Marios Stamatoudis สวิงเทรดปั้นพอร์ตโต 291.2% ในปีเดียว เขาทำได้อย่างไร?
- Get link
- X
- Other Apps
Marios Stamatoudis ได้รับอันดับที่ 4 ในการแข่งขัน US Investing Championship 2023 ด้วยผลตอบแทน 291.2%
แปลจาก https://retailtradersrepository.substack.com/p/marios-stamatoudis-the-traderlion
(สนับสนุนโดย)
มีจำหน่ายที่แอพ Meb ที่เดียว
กระบวนการเรียนรู้การเทรด (Process of Learning to Trade)
ศึกษาจากนักเทรดที่ประสบความสำเร็จในอดีต
เริ่มต้นด้วยการดูและพยายามวิเคราะห์กลยุทธ์ของนักเทรดชื่อดัง พบว่ามีกลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกันในหลายกรณี เช่น
- การ Short หุ้นที่ขึ้นไป 100-200% ภายใน 3-4 วันติดกัน: นักเทรดจะรอจังหวะวันที่หุ้นเริ่มอ่อนแรงแล้วเข้า Short
- การ Long หุ้นที่มี Catalyst: เช่น หุ้นที่มีข่าวดีและราคากระโดดขึ้นจากกรอบเดิม
ปรับตัวจาก Day Trading สู่ Swing Trading
เมื่อเริ่ม Day Trade และประสบความสำเร็จบางส่วน เขาพบว่าการจัดการความเสี่ยงและการเทรดของเขาทำให้เกิดการแกว่งของกำไรขาดทุน (PnL) อย่างรุนแรง แม้ PnL Curve จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความเหนื่อยล้าทางจิตใจทำให้เขาหันมาสนใจ Swing Trading
- เขาใช้ความรู้จาก Day Trading รวมกับกลยุทธ์ของ Mark Minervini และ William O’Neil
- ได้แรงบันดาลใจจาก Kristjan Kullamägi ที่ช่วยให้เขา "เชื่อมโยงจุดต่าง ๆ" ในการเรียนรู้การเทรด
การมี Passion ในการเทรด (Having a Passion for Trading)
ความหลงใหลที่แท้จริงช่วยให้คุณก้าวหน้า
การศึกษาตลาดและหุ้นที่เทรดช่วยเพิ่มความเข้าใจและความหลงใหลได้มากขึ้น
- เขาปฏิบัติกับการเทรดเหมือนกีฬา ที่ต้องมีการศึกษาและฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ
- ทดสอบความหลงใหล: "ถ้าคุณทำเงินได้ 20 ล้านดอลลาร์จากการเทรด คุณจะเลิกหรือไม่?" ถ้าคำตอบคือเลิก อาจเป็นเรื่องยากที่จะฝ่าฟันอุปสรรคในเส้นทางนี้
รูปแบบการเทรดที่ใช้ (Setups He Uses)
1. Breakout Setups (การทะลุแนวต้าน)
- หุ้นเริ่มต้นด้วยแรงโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง จากนั้นราคาค่อย ๆ รวมตัว (Consolidate) และทะลุแนวต้าน
- เหตุผลที่ได้ผล: รูปแบบการ Breakout นี้ปรากฏมานานหลายทศวรรษและในตลาดหลากหลายประเภท สอดคล้องกับกฎของอุปสงค์และอุปทาน เมื่อราคาสะสมอยู่ในกรอบ (Consolidation) สภาพคล่องจะลดลง ส่งผลให้เกิดการทะลุ
2. Episodic Pivots (จุดเปลี่ยนเชิงเหตุการณ์)
- หุ้นที่มี Catalyst ส่งผลให้ราคากระโดดและต่อเนื่องไปด้วยโมเมนตัม
- เหตุผลที่ได้ผล: Catalyst เป็นเชื้อเพลิงที่กระตุ้นให้ราคาหุ้นขยับขึ้นอย่างรวดเร็ว
3. Parabolic Short (Short หลังราคาพุ่งขึ้นแบบพาราโบลา)
- เป็นกลยุทธ์แรกที่เริ่มใช้ โดย Short หุ้นหลังจากราคาพุ่งขึ้นแบบพาราโบลา
- ข้อควรระวัง: เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ยากที่สุด เขาเรียนรู้ที่จะไม่ยึดติดกับอารมณ์ในการเทรดแบบนี้ เพราะอาจทำให้พอร์ตเสียหายอย่างหนัก
สรุป
- การเรียนรู้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จ และปรับให้เหมาะสมกับตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ
- การเทรดต้องมี Passion เพราะจะช่วยให้ก้าวข้ามความยากลำบาก
- การมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนและการเข้าใจเหตุผลเบื้องหลัง จะช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาว
(สนับสนุนโดย)
สนับสนุนโดย อีบุ๊ค "เคล็ดลึก สวิงเทรด ให้ได้กำไรสม่ำเสมอ" https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTk5MjQzNSI7czo3OiJib29rX2lkIjtpOjMzNjYyMjt9
กิจวัตรประจำวัน (Daily Routine)
Breakout Setup Daily Routine
1. ช่วง Pre-market (ก่อนตลาดเปิด)
- ตรวจสอบและบริหารจัดการตำแหน่งการลงทุนที่เปิดอยู่ (ถ้ามี)
- เช็คข่าวสารและพาดหัวข่าวทั่วโลก
2. 1-1.5 ชั่วโมงก่อนตลาดเปิด
- ใช้ Screener Chart Layout ค้นหาและระบุหุ้นที่มีแรงส่ง (Momentum Leaders)
- ตรวจสอบหุ้นหลายร้อยตัวเพื่อค้นหาหุ้นที่มีสัญญาณดังนี้:
- Relative Strength: มีค่าเบต้า (β) บวกเมื่อตลาดเป็นขาขึ้น และเบต้า (β) ลบเมื่อเป็นขาลง
- การรวมตัวของราคา: มีการ Consolidation (ราคาตึงตัว)
- เคารพค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)
3. การจัดการ Watchlist
- หุ้นที่น่าสนใจจะถูกเพิ่มลงใน "Bulk List" ซึ่งเขาจะตรวจสอบทุกวัน
- แม้บางวันจะไม่ได้เทรดเลย แต่เขายังคงติดตามสภาวะตลาดและหุ้นที่มี Momentum Leader อย่างสม่ำเสมอ
4. การคัดเลือกจาก Bulk List
- ตรวจสอบว่าหุ้นใน Bulk List มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์หรือไม่
- หากหุ้นใดผ่านเกณฑ์ จะถูกย้ายไปยัง "Intraday" Watchlist
- วาดเส้นแนวโน้ม (Trendlines) เพื่อประมาณช่วง Consolidation ของหุ้น
- ตั้งการแจ้งเตือน (Alert) ใกล้จุดที่คาดว่าจะมี Breakout
ตัวอย่างการวิเคราะห์
เขาใช้กระบวนการนี้ในการวิเคราะห์หุ้น เช่น SMCI ซึ่งมีการวาดเส้นแนวโน้มและคาดการณ์จุด Breakout ที่อาจเกิดขึ้น
สรุปกิจวัตร Breakout Setup
- การจัดระบบอย่างมีระเบียบช่วยให้เขาติดตาม Momentum Leader ได้ทุกวัน
- แม้จะไม่ได้เทรดในแต่ละวัน เขายังคงติดตามตลาดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสในอนาคต
- การใช้เครื่องมืออย่าง Screener, Watchlist และ Alerts ช่วยให้สามารถระบุหุ้นที่มีศักยภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบเทรดและการเทรดตามระบบ เบื้องต้นสำหรับมือใหม่... ในรูปแบบ ebook โดย เซียว จับอิดนึ้ง https://www.mebmarket.com/?action=book_details&book_id=334986
กิจวัตรประจำวัน: Episodic Pivot Daily Routine
1. ค้นหาหุ้นที่น่าสนใจในช่วง Pre-market
- ใช้เว็บไซต์ที่สามารถสแกนหุ้นที่ราคาเปิดกระโดด (Gap Up) มากกว่า 5% และมีปริมาณการซื้อขาย (Relative Volume) สูงในวันนั้น
- ตรวจสอบเหตุผลที่ราคากระโดด เช่น:
- ผลประกอบการที่ดีกว่าคาด
- คำแนะนำการคาดการณ์รายได้ที่ดีขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจ
- ข่าวเกี่ยวกับยาใหม่หรือการอนุมัติในอุตสาหกรรมชีวเภสัช
กิจวัตรประจำสัปดาห์: “Clean the weeds and keep the flowers” (กำจัดวัชพืชและเก็บดอกไม้)
1. ลบหุ้นที่ไม่มีศักยภาพออก
- หุ้นที่หลุดแนวรับหรือไม่เคารพค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะถูกลบออกจากรายการ
2. ศึกษาหุ้นใน Watchlist อย่างลึกซึ้ง
- วิเคราะห์ลักษณะของหุ้นใน Watchlist โดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น:
- ประเภทอุตสาหกรรม
- ธีมหลักที่หุ้นเหล่านั้นอยู่ (Sector Theme)
- เขาเน้นเรื่อง "ธีมกว้าง" ที่สามารถใช้แบ่งกลุ่มหุ้นได้ เช่นใน Mini Masterclass ของ Jason Leavitt บน YouTube
3. ติดตามหุ้นที่เคยอยู่ใน Watchlist
- ย้อนกลับไปดูว่าหุ้นใน Watchlist ก่อนหน้านี้มีการหลุดแนวรับหรือทำตามเทรนด์ที่วางไว้หรือไม่
- การติดตามนี้ช่วยให้เขาเข้าใจความเชื่อมั่นของตลาด (Market Sentiment) และตรวจสอบว่าสภาวะตลาดเหมาะสมกับการใช้ Breakout Setup หรือไม่
- หมายเหตุ: Breakout Setup มักจะได้ผลในตลาดที่มีแนวโน้มขาขึ้นเท่านั้น
กิจวัตรประจำเดือน: “Stocks to Study” Watchlist
- ทุกเดือนเขาจะบันทึกหุ้นที่น่าสนใจลงใน Watchlist ชื่อ “Stocks to Study - [เดือน]”
- Watchlist นี้ใช้เพื่อย้อนกลับมาทบทวนและศึกษาหุ้นในอดีต เพื่อเรียนรู้จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
---
สรุป
- การสแกนหุ้นในช่วง Pre-market เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ
- การจัดการ Watchlist และการทำความเข้าใจธีมของตลาดช่วยให้เขาคัดกรองหุ้นที่มีศักยภาพสูง
- การศึกษาและติดตามหุ้นย้อนหลังช่วยพัฒนากลยุทธ์และการตัดสินใจในอนาคต
สถิติการเทรดในปี 2023 (2023 Stats)
1. มุมมองต่อการวิเคราะห์สถิติ
- Marios ไม่เน้นวิเคราะห์สถิติของตัวเองลึกมากนัก เพราะสภาวะตลาด, การจัดการความเสี่ยง, การปิดบางส่วนของกำไร (Partials) และปัจจัยอื่น ๆ มีความหลากหลายสูง
- สถิติเพียงแค่สะท้อนภาพรวม ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของการเทรด
---
2. สถิติสำคัญในปี 2023
- อัตราชนะ (Win Rate): ประมาณ 32%
- Risk-to-Reward Ratio: เฉลี่ย 1:5 (บางกรณีอาจสูงถึง 1:10 ถึง 1:30 และในกรณีพิเศษอาจสูงถึง 1:50 ถึง 1:70)
- จำนวนเทรดที่สร้างกำไรส่วนใหญ่: 10-15 เทรดที่สร้างกำไรหลักของทั้งปี
- พลังของผลตอบแทนแบบอสมมาตร (Asymmetric Returns): แม้จะชนะน้อย แต่กำไรต่อการเทรดมีมูลค่าสูง
---
3. การจัดการตำแหน่ง (Position Management)
- ขนาดตำแหน่งเฉลี่ย: 13%-16% ของพอร์ต และอาจสูงถึง 30%
- จำนวนตำแหน่งที่ถือพร้อมกัน:
- โดยเฉลี่ย 6-7 ตำแหน่ง
- สูงสุดประมาณ **15 ตำแหน่ง
- เหตุผลของการจำกัดจำนวนตำแหน่ง:
- ยิ่งมีตำแหน่งมาก ยิ่งเสี่ยงต่อความผิดพลาดจากอารมณ์
- จำกัดจำนวนตำแหน่งเพื่อรักษาความมั่นคงทางจิตใจ
---
4. พฤติกรรมการเทรด
- จำนวนเทรดเฉลี่ยต่อวัน: ประมาณ 2 เทรด
- จำนวนเทรดทั้งหมดในปี 2023: ประมาณ 500 เทรด
- ความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้ง (Risk per Trade):
- อยู่ระหว่าง 0.25%-0.4% ของเงินทุนทั้งหมด
- ระบบนี้ออกแบบมาให้รับมือกับ "ความเจ็บปวด" ได้สูงสุด
eBook "Risk Management: การบริหารจัดการความเสี่ยงเบื้องต้นสำหรับนักเทรด"
มีจำหน่ายที่แอพ Meb เท่านั้น https://www.mebmarket.com/?action=book_details&book_id=332340
5. ปรับตัวเพื่อการเทรดแบบ Swing Trading
- เมื่อเทรดแบบ Day Trading: เคยใช้ความเสี่ยงต่อการเทรดถึง 1% หรือมากกว่า
- หากใช้ความเสี่ยงระดับนั้นใน Swing Trading ที่มีจุด Stop Loss แคบ จะทำให้ต้องถือเงินทุนถึง 50%-60% ในตำแหน่งเดียว ซึ่งมากเกินไป
- การใช้ความเสี่ยงที่อนุรักษ์นิยม (Conservative) ช่วยลดความเสี่ยงและการขาดทุน
6. เหตุผลที่ใช้ความเสี่ยงต่ำต่อการเทรด (0.25%-0.4%)
- เหตุผลทางคณิตศาสตร์:
- ด้วยอัตราชนะ 30% มีโอกาส 70% ที่จะขาดทุนต่อเนื่อง 10 ครั้ง ในการสุ่ม 50 เทรด
- หากเสี่ยง 1% ต่อเทรด จะส่งผลให้การขาดทุนต่อเนื่องสร้าง Drawdown ที่สูงเกินความสบายใจ
- ปัจจัยทางจิตใจ:
- การขาดทุนใหญ่จะส่งผลต่อจิตใจ เช่น ความเหนื่อยล้า, การนอนหลับไม่เพียงพอ, และความคิดทำลายตัวเอง
---
สรุปบทเรียนจากสถิติของ Marios
- การเทรดไม่ได้เกี่ยวกับการชนะบ่อยครั้ง แต่เกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงและผลตอบแทนที่สมดุล
- ระบบการเทรดที่ดีควรออกแบบให้รับมือกับความผิดพลาดและความเจ็บปวดทางจิตใจได้
- การจัดการพอร์ตและตำแหน่งอย่างอนุรักษ์นิยมช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาว
กลยุทธ์การเข้าเทรด (Entry Tactics: Breakouts and Episodic Pivots)
1. การเข้าเทรดในช่วงเริ่มต้นตลาด (Opening Range High - ORH)
- ปกติจะเข้าเทรดที่ จุดสูงสุดของช่วง 1 นาทีหรือ 5 นาทีแรก ของตลาด (1-minute หรือ 5-minute ORH)
2. การจัดการ Stop Loss และการกลับเข้าเทรดอีกครั้ง
- หากเข้าเทรดที่ ORH และถูก Stop Out ที่ จุดต่ำสุดของวัน (Low of the Day - LOD)
- จะกลับมาเข้าเทรดใหม่ถ้าหุ้นกลับไปเหนือระดับ VWAP และราคามีการ Consolidation อยู่ที่ VWAP
- การตั้ง Stop Loss:
- วางที่ LOD หรือ
- ใช้ 2 จุด Stop Loss คือที่ LOD และจุดต่ำสุดของรูปแบบ Consolidation บน VWAP
3. การหยุดเทรดในวันนั้น
- หากล้มเหลวมากกว่า 2-3 ครั้ง ในวันเดียว จะหยุดเทรดหุ้นตัวนั้นในวันนั้น
4. หลีกเลี่ยงการเทรดที่มีระยะ Stop Loss มากเกินไป
- หากระยะ Stop Loss เกินกว่า 1 ATR (Average True Range) การเทรดนั้นอาจไม่คุ้มค่า เนื่องจาก Risk-to-Reward (RR) จะไม่สมดุล
5. หลีกเลี่ยงการถือสถานะขาดทุนข้ามคืน
- ในวันเข้าเทรด เขาจะไม่ถือสถานะที่ติดลบข้ามคืน เพื่อป้องกันความเสี่ยงจาก การ Gap Down หรือข่าวที่ไม่คาดคิด
6. การซื้อเพิ่มหรือกลับเข้าเทรดเมื่อราคาทดสอบค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)
- หากหุ้น Breakout และวิ่งเข้าหา ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10 หรือ 20 วัน
- จะซื้อหุ้นเพิ่ม หรือ
- หากถูก Stop Out ในวันแรก จะพยายามกลับเข้าเทรดใหม่
---
ตัวอย่างการนำกลยุทธ์มาใช้
- การซื้อเพิ่มหรือกลับเข้าเทรดอีกครั้งเมื่อราคามีการทดสอบค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แสดงให้เห็นถึง ความยืดหยุ่น และการใช้ Moving Averages เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ
สรุป
- การเข้าเทรดในช่วงเริ่มต้นตลาด (ORH) เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ
- การจัดการ Stop Loss และการเข้าใหม่อย่างมีแผนช่วยลดความเสี่ยง
- การหลีกเลี่ยงการถือสถานะข้ามคืนและการจัดการ RR เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การเทรดมีประสิทธิภาพ
- การซื้อเพิ่มเมื่อราคาทดสอบ Moving Averages แสดงถึงการติดตามแนวโน้มของตลาดอย่างใกล้ชิด
สำหรับหุ้นในกลุ่ม Biotech:
1. พฤติกรรมของหุ้น Biotech ในวันที่มี Catalyst
- หลายบริษัทในกลุ่ม Biotech มีแนวโน้มที่จะปิดราคาลดลง (Close Red) แม้ในวันที่มีข่าวดีหรือ Catalyst
2. กลยุทธ์สำหรับหุ้น Biotech
- เขาเลือกที่จะ ซื้อหุ้นในวันที่สองหลังจากมี Catalyst แทนที่จะซื้อในวันแรก
- ตัวอย่าง: หุ้นที่ปิดลบในวันแรก แต่ในวันที่สองมีการฟื้นตัวหรือสร้างแนวโน้มที่ชัดเจน
การรอซื้อในวันที่สองหลังจากมี Catalyst สำหรับหุ้นในกลุ่ม Biotech ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนในวันแรก และเพิ่มโอกาสในการติดตามแนวโน้มราคาที่มีเสถียรภาพมากขึ้น
กลยุทธ์การออกจากการเทรด (Exit Strategy)
1. การขายบางส่วน (Partials)
- จะขายหุ้นบางส่วน (ประมาณ 1/4 ถึง 1/3 ของตำแหน่ง) เมื่อราคาขยับขึ้นถึง 2.5 - 3 เท่าของค่าเฉลี่ยช่วงการเคลื่อนไหวรายวัน (ADR Multiples)
2. การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วัน (100-day Moving Average)
- ในบางกรณี จะใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วันเป็นเกณฑ์ในการขายหุ้นบางส่วนครั้งแรก
- การขายบางส่วนช่วยล็อกกำไรในขณะที่ยังคงถือสถานะเพื่อรับโอกาสการเคลื่อนไหวเพิ่มเติม
- การใช้ 100-day Moving Average เป็นเกณฑ์ขายช่วยสร้างระบบที่อิงตามข้อมูลเชิงเทคนิคเพื่อการตัดสินใจที่มีเหตุผลและมั่นคง
กลยุทธ์หลังการขายบางส่วน (After Partial Sell)
1. การตั้ง Stop Loss (SL) สำหรับตำแหน่งที่เหลือ
- ครึ่งหนึ่งของหุ้นที่เหลือ: วาง Stop Loss ไว้ที่จุดคุ้มทุน (Break-even)
- อีกครึ่งหนึ่ง: วาง Stop Loss ไว้ที่จุด SL เดิม (ซึ่งปกติคือ จุดต่ำสุดของวัน - LOD)
2. การใช้ Trailing Stop Loss ตามเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
- ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เช่น 10 หรือ 20 วัน เป็นเกณฑ์สำหรับการเลื่อน Stop Loss ตามแนวโน้ม
- ปิดสถานะทั้งหมดเมื่อราคาหุ้นปิดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในวันนั้น
---
การใช้ Margin (Use of Margin)
1. แนวคิดเกี่ยวกับ Margin
- การใช้ Margin เป็นสิ่งที่ควรได้รับการ "สร้างสมดุล" และไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากเกินไป
- กฎของเขาไม่อนุญาตให้ใช้ Margin อย่างหนักหน่วงหรือเกินตัว
2. กระบวนการก่อนใช้ Margin
- ตรวจสอบตำแหน่งปัจจุบัน:
- ปิดตำแหน่งที่อ่อนแอกว่าหรือไม่ให้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง
- ตรวจสอบจุด Stop Loss ของตำแหน่งที่ถืออยู่:
- ตรวจสอบว่า Stop Loss ในตำแหน่งปัจจุบันอยู่ที่จุดคุ้มทุนหรือสูงกว่า (Break-even หรือสูงกว่า)
- สิ่งนี้ช่วยให้มั่นใจว่าหากราคาหุ้นปรับตัวลดลง จะไม่ทำให้เกิดการขาดทุนในตำแหน่งปัจจุบัน ก่อนจะตัดสินใจใช้ Margin
---
สรุป
- การตั้ง SL แบบแบ่งส่วนช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการตำแหน่งที่เหลือ
- การใช้ Trailing Stop Loss ตาม Moving Averages ช่วยติดตามแนวโน้มและเพิ่มโอกาสปิดกำไรสูงสุด
- การใช้ Margin ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยตรวจสอบตำแหน่งและความเสี่ยงปัจจุบันก่อนเสมอ
บทเรียนจากปี 2023 (2023 Takeaways)
1. คุณไม่สามารถจับทุกการเทรดได้
- อย่าคาดหวังว่าจะได้กำไรจากทุกโอกาสการเทรด
2. สร้างผลตอบแทนแบบอสมมาตร (Asymmetric Returns)
- ตั้งเป้าผลตอบแทนที่สูงด้วยความเสี่ยงต่อการเทรดที่ต่ำ
- การลดความเสี่ยงช่วยลดความผันผวนทางอารมณ์
---
ข้อคิดปิดท้าย (Ending Remarks)
1. เรียนรู้จากนักเทรดมืออาชีพ
- ค้นหานักเทรดที่คุณสามารถเรียนรู้ได้ (อย่าหลงเชื่อคนแรกที่ปรากฏในฟีดโซเชียลมีเดียของคุณ)
- ความสำเร็จในโลกของการเทรดต้องการ วินัย และ ความหลงใหล
- การศึกษารูปแบบการเทรดในอดีตและการเรียนรู้จากนักเทรดที่หลากหลายเป็นสิ่งสำคัญ
2. อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นบวก
- การอยู่ท่ามกลางผู้คนที่คิดบวกช่วยให้คุณมีแรงใจในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
- หากคุณสัมผัสกับความคิดลบมากเกินไป มันจะส่งผลกระทบต่อคุณเหมือน **รังสีที่มองไม่เห็น**
- การเทรดเป็นธุรกิจที่ยาก คุณจะรู้สึกหลงทางหรือหมดหนทางในบางครั้ง แต่ความคิดบวกจะช่วยให้คุณก้าวผ่านไปได้
3. อย่าเร่งสร้างความเชี่ยวชาญ
- การเป็นนักเทรดที่เก่งต้องใช้เวลา อย่าฝืนเร่งกระบวนการ
- รักษาทั้งทุนทางการเงินและจิตใจ เพราะหากคุณหลงทาง อาจทำให้คุณล้มเลิกไปได้
4. อย่าลืมใช้ชีวิต
- “ถ้าคุณเร่งวิ่ง อาจมองไม่เห็นป่าทั้งผืนเพราะมัวแต่โฟกัสที่ต้นไม้ทีละต้น”**
- การพักผ่อนและการใช้ชีวิตช่วยให้คุณสามารถเทรดในระยะยาวได้อย่างมีสมดุล
สรุป
- การเทรดคือการเดินทางที่ต้องใช้เวลา ความอดทน และการเตรียมตัวที่รอบคอบ
- ใช้โอกาสเรียนรู้จากนักเทรดที่มีประสบการณ์ แต่ให้พัฒนาในแบบของคุณเอง
- การรักษาความสมดุลระหว่างการเทรดและการใช้ชีวิตเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณยืนระยะได้ในโลกของการเทรด
(โฆษณา)
ถ้าท่านชื่นชอบเนื้อหาแบบนี้ แล้วอยากให้มีบ่อย ๆ สนับสนุนผลงานของผมหน่อยนะครับ
eBook มีจำหน่ายที่แอพ Meb
https://www.mebmarket.com/index.php?action=search_book&type=author_name&search=%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%20%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87&auto_search_id=&exact_keyword=1&page_no=1
- Get link
- X
- Other Apps