คุณต้องเรียนรู้วิธีการเป็นผู้จัดการความเสี่ยงที่ยอดเยี่ยม

Image
พี่มาร์ค มิเนอร์วินี กล่าวว่า “หากคุณต้องการสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ คุณต้องเรียนรู้วิธีการเป็นผู้จัดการความเสี่ยงที่ยอดเยี่ยม” การเป็นนักเทรดที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีอย่างสม่ำเสมอไม่ได้หมายถึงการชนะทุกครั้งที่คุณเข้าเทรด แต่หมายถึงการมีวิธีการจัดการความเสี่ยงอย่างชาญฉลาดเพื่อให้คุณสามารถปกป้องทุนของคุณและเพิ่มโอกาสในการเติบโตของพอร์ตการลงทุนในระยะยาว  นี่คือการขยายความแนวคิดที่ว่า "การเป็นผู้จัดการความเสี่ยงที่ยอดเยี่ยม" สำคัญอย่างไร: eBook "Risk Management: การบริหารจัดการความเสี่ยงเบื้องต้นสำหรับนักเทรด" มีจำหน่ายที่แอพ Meb เท่านั้น  https://t.co/YaO0CIQq8J 1. ความเสี่ยงเป็นส่วนหนึ่งของการเทรด ในตลาดการเงิน ไม่มีใครสามารถควบคุมผลลัพธ์ของแต่ละการเทรดได้ การเคลื่อนไหวของตลาดขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก เช่น ข่าวเศรษฐกิจ หรือพฤติกรรมของผู้เล่นในตลาด ซึ่งมักเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ความสำเร็จจึงไม่ได้มาจากการ "เดาถูก" แต่เป็นการรู้วิธีจัดการความเสี่ยงเมื่อคุณ "เดาผิด" ตัวอย่าง:   สมมติว่าคุณมีเงินทุน 100,000 บาท หากคุณใช้เงินทั้งหมดในการเ

สรุป The Most Important Thing วิธีลงทุนสวนกระแส (ชาวสวน contrarian)

วิธีลงทุนสวนกระแส

ลงทุนสวนกระแส


วิธีลงทุนสวนกระแส จากหนังสือ The Most Important Thing
แปลจาก www.arborinvestmentplanner.com/the-most-important-thing-by-howard-marks-book-review-summary โดย KenFaulkenberry



บทที่ ๑
ไม่มีกฎไหนใช้งานได้ดีตลอดกาล ไม่มีทางเวิร์คทุกครั้ง เพราะเราไม่สามารถควบคุมสิ่งแวดล้อม/สถานการณ์ได้เลย อะไรที่เคยเกิดขึ้นมักจะไม่ค่อยเกิดซ้ำแบบเป๊ะๆ ตรงนี้เองที่จิตวิทยามีบทบาทสำคัญในตลาดเก็งกำไร เพราะเราต้องใช้มันเพื่อรับมือกับความแปรผันและผลกระทบที่เราคาดไม่ถึง

สิ่งสำคัญที่สุดคือ "การคิดสองชั้น" คุณต้องคิดนอกกรอบ(จากการคิดชั้นเดียว) คนส่วนใหญ่คิดชั้นเดียวคือซื้อเมื่อมีสถานการณ์ที่ดีมาก ๆ อย่างชัดเจน แต่คนที่คิดสองชั้นจะเห็นว่าการลงทุนในระดับราคานั้นมันแพงเกินจริง มีความเสี่ยงสูง

คนส่วนใหญ่ที่คิดชั้นเดียว มักจะขายหุ้นออกเมื่อสถานการณ์เลวร้ายชัดเจน แต่คนที่คิดสองชั้นจะมองว่าพวกเขาเหล่านั้นตื่นตระหนกเกินไป ทำให้ราคาลงหนักเกินมูลค่า เขาจะซื้อแทนที่จะตกใจขาย



บทที่ ๒
ตลาดเก็งกำไร ไม่มีประสิทธิภาพ มีหน้าที่ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่(mass)ขาดทุน หรือได้กำไรน้อยมาก เราจุงควรมองว่ามันนำเสนอโอกาสให้เรา(ชนะ-ได้กำไร) - ส่งสัญญาณหลอก(แพ้-ให้เราขาดทุน) ปะปนกันไป ตามแต่พื้นฐานความคิด ข้อมูลของแต่ละคน

ความจริงก็คือตลาดส่วนใหญ่มีประสิทธิภาพแทบจะตลอดเวลา แต่สิ่งที่ให้มันไร้ประสิทธิภาพก็คือตัวนักลงทุนเอง เพราะพวกเขาถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ โลภ-กลัว อันจะชักนำให้พวกเขาลงมือทำแบบสุดโต่ง และสร้างความผิดพลาดอย่างมีนัยสำคัญ

นักลงทุนที่คิดสองชั้น เขาเลือกที่จะเชื่อว่า ตราดไม่สามารถเอาชนะความไร้ประสิทธิภาพได้ (แปลไทยเป็นไทยคือ มันจะไร้ประสิทธิภาพไปตลอด) ซึ่งความเชื่อนี้จะเปิดโอกาสให้พวกเขามองเห็นโอกาสที่จะทำกำไรจากมัน



บทที่ ๓ นักลงทุนที่ไม่รู้(หรือไม่ให้ความสำคัญ)เรื่องความสามารถในการทำกำไร,ปันผล, การประเมินมูลค่า หรือ การทำมาหาได้ของบริษัท จะไม่สามารถตัดสินใจได้ถูกต้องและถูกเวลาได้

สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ มูลค่า
การเติบโต แตกต่างจาก มูลค่า
การเติบโต เป็นการเดิมพันสำหรับอนาคต ซึ่งไม่แน่นอน ซึ่งบ่อยครั้งที่คุณมักจะจ่ายแพงกว่ามูลค่าที่แท้จริง
มูลค่า จะยั่งยืนกว่า การซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า มีความเสี่ยงต่ำ กว่าการคาดเดามูลค่าในอนาคต(แบบการเติบโต)
มูลค่าที่ดี ก็คือตอนที่คุณซื้อหุ้นเติบโตในราคามูลค่า แต่ถึงกระนั้น คุณก็ไม่ได้คิดถูกต้องทุกครั้ง



บทที่ ๔
ไม่มีสินทรัพย์ใดที่เป็นการลงทุนที่ดี หากคุณซื้อมันในราคาแพงเกินไป และก็ไม่มีสินทรัพย์ใดที่เป็นการลงทุนที่เลว ถ้าหากคุณซื้อมันในราคาถูก(เชิงมูลค่า)มากๆ

สิ่งสำคัญก็คือ คามสัมพันธ์ระหว่างราคากับมูลค่า สภาพจิต/ความเชื่อ/อารมณ์(จิตวิทยา)ของนักลงทุนจะเป็นปัจจัยทำห้ราคาถูกหรือแพงเกินมูลค่าของมัน(ราคาผิดเพี้ยน) ในระยะสั้นแล้ว การลงทุนก็ไม่ต่างไปจากการประกวดความนิยม

จุดที่อันตรายที่สุดของการลงทุรคือ คุณเข้าไปซื้อในตอนที่หุ้นตัวนั้นมันป็อปปูล่าร์ขีดสุด(ใคร ๆ ก็พูดถึง ใคร ๆ ก็เชียร์) ในเวลานั้นเราจะเห็นข้อมูลเชิงบวกและข้อสมมุติฐานที่เพริดแพร้วไปสะท้อนในราคาที่สูงสุดสอย ซึ่งเป็นราคาที่นักลงทุนส่วนใหญ่ได้ซื้อมันไปแล้ว

เวลาที่ดีในการลงทุนก็คือ ยามที่ไม่มีใครต้องการมันเลย ณ จุดนั้นเป็นตอนที่มีข้อมูลลบและสมมุติฐานเลวร้ายเต็มตลาด ซึ่งมันจะสะท้อนให้เป็นผ่านราคาที่ตกต่ำ อันเกิดจากใคร ๆ ก็พากันขายไปหมดแล้ว

การซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เป็นวิธีการลงทุนที่น่าเชื่อถือที่สุด และได้กำไรงามที่สุด



บทที่ ๕
ความเสี่ยงที่น่ากังวลที่สุดก็คือ ขาดทุนหนัก ราคาไม่กลับมาอีกเลย
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ "การเข้าใจความเสี่ยง" ซึ่งมีหลายคนเข้าใจผิดกันมาก
สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง ไม่จำเป็นต้องให้อัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้น หรือมันไม่เสี่ยงเลย
ความเสี่ยงอาจไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐานที่อ่อนแอ ถ้าคุณซื้อขายในราคาที่เหมาะสม(ตามมูลค่า) ก็จะเป็นการลงทุนที่มีกำไรได้เช่นหัน
ความเสี่ยงไม่ใช่ความผันผวน แต่มันเกิดจากการตอบสนองของนักลงทุนต่อความผันผวนนั้น

ความเสี่ยงสามารถลดลงอย่างมาก ถ้า
๑) การประเมินมูลค่าที่แท้จริงถูกต้อง และเข้าลงทุนได้ถูกเวลา
๒) การตัดสินใจที่ดี ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของราคากับมูลค่า
๓) หลีกเลี่ยงการลงทุนเกินราคา เข้าลงทุนเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่า



บทที่ ๖
ระดับความเสี่ยงที่มีอยู่ในตลาด เกิดจากพฤติกรรมการตอบสนองของนักลงทุนจำนวนมาก ไม่ใช่หลักทรัพย์และสถาบัน

สิ่งสำคัญที่สุดคือการตระหนักถึงความเสี่ยง
ความเสี่ยงจะสูงสุด เมื่อทุกคนมองว่ามันเสี่ยงต่ำมาก ทำให้นักลงทุนไล่ซื้อจนถึงจุดที่เสี่ยงมาก ยิ่งราคาสูงผลตอบแทนที่คาดหวังจะต่ำมาก ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่พึงประสงค์ ก่อให้เกิดการสูญเสียขนาดใหญ่

ความเสี่ยงจะต่ำสุด เมื่อทุกคนเชื่อว่ามีความเสี่ยงสูง
มันทำให้นักลงทุนพากันเทขายหุ้นให้ราคาลดลงต่ำจนถึงจุดที่ไม่มีความเสี่ยงอีกต่อไป เพราะเขาเห็นว่ามันมีผลตอบแทนที่คาดหวังสูงจนน่าพอใจ

นักลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยงที่มาพร้อมราคา ไม่ใช่คุณภาพของการลงทุน
สินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูงอาจมีความเสี่ยง(ถ้าเราจ่ายแพง) สินทรัพย์ที่มีคุณภาพต่ำอาจปลอดภัย (ถ้าซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่า) ขึ้นอยู่กับราคาที่เราจ่าย



บทที่ ๗
หนทางสู่ความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว คือ การควบคุมความเสี่ยง(เกมรับ) มากกว่า เกมรุก
นักลงทุนที่มีประสิทธิภาพชั้นยอด จะเชี่ยวชาญในการควบคุมความเสี่ยง


ใครตามที่ควบคุมความเสี่ยงได้ดี สามารถจำกัดขนาดของความสูญเสียได้ดี จัดสรรเงินลงทุนได้เยี่ยม คนนั้นจะเป็นผู้ชนะในระยะยาว

การควบคุมความเสี่ยง ไม่ใช่หลีกเลี่ยงมัน แต่คุณต้องเผชิญหน้าและบริหารมัน
ตลาดหุ้นจะมีที่ดีมากกว่าปีที่ไม่ดี
การควบคุมความเสี่ยงจะมาในรูปของการสกัดกั้นความสูญเสียครั้งใหญ่(แก้ที่ต้นทาง) ไม่ใช่ไปแก้ไขที่ปลายเหตุ
ใครก็ตามที่เพิกเฉย ป่อยให้ความเสี่ยงลุกลาม คนนั้นมีโอกาสถูกลงโทษ ให้พบกับความพินาศได้ไม่ยาก
ดังนั้น การควบคุความเสี่ยง ต้องเป็นงานที่คุณต้องทำตลอดเวลา



บทที่ ๘
Cycle จะไม่หยุดเดิน แม้คนจะต้องการให้ตลาดมีประสิทธิภาพ นั่นอาจจะทำให้ cycle ชั่วคราว แต่ก็จะไม่สามารถหยุดมันได้ถาวร

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณต้องใส่ใจกับ cycle เพราะมันจะยังคงหมุนไปเรื่อย ๆ มันมีการกลับตัวตามวาระของมัน ความสำเร็จเป็นจุดเริ่มต้น(สร้างเมล็ดพันธุ์)ความล้มเหลว ความล้มเหลวเป็นจุดเริ่มต้น(สร้างเมล็ดพันธุ์)ความสำเร็จ

นักลงทุนระยะสั้น จะตัดสินใจไปเองว่าแนวโน้มจะไม่มีทางสิ้นสุด เพราะเมื่อเขาอยู่ในช่วงเวลาที่ดี-พวกเขาจะสรุปว่าแนวโน้มจะดำเนินไปตลอดกาล และเมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่เลวร้าย-พวกเขาจะพูดคุยเกี่ยวกับวงจรอุบาทว์ การดำดิ่งไร้ก้นไปตลอดกาล

อย่าได้คิดไเองว่า แนวโน้มจะดำเนินไปตลอดนิรันดร์ ควรระวังจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่เป็นไปได้



บทที่ ๙
เมื่อนักลงทุนทั่วไปยอมรับความเสี่ยงได้สูงมาก ความปลอดภัยจะน้อยลง ยิ่งเสี่ยงสูงผลตอบแทนอาจได้น้อยกว่าความเสี่ยง

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การตระหนักถึง pendulum (การแกว่งกลับ)
ตลาดจะแกว่งไปมา จากช่วงมั่นใจ/สุขสุดขีด(euphoria) แกว่งไปหาช่วงเสียขวัญสุดขีด (depression) ถ้าอยากมีความสุขก็ต้องอยู่ในช่วงกลางให้ได้ (happy medium) แต่ถึงกระนั้น ตลาดจะมีช่วงที่เป็นกลางน้อยมาก (มันจะแกว่งแบบลูกตุ้ม pendulum) ซึ่งการแกว่งไปมาจะช่วยให้นักลงทุนที่เข้าใจความผันผวนได้รับโอกาสทำเงินที่ดีในตอนที่มันทำตัวสุดขั้ว



บทที่ ๑๐
ความผิดพลาดครั้งใหญ่ของการลงทุนไม่ได้มาจากปัจจัยในเรื่องข้อมูลและการวิเคราะห์หรอก แต่มันมาจากจิตใจ(psychology)ของตัวนักลงทุนเอง

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การต่อสู้กับอิทธิพลเชิงลบ ความโลภ ความกลัว ความลำเอียงที่จะทำให้เราทิ้งตรรกะ ความอิจฉาริษยา และอีโก้ เหล่านี้แหละที่เป็นอิทธิพลทางลบให้กับพวกเรา

พลังอิทธิพลเชิงลบเหล่านี้ มันเป็นพลังสากล เป็นจิตวิทยาหมู่ ที่มนุษย์คิดตรงกัน(แม้จะไม่ได้อยู่ไกล้ชิดกันก็ตาม) ซึ่งมันจะรุนแรงและตรงกันในวงกว้างในตอนที่สถานการณ์สุดขั้ว(ทั้งกลัวและกล้า) และมันจะทำร้ายต่อผลตอบแทนของพวกเขา

มีหลายแนวทางที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทน แต่ที่แนะนำคือ ให้ยึดติดกับแนวคิดมูลค่าที่แท้จริงและ margin of safety เพื่อให้ท่านรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมที่ท่านกำลังลงทุน ว่าเป็นโอการ หรือความเสี่ยงกันแน่



บทที่ ๑๑
จงซื้อเมื่อคนส่วนใหญ่ขายอย่างสิ้นหวัง จงขายเมื่อคนส่วนใหญ่ซื้ออย่างร่าเริง จงใช้ความกล้าหาญทำในสิ่งนี้ แล้วท่านจะได้รับผลกำไรสูงสุด ข เซอร์ จอห์น เทมเปิลตัน

สิ่งสำคัญที่สุด คือ การคิดสวนทางกับมวลชน นักลงทุนส่วนใหญ่เป็นผู้ติดตามแนวโน้ม นักลงทุนที่ดีว่าจะทำตรงกันข้ามกับนักลงทุนส่วนใหญ่

หากนักลงทุนส่วนใหญ่ซื้อเพราะเห็นว่าสภาวะการณ์ดูดีราคาก็จะวิ่งขึ้นสูง แต่ยิ่งราคาวิ่งขึ้นสูง-ความเสี่ยงก็ยิ่งสูงตาม(ถ้าเข้าซื้อ) ทำให้ผลตอบแทนต่ำกว่าความเสี่ยง
หากนักลงทุนส่วนใหญ่ขายหุ้นออก เพราะเห็นว่าเงื่อนไขไม่เอื้อำนวย(สถานการณ์ไม่ดี) สิ่งนี้จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการได้รางวัลก้อนโต



บทที่ ๑๒
เงื่อนไขของการได้ส่วนต่างที่ดี(extension of bargain) ขึ้นอยู่กับการยอมรับว่ามันมีสิ่งที่เลวร้ายมากกว่าที่เราคิด

สิ่งที่สำคัญต่อการหาหุ้นดีที่ลดราคาสุดถูก นักลงทุนจะไม่ให้ความสำคัญกับคุณภาพมากนัก เพราะการลงทุนในหุ้นคุณภาพสูงอาจเป็นการลงทุนที่แย่หรือดีก็ได้ มันขึ้นอยู่กับราคาที่คุณจ่าย

ถ้านักลงทุนล้มเหลวในการแยกแยะทรัพย์สินที่ดี(good asset) กับ การซื้อที่ดี(good buys) พวกเขาจะเดือดร้อน เพราะเมื่อราคาวิ่งสวนทาง ยิ่งไปไกล พวกเขายิ่งเจ็บปวด และเลวร้ายกว่าความเป็นจริงมากเท่านั้น



บทที่ ๑๓
ในยามที่คนอื่นตัดสินใจ(ขาย)หนี คุณต้องกล้าเสี่ยง(สวนทาง) ไม่ใช่ลงไปวิ่งแข่งกับเขา

สิ่งสำคัญที่สุด คือการอดทนรอเพื่อฉวยโอกาส บางครั้งการลงมืที่ดีที่สุดคือการไม่ลงมือทำ การรอให้เกิดการลดราคาจึงลงมือ-มักจะเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด

คำแนะนำ : ให้ทำลิสต์เอาไว้ แล้วเลือกหุ้นที่นักขายมีแรงจูงใจในการขาย-แทนที่จะตัดสินใจแบบเข้าข้างตัวเอง เขาชี้ให้เห็นว่าในการลงทุนคุณไม่จำเป็นต้องสวิงไม้เบสบอลทุกครั้ง (ในการลงทุนนั้น)ไม่มีบทลงโทษสำหรับการอดทน

จงเฝ้าดูและสังเกตภาวะของตลาดเพื่อหาจังหวะที่มันขาดสมดุล แล้วเข้าซื้อและขายออกในราคาที่เป็นประโยชน์ต่อคุณ ซึ่งมักจะเป็นการกระทำตรงข้ามกับความเห็นของคนส่วนใหญ่เสมอ


บทที่ ๑๔
ไม่มีใครชอบลงทุนเพื่ออนาคต ภายใต้ข้อสันนิษฐานว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้
ในทางตรงกันข้าม หากเป็นเช่นนั้นเราควรเผชิญหน้ากับมันและหาวิธีอื่นๆ ในการรับมือมากกว่าคาดการณ์


สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรู้ว่าคุณไม่รู้อะไร
การคาดการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจ และการผันผวนในอนาคต ในตลาดหุ้น เป็นสิ่งที่อันตรายและอาจไร้ค่าในระยะยาว

ให้ความสนใจกับการประเมินมูลค่า งบดุล และงบกำไรขาดทุน
ลดการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจและตลาด อย่าพยายามพยากรณ์สิ่งที่ไม่รู้

บทที่ ๑๕
เราอาจจะไม่มีทางรู้เลยว่าเรากำลังจะไปไหน
แต่เราควรมีความคิดที่ดีว่ามันควรจะเป็นอะไร นั่นคือแม้ว่าเราไม่สามารถคาดการณ์ระยะเวลา และขอบเขตของความผันผวนของวัฏจักรได้
แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราอยู่ที่ไหน ในเงื่อนไขของวัฏจักรและดำเนินการตามนั้น


สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีสติในที่ที่เรายืน เราจำเป็นต้องตระหนักถึงสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจเป็นบวกหรือลบหรือไม่?
ตลาดทุนจะตึงหรือหลวม? การกระจายความเสี่ยงแคบหรือกว้าง?
 นักลงทุนมีความกระตือรือร้นที่จะซื้อหรืออยากขาย?
ราคาสินทรัพย์สูงหรือต่ำ?
ให้ใช้ข้อมูลที่เรามีและรู้ในวันนี้ เพื่อตัดสินใจลงทุนโดยพิจารณาจากความน่าจะเป็นไม่ใช่การคาดการณ์ เราควรกลัวเมื่อผู้อื่นกล้าผลักดันราคาให้สูงขึ้น และเราควรจะกล้ามากขึ้นเมื่อคนอื่น ๆ ตื่นตระหนกและผลักดันให้ราคาลดลง

บทที่ ๑๖
“การสุ่มก่อให้เกิด (หรือทำลาย) ผลการลงทุนที่เหลือเชื่อ
ผลที่ตามมาคืออันตรายที่แฝงตัวอยู่ในกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากนั้น มักถูกประเมินค่าต่ำกว่ามาตรฐาน”


สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเห็นคุณค่าบทบาทของโชค
คุณไม่สามารถตัดสินความเหมาะสมของการตัดสินใจลงทุน จากผลลัพธ์
การตัดสินใจที่ไม่ดีบางอย่าง ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี
การตัดสินใจที่ดีบางอย่าง ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ดี

นักลงทุนบางคนสร้างพอร์ตโฟลิโอเพื่อเพิ่มผลกำไรตามการคาดการณ์
หากโดยบังเอิญการคาดการณ์ถูกต้อง พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเรารู้ว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้
นักลงทุนนั้นอาจจะแค่โชคดีก็ได้

นักลงทุนที่ดีจะลงทุนเชิงป้องกัน ตามความน่าจะเป็นที่หลากหลาย
พวกเขาจะให้ความสำคัญในส่วนที่เกี่ยวกับความเสี่ยงและการสุ่มเหตุการณ์เป็นอันดับแรก
รวมถึงการพยายามหลีกเลี่ยงหลุมพราง ที่อาจทำลายล้างพอร์ตโฟลิโอ

บทที่ ๑๗
“การลงทุนแบบป้องกันจำเป็นต้องมีพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย จำกัดของความเสี่ยงโดยรวมที่เกิดขึ้นและทำให้พอร์ตเกิดความปลอดภัย”

ผู้จัดการการลงทุนส่วนใหญ่ล้มเหลวเพราะพวกเขารุกมากเกินไป ไม่ใช่เพราะระวังตัวมากเกินไป
การพยายามทำกำไรให้ได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยโดยการรับความเสี่ยงมากขึ้น เป็นเกมที่โง่สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่

ในความเป็นจริง การเล่นเกมรับต้องอาศัยความสมดุล คุณต้องพยายามป้องกันตามการสูญเสียให้น้อยที่สุดในปีที่ผลงานตกต่ำ

การควบคุมความเสี่ยงที่ดีที่สุด คือการยอมรับความผิดพลาด
การเคารพต่อความเสี่ยง ซื้อที่ราคาต่ำ และการยอมรับในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ ทำให้เขาเป็นผู้จัดการการลงทุนที่ดีที่สุด

บทที่ ๑๘
“จุดเปลี่ยนที่สำคัญ คือตอนที่อนาคตหยุดเป็นอดีต(when the future stops being the past) การคาดการณ์ล้มเหลว และเงินจำนวนมากสูญหายหรือเราไม่ได้ทำ”

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการหลีกเลี่ยงหลุมพราง เหตุผลที่ขับเคลื่อน cycle มักจะตรงกับความเชื่อที่ว่า "ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม" นี่เป็นหลุมพรางที่ก่อให้เกิดอันตรายสูงสุดต่อจำนวนผู้ติดตามฝูงกลุ่มใหญ่ เหตุผลเหล่านี้ควรได้รับการยอมรับและหลีกเลี่ยงโดยนักคิดสองชั้น

ในระยะสั้นปัจจัยทางจิตวิทยาและทางเทคนิคสามารถแทนที่หรือเอาชนะปัจจัยพื้นฐานได้
แต่เมื่อใดที่เราพบว่าคนส่วนใหญ่เข้าร่วมแนวโน้ม และช่วยสร้างฟองสบู่ หรือการล่มสลาย
นี่เป็นเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องทำตัวสวนตลาด contrarian และคิดถึงการป้องกันตัวเอง

บทที่ ๑๙
“เป้าหมายของนักลงทุนทุกคน ควรทำให้ผลประกอบการได้กำไรมากกว่าขาดทุน”

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การเพิ่มมูลค่า
Marks สนับสนุนการเป็นนักลงทุนเชิงตั้งรับ ที่มุ่งมั่นต่อการเสียหายให้น้อย ในภาวะตลาดะตกต่ำ และได้รับผลกำไรก้อนใหญ่ในตอนที่ตลาดเป็นขาขึ้น

เบต้า คือ การวัดว่าพอร์ตโฟลิโอของเราเพิ่มมากเท่าไหร่เมื่อเทียบกับตลาด
นักลงทุนที่ชอบรุก (เบต้าสูง) แต่ขาดไม่มีทักษะ จะได้กำไรก้อนใหญ่เมื่อตลาดเป็นขาขึ้นและจะขาดทุนหนักมากเมื่อตลาดเป็นขาลงลง
นักลงทุนเชิงป้องกัน (รุ่นเบต้าต่ำ) แต่ขาดทักษะ จะไม่เสียหายมากนักเมื่อตลาดเป็นขาลง ถึงกระนั้นเขาจะไม่ได้ผลมากนักเมื่อตลาดพุ่งขึ้น แบบนี้มูลค่าไม่เพิ่ม

อัลฟ่า คือ การวัดทักษะการลงทุนส่วนบุคคล นี่คือการวัดผลงานของพอร์ตโฟลิโอที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของตลาด อัลฟาที่เป็นบวกจะบอกว่าใน cycle วิ่งขึ้นและลง นักลงทุนทำได้ดีกว่าตลาด อัลฟาเชิงลบจะหมายถึงว่าใน cycle วิ่งขึ้นและลง แต่ลงนักลงทุนมีประสิทธิภาพต่ำกว่าตลาด


บทที่ ๒๐
“เพื่อให้บรรลุผลการลงทุนที่เหนือกว่า ความเข้าใจในเรื่องมูลค่าของคุณจะต้องเหนือกว่า
ดังนั้นคุณต้องเรียนรู้สิ่งที่คนอื่นไม่เห็น สิ่งที่แตกต่าง หรือวิเคราะห์พวกเขาให้ดีขึ้น - ถ้าทำได้ทั้งทั้งสามอย่าง จะสุดยอดมาก”


สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเอามาประยุกต์ใชรวมกัน คุณต้องมั่นใจในการประเมินมูลค่าของตัวเอง
คุณต้องมีความกล้าหาญที่จะรักษาวินัย เมื่อราคาแตกต่างจากการประเมินมูลค่าของคุณ
คุณต้องเข้มแข็งพอที่จะเอาชนะอิทธิพลทางจิตวิทยาที่ทรงพลังซึ่งจะพยายามให้คุณเข้าร่วมวงฝูงชน

ความเสี่ยงที่สำคัญ คือ ความเสี่ยงของการสูญเสียเงินต้นอย่างถาวร
การควบคุมความเสี่ยงเป็นหัวใจของการลงทุนเชิงป้องกัน เน้นหนักไปที่การไม่ทำสิ่งผิดพลาด

กุญแจสู่ความสำเร็จในการลงทุน คือ การได้ซื้อหุ้นในราคาและมูลค่าที่เหมาะสม
เราไม่มีทางที่จะรู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร ดังนั้นการยอมรับความผิดพลาดจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มมูลค่า The larger the margin for error the higher the probability of success.


ความเห็นของผู้สรุป
นี่คือหนังสือกระตุ้นความคิด อาจเป็นหนังสือการจัดการพอร์ตโฟลิโอที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา มันเข้าใจง่ายมาก แต่ยากที่จะนำไปใช้ในชีวิตจริง ถ้าการลงทุนเป็นเรื่องง่ายหลายคนคงไม่ล้มเหลว

Howard Marks ให้สิ่งที่สำคัญที่สุดแก่เรา ด้วยความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับคุณค่าและความแข็งแกร่งที่จะเอาชนะอิทธิพลทางจิตวิทยาเชิงลบทุกคนสามารถเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ

ขอแนะนำหนังสือเล่มนี้!
มีขายที่ amazon.com ยังไม่มีแปลเป็นภาษาไทยครับ


(แนะนำเพิ่มเติม ความรู้การเทรดหุ้นของฟรี)
หากต้องการศึกษาวิธีเล่นหุ้น แนะนำให้ไปอ่านบทความฟรี คลิปฟรีที่นี่ก่อนก็ได้
เรียนเล่นหุ้น เรียนเทรด forex จิตวิทยาการเทรด มือใหม่เล่นหุ้น
คลิกลิ้งนี้ครับ https://www.zyo71.com/p/index.html เป็นสารบัญเว็บ zyo71.com นี้แหละครับ


ส่วนนี่เป็น ช่องยูทูป ของผมเอง ดูฟรีเช่นกันครับ
เข้าไปชม คลิกที่ลิ้งนี้ www.youtube.com/channel/UCTDoP5zRI4hRETT_2SSlPag/videos


และนี่เป็นหนังสือเล่มของผมเองครับ



www.facebook.com/zyobooks


และ eBook มีขายที่เว็บ https://www.mebmarket.com/index.php?action=search_book&type=author_name&search=เซียว%20จับอิดนึ้ง&exact_keyword=1&page_no=1
แยกส่วนกันนะครับ ขายคนละเจ้า
ebook หนังสือสอนเล่นหุ้น

7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

VCP (Volatility Contraction Pattern) และรูปแบบที่คล้ายกัน

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

อธิบาย Wyckoff Accumulation Phase แบบละเอียดยิบ

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo

สรุปหนังสือ Trade Like a Casino