นักเทรดคิดว่างานของพวกเขาคือการทำเงิน แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่!

Image
นักเทรดคิดว่างานของพวกเขาคือการทำเงิน แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่! แปลและขยายความจาก  https://x.com/markminervini/status/1850913591630680378 นักเทรดหลายคนมีความเชื่อผิด ๆ ว่า “งาน” หรือสิ่งที่พวกเขาต้องทำคือการทำกำไรให้ได้มากที่สุด ในความจริงแล้ว เป้าหมายของการเทรดคือการทำเงิน แต่งานจริง ๆ ของนักเทรดนั้นคือการปฏิบัติตามและดำเนินกลยุทธ์ที่ได้วางแผนไว้อย่างมีวินัยโดยไม่หลุดออกจากกรอบที่ตั้งไว้ ถ้าคุณสามารถยึดมั่นในกฎการเทรดของตัวเองอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์ตามมาคือกำไรและความสำเร็จจะเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เป้าหมาย vs งานจริงของนักเทรด - เป้าหมาย  คือการทำเงินและสร้างผลตอบแทน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากได้ แต่สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่คุณสามารถควบคุมได้โดยตรง - งานจริง  ของนักเทรดคือการใช้กลยุทธ์ที่มีโอกาสชนะให้ได้อย่างสม่ำเสมอและมีวินัย ยึดมั่นในแผนการเทรดที่ตั้งไว้ การทำตามกฎของตัวเองอย่างเคร่งครัดจะช่วยให้คุณจัดการกับความเสี่ยงและลดโอกาสขาดทุนได้ ทำไมวินัยจึงสำคัญในงานของนักเทรด การมีวินัยเป็นสิ่งที่ช่วยให้การเทรดมีความมั่นคงและปลอดภัยมากขึ้น การไม่มีวินัยในการเทรดจะทำให้นักเทรดเกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาด

Indicator ตัว ไหน ดี ที่สุด?

 


การเลือกใช้ Indicator ที่ดีที่สุดนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะการลงทุนและสไตล์การเทรดของนักลงทุนแต่ละคน ไม่มี Indicator ใดที่สามารถใช้ได้ดีที่สุดในทุกสถานการณ์ การเลือกใช้ Indicator ที่เหมาะสมต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ประเภทของตลาด สภาวะตลาด เป้าหมายการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ นี่คือตัวอย่าง Indicator ที่ได้รับความนิยมและเหมาะสมกับการใช้งานในสถานการณ์ต่าง ๆ:


1. Moving Averages (MA)

- Simple Moving Average (SMA): ใช้ค่าเฉลี่ยราคาหุ้นในช่วงเวลาที่กำหนด เป็นเครื่องมือที่เรียบง่ายและใช้งานง่าย

- Exponential Moving Average (EMA): ให้ความสำคัญกับราคาล่าสุดมากกว่า เหมาะสำหรับการติดตามแนวโน้มระยะสั้น


2. Relative Strength Index (RSI)

- เป็นเครื่องมือวัดความแข็งแรงและความอ่อนแอของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด ช่วยระบุระดับ Overbought (ซื้อมากเกินไป) และ Oversold (ขายมากเกินไป)


3. Moving Average Convergence Divergence (MACD)

- ใช้ในการระบุแนวโน้มและจุดกลับตัวของราคา ประกอบด้วยเส้น MACD เส้น Signal และ Histogram ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มและแรงกระตุ้นของตลาด


4. Bollinger Bands

- ประกอบด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) และเส้นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) บนและล่าง ช่วยในการระบุความผันผวนของราคาและจุดซื้อขาย


5. Stochastic Oscillator

- เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการระบุระดับ Overbought และ Oversold โดยวัดความสัมพันธ์ระหว่างราคาปิดล่าสุดกับช่วงราคาที่กำหนด


6. Fibonacci Retracement

- ใช้ในการระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่สำคัญ โดยใช้เลข Fibonacci Sequence ในการคำนวณระดับต่าง ๆ


7. Average Directional Index (ADX)

- ใช้ในการวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม ช่วยให้นักลงทุนรู้ว่าแนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นนั้นแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ


8. Volume Indicators

- เช่น On-Balance Volume (OBV) และ Volume Moving Average ใช้ในการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายเพื่อยืนยันแนวโน้มและแรงกระตุ้นของตลาด


การเลือก Indicator ที่เหมาะสม

การเลือก Indicator ที่เหมาะสมต้องพิจารณาจากสไตล์การลงทุนและลักษณะของตลาดที่คุณกำลังลงทุน:

- นักลงทุนระยะยาว: ใช้ Indicator ที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มระยะยาว เช่น Moving Averages, MACD

- นักลงทุนระยะสั้นหรือเทรดเดอร์: ใช้ Indicator ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวระยะสั้น เช่น RSI, Stochastic Oscillator

- ตลาดที่มีความผันผวนสูง: ใช้ Indicator ที่ช่วยในการระบุความผันผวน เช่น Bollinger Bands, ATR (Average True Range)


นักลงทุนควรทดลองใช้ Indicator หลาย ๆ ตัว และปรับให้เข้ากับสไตล์การลงทุนของตนเอง การใช้ Indicator ร่วมกันหลาย ๆ ตัวเพื่อยืนยันสัญญาณ (Confluence) จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจลงทุน


7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า

VCP (Volatility Contraction Pattern) และรูปแบบที่คล้ายกัน

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

Setup เงินล้านของ Kristjan Kullamägi

จิตวิทยา การวิเคราะห์และใช้งาน แท่งเทียน Doji

วิธีการอ่านสัญญาณแท่งเทียน (Candlesticks Reading) สำหรับมือใหม่