แปลจาก novelinvestor.com/notes/why-you-win-or-lose-the-psychology-of-speculation-by-fred-c-kelly/
- Fred C. Kelly พบว่า behavior (พฤติกรรม, การปฏิบัติ - การตอบสนอง) เป็นส่วนประกอบสำคัญต่อความสำเร็จของนักลงทุนมากกว่าที่คิดไว้ ธรรมชาติมนุษย์เปลี่ยนแปลงน้อยมาก
เขาบอกว่า ถ้าคุณอยากหลีกเลี่ยงความผิดพลาด ให้ทำตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ เพราะสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำเหมือน ๆ กันนั้น มันจะชักนำให้พวกเขาพบกับอันตรายในอนาคต
- วิธีการดูตลาด คือการมองผ่านมุมมองของฝูงชน คนส่วนใหญ่ของตลาด
- หากต้องการเป็นผู้ชนะ คุณต้องทำตรงข้ามกับ mass พูดง่ายมาก แต่ทำตามยาก น้อยคนนักที่จะทำตามได้ ซึ่งมันต้องเป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้า
- ถ้าหากคนจำนวนมากทำ สิ่งนั้นก็จะไม่เกินขึ้น
- หากทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอให้ราคาลงต่ำ กว่านี้ เพื่อจะได้เข้าซื้อ ราคาก็อาจไม่ลงไปหา
- น้อยคนนักที่จะได้ของดีราคาถูกที่สุด
- มวลชนไม่รู้จักการต่อรองราคา(ที่ดีพอ-และเข้าใจ) พวกเขาจึงต้องเป็นฝ่ายเสียเงินเสมอ
- แรงกระตุ้นตามธรรมชาติของมนุษย์ คืออุปสรรคขัดขวางไม่ให้นักเทรดส่วนใหญ่ทำเงินได้ยั่งยืน
- ธรรมชาติของมนุษย์คือศัตรูของนักเทรดเอง นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมความสำเร็จในการเทรดจึงได้ยากมาก
- การคิดว่าจะทำตรงข้ามกับ mass มันง่ายเสมอ แต่การลงมือทำต่างหากที่ยากยิ่งกว่า
- จิตใจของมนุษย์ เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จ ไม่ใช่สภาพเศรษฐกิจหรอก
- วัฏจักรของพฤติกรรม The cycle of behavior:
คลื่นการขึ้นที่ ๑ ในช่วงที่ตลาดเพิ่งฟื้นตัว นักลงทุนมักจะระมัดระวัง และไม่กล้าจัดหนัก พวกเขาจะเล่นแบบเก็งกำไรระยะสั้นมากกว่าถือยาว
คลื่นการขึ้นที่ ๒ เมื่อราคาวิ่งสูงขึ้น พวกเขาจะมั่นใจ กล้าถือนานขึ้น
พอราคาย่อ เขาจะเข้าซื้อ ซื้อ
จนกระทั่งสื่อทุกแห่งบอกข่าวร้ายท่วมตลาด พวกเขาจึงตัดใจขายหุ้นอย่างท้อแท้ใจ ที่ระดับต่ำสุด
ความผิดพลาดที่ ๑ Vanity (ความทรนง/ฟุ้งเฟ้อ) คือศัตรูขัดขวางความสำเร็จของนักลงทุน- ขายหุ้นกำไรไวเกินไป แต่สะสมหุ้นขาดทุน คือความหายนะ
- ตอนที่ขาดทุนเล็กน้อย นักลงทุนจะยังไม่อยากขาย เพราะยังหวังให้มันกลับมาเท่าทุนแล้วกำไร
- การตัดขาดทุน เหมือนการยอมรับผิด ซึ่งนักเทรดส่วนใหญ่ไม่สามารถทำใจรับได้ พวกเขาจึงเลือกรีบขายหุ้นตัวกำไรออกแล้วทนถือหุ้นผู้แพ้เอาไว้ รอให้มันกลับมาเท่าทุน
- Vanity ทำให้นักลงทุนเชื่อเรื่องเคล็ดลับการเทรด สูตรลับเฉพาะ แต่ความจริงก็คือ ยิ่งเชื่อมั่นกับพวกนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสี่ยงมากขึ้นตามเท่านั้น
ความผิดพลาดที่ ๒ ความโลภ สร้างอิทธิพลที่เลวร้ายต่อการตัดสินใจ- (เรารู้กันว่า) นักลงทุนซื้อหุ้นเพราะคาดหวังว่ามันจะทำกำไรให้ และจะขายออกเมื่อมันไม่ยอมทำเงินให้
- แต่พอเรามีความโลภ มองโลกในแง่ดี เราก็จะเลี่ยงไม่ยอมทำตามหลักการนี้ เราจะทนถือ+ซื้อถัว
- นักมองโลกในแง่ดี มักจะมองเพียงแต่ว่า ราคาหุ้นจะต้องวิ่งกลับขึ้นมาในไม่ช้า เขาไม่สามารถจินตนาการเลยว่า ราคาอาจจะลงต่อได้ลึกและนานกว่านี้ เขาไม่รู้ว่าความกลัวนั้นรุนแรงมาก ยิ่งกลัว-ราคาหุ้นยิ่งลงแรง
- น้อยคนนักที่จะมีความอดทนนั่งดูราคาร่วงลงจนถึงระดับที่ได้เปรียบ ความโลภทำให้พวกเขารีบเข้าไวเกินไป
- การขาดทุนหนัก ๆ จะเกิดขึ้นเมื่อนักเทรดคนนั้นไล่ซื้อในยามที่ทุกคนทั้งตลาดมองโลกในแง่ดี ทุกคนโลภ
ความผิดพลาดที่ ๓ ความหวัง จะทำให้นักลงทุนติดสินใจผิดพลาด/ไม่ถูกต้อง- หุ้นปั่น จะใช้สตอรี่สร้างความหวังครั้งใหญ่ กระจายข่าวออกไปสู่สาธารณะในวงกว้าง เพื่อดึงดูดให้ mass ผู้โลภมากเข้ามาติดกับดัก พวกเขามีความหวัง-ต้องงการมองหาหุ้นพลิกชีวิตแบบง่าย ๆ ไม่ต่างอะไรกับการซื้อล็อตเตอรี่หวังแจกพอต
ความผิดพลาดที่ ๔ การพยายามมีเหตุผล มักผิดเสมอ- การทำในสิ่งที่ไร้เหตุผล มักได้กำไรกว่าทำตามเหตุผล เพราะมันเป็นลักษณะการคิดแบบสองชั้น (second-level thinking)
- การคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล มักจะเป็นการคิดแค่ชั้นเดียว ซึ่ง คนส่วนใหญ่ก็คิดกันได้ (อาจเหมือนบทวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์) ถ้ามันเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิด ก็ต้องเป็นฝ่ายผิดไปโดยปริยาย
- ถ้าคุณอยากมีผลงานเหนือกว่าค่าเฉลี่ย ก็อย่าได้ทำพลาดแบบเดียวกันกับ mass ดังนั้นจงคิดแบบที่ไร้ตรรกะ!(ว้าว) คุณต้องลงทุนในมุมที่แตกต่าง เป็นนักสวนกระแส เพราะอะไรก็ตามที่มันเป็นเหตุเป็นผล มักจะผิดเสมอ
- เหตุผลที่ทำให้คนกล้าไล่ซื้อทั้ง ๆที่ ราคาวิ่งขึ้นสูงมากแล้ว ก็เพราะข่าวดี การมองโลกในแง่ดี เราจึงคิดด้วยเหตุผลไปเองว่าราคาหุ้นน่าจะวิ่งสูงขึ้นได้อีก หากราคิดแบบไร้เหตุผลคือการขายออก เพราะข่าวดีจะไม่คงอยู่ตลอดไป
- เหตุผลคือ ที่ว่าเมื่อมีข่าวร้าย ต้องขายออกมา เพราะเราคิดว่าทุกอย่างจะต้องเลวร้ายลงไปได้อีกแน่ สิ่งที่ไร้เหตุผลก็คือ ซื้อสวนข่าวร้ายนั้น เพราะข่าวร้ายไม่ได้คงอยู่ตลอดไป การตื่นเต้นที่ได้เห็นหุ้นตกคือสิ่งที่ไร้เหตุผล
- การคิดที่มีเหตุผลคือ ขายหุ้น(ผู้ชนะ)ที่ได้กำไร ทนถือหุ้น(ผู้แพ้)ที่ขาดทุน สิ่งที่ไร้เหตุผลคือ ขายหุ้นผู้แพ้ และเก็บหุ้นผู้ชนะเอาไว้ เพราะผู้ชนะมีโอกาสวิ่งต่อได้อีกเนื่องจากพื้นฐานที่ดีขึ้น
- ทำไมเรามักจะซื้อหุ้นแล้ว ราคาวิ่งลงทันที พอขายหุ้นแล้วราคาดีกลับขึ้นทันที? เป็นเพราะว่ามนุษย์เรามักจะมีแนวโฯ้มที่จะคิดเหมือนกันโดยบังเอิญ เราเหมือนกันมากโดยเฉพาะความสามารถในการทนกับความเครียด เมื่อใครสักคนหมดความอดทนคนอื่นๆ ก็จะทำเหมือนกัน
- ผู้เขียนเล่าเรื่องราวของ Crash of ’29: เอกสารทุกวันอาทิตย์ที่ออกมาหลังจาก Black Tuesday ที่ประกาศว่าคนจะเข้ามาซื้อเปนจำนวนมากเพราะราคาลงหนักของถูกมีมากมาย ทุกเจ้าแนะนำให้รีบเข้าซื้อก่อนที่ราคาจะดีดกลับแรง แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามเกิดขึ้น - ราคาร่วงลงไปอีก สิ่งที่ไร้เหตุผลที่ต้องทำคือการยอมรับว่านักลงทุนส่วนใหญ่จะพยายามเข้าซื้อเพื่อให้ได้ราคาต่ำสุด ดังนั้นนักลงทุนที่ฉลาดควรขาย
- วิธีการที่ดีที่สุด คือ "ต้องไร้เหตุผล-คิดสวนตลาด/มวลชน" หากเหตุผลของคุณเป็นสิ่งที่ทุกคนคิดเหมือนกัน คุณก็จะไม่มีทางชนะ
- นักลงทุนทั่วไป คิดว่าการที่ราคาหุ้นต่ำกว่าเมื่อวาน มันราคาถูก ยิ่งต่ำกว่ายอดมากเทาไหร่ยิ่งถูก โดยที่พวกเขาไม่ได้คำนึงว่าพรุ่งนี้มันจะลงถูกกว่าเดิมได้อีก นักลงทุนที่ฉลาดจะไม่ซื้อหุ้นจนกว่ามันจะผ่านการทดสอบอย่างหนักและแสดงออกชัดเจแล้วว่าไม่อยากลงต่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่ทำไม่ได้(เรารอไม่ได้) เราใจร้อนรีบเข้าเพราะกลัวไม่ได้หุ้น แทนที่จะรอดูพฤติกรรมของมันให้แน่ชัดเสียก่อน
- มันเป็นความจริงที่พิสูจน์ได้เสมอ ว่านักลงทุนส่วนใหญ่ล้วนผิดพลาดบ่อย และขาดทุนเสมอ
- หากทุกคนมีความฉลาดอย่างแท้จริง จะไม่มีใครขายหุ้นในราคาถูกเกินไป หรือซื้อแพงเกินไป ผลลัพธ์ก็คือไม่มีความผันผวนของราคา ช่วงราคาจะถูก จำกัด ให้อยู่ในระดับที่แคบจนไม่มีนักเก็งกำไรให้ความสนใจกับตลาดมากนัก ซึ่งตอนนั้นตลาดเก็งกำไรก็ไม่ควรมีอยู่!
- การเก็งกำไรจะคุ้มค่าก็ต่อเมื่อมีคนไม่กี่คนที่ได้ประโยชน์จากความโล่เขลาของคนจำนวนมาก