องใช้เวลา อย่าฝืนเร่งกระบวนการ  

   - รักษาทั้งทุนทางการเงินและจิตใจ เพราะหากคุณหลงทาง อาจทำให้คุณล้มเลิกไปได้  


4. อย่าลืมใช้ชีวิต 

   - “ถ้าคุณเร่งวิ่ง อาจมองไม่เห็นป่าทั้งผืนเพราะมัวแต่โฟกัสที่ต้นไม้ทีละต้น”**  

   - การพักผ่อนและการใช้ชีวิตช่วยให้คุณสามารถเทรดในระยะยาวได้อย่างมีสมดุล  



สรุป 

- การเทรดคือการเดินทางที่ต้องใช้เวลา ความอดทน และการเตรียมตัวที่รอบคอบ  

- ใช้โอกาสเรียนรู้จากนักเทรดที่มีประสบการณ์ แต่ให้พัฒนาในแบบของคุณเอง  

- การรักษาความสมดุลระหว่างการเทรดและการใช้ชีวิตเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณยืนระยะได้ในโลกของการเทรด  



(โฆษณา)

ถ้าท่านชื่นชอบเนื้อหาแบบนี้ แล้วอยากให้มีบ่อย ๆ สนับสนุนผลงานของผมหน่อยนะครับ

eBook มีจำหน่ายที่แอพ Meb

https://www.mebmarket.com/index.php?action=search_book&type=author_name&search=%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%20%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87&auto_search_id=&exact_keyword=1&page_no=1

7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo

VCP (Volatility Contraction Pattern) และรูปแบบที่คล้ายกัน

Oliver Kell: วงจรของการเคลื่อนไหวของราคา (Cycle of Price Action)