ผมขอตั้งข้อสังเกตนะครับ
ว่ามือใหม่ชอบให้ความสนใจกับสิ่งที่มันยากๆ เช่น
- พยายามจะรู้ให้ได้ว่าเจ้ามือกำลังทำอะไรอยู่
- พยายามเรียนวิชาที่ซับซ้อนที่สุดอย่าง อีเลียตเวฟ
- พยายามซื้อที่จุดต่ำสุด
- ขายที่จุดสูงสุด
ฯลฯ
ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
แต่พวกเขาก็อยากจะรู้กัน
มือใหม่ที่ว่านี้ ไม่ใช่ใครอื่นหรอกครับ
มันรวมถึงผมเองด้วยนี่แหละ
จำได้ว่าในช่วงแรกๆ ของตัวเองนั้น ใคร่อยากจะซื้อหุ้นให้ได้ในราคาต่ำสุดให้ได้
- ไหนจะพยายามศึกษา selling climax
- พยายามระบุ Spring ตามหลักการ Wyckoff
- พยายามระบุจุดเริ่มต้นเวฟหนึ่งให้ได้
ฯลฯ
จากนั้นเมื่อล้มเหลว ก็พยายามอีก
พยายามเดาใจเจ้ามือ
ว่าทรงราคาแบบนี้ เจ้ามือเขาเก็บหุ้นใช่หรือไม่
จะได้เก็บหุ้นพร้อมไปกับเจ้ามือ
นั่นคือได้ราคาต่ำสุด
แต่... สุดท้ายก็ล้มเหลวอีก
คือตอนนั้นคิดว่า ถ้าได้หุ้นที่ราคาต่ำสุด ความเสี่ยงน้อยเลย เพราะราคาไม่ลงต่อ
จากนี้ไปก็รอให้มันขึ้น
แต่...(อีกแล้ว) มันก็ไม่ยอมขึ้นง่ายๆ
ทุกวันได้แต่เห็นหุ้นตัวอื่น วิ่ง ลิ่ง กันอย่างคึกคัก
ทว่าหุ้นของเรา กลับนิ่งสนิท
เครียดสิครับ
ยิ่งเห็น SET บวกแรง แต่หุ้นเรานิ่ง ก็ยิ่งปวดใจ
เจ็บจี๊ดอีกเท่าตัว เมื่อดัชนีร่วงแรง หุ้นทุเรศของเรากลับดิ่งตามแบบกลัวน้อยหน้า
ในที่สุดก็ทำจุดต่ำสุดใหม่ให้ขายออกทั้งน้ำตา
เลยกลับมาวิเคราะห์แผนกลยุทธ์ของตัวเองเสียใหม่
รู้สึกตัวว่าตนเองเล่นท่ายากเกินพื้นฐานความสามารถของตัวเองไปหน่อย
ตัวเองใจร้อน กลับไปเล่นหุ้นตรงข้ามกับนิสัย
อย่ากระนั้นเลย หาแนวทางซื้อหุ้นที่ราคาพร้อมวิ่งขึ้นเลยดีกว่า
ไม่ต้องรอนาน
จึงชักนำให้มารู้จักแนวโน้มขาขึ้น
เป็นช่วงที่ราคาวิ่งแรง ทำกำไรให้เร็วดี
ไม่ต้องรอนาน
ยิ่งได้อ่านงานของเหล่าโมเมนตัม มาสเตอร์ ตั้งแต่ปู่โอนีล พี่มาร์ค พี่แดน ฯลฯ ก็ยิ่งมั่นใจว่า แนวนี้เหมาะกับนิสัยเรามาก
แถมไม่ยาก ไม่ต้องตีความหลายตลบกว่าจะได้คำตอบที่ใช่
คือดู price pattern ให้ออก รอซื้อตอน breakout ก็ได้กำไรเลย
นี่คือการรับรู้หลังจากที่อ่านหนังสือ
แต่ครั้นพอได้ลองจริง
มันก็ไม่ราบรื่นไปเสียทุกครั้ง
มีทั้งเคสที่ประสบความสำเร็จ และล้มเหลว ปะปนกันไป
ถึงกระนั้น มันก็มีเคสชนะให้เกิดกำลังใจขึ้นมาบ้าง
แม้ไม่เยอะแยะจนร่ำรวย
แต่ก็พอเห็นทางสว่าง
ถ้าเรามีการปรับปรุง จุดซื้อ จุดขายให้ดีขึ้นกว่านี้ โอกาสประสบความสำเร็จก็น่าจะมีมากขึ้น
ถ้าสามารถรันเทรนด์หุ้นให้ยาวขึ้น ก็น่าจะได้กำไรมากขึ้น
แต่ พอเวลาผ่านไป ลองตามที่ตั้งใจ ก็พบว่า สิ่งที่เราคาดหวัง กับความจริง มันวิ่งสวนทางกันอีกแล้ว
อยากรันเทรนด์ให้ได้กำไรมากขึ้น กลับกลายว่าพอราคาวิ่งถึงจุดสูงสุด ไม่ได้ขาย
เพราะกลัวขายหมู ยังหวังว่ามันจะวิ่งขึ้นไปต่อได้อีก
พอไม่ขายที่จุดนั้น ราคาก็ร่วงแรง
หลุดแนวรับที่น่าขาย ก็ไม่ยอมปล่อย
กลัวขายหมู ขายแล้วเด้ง
โน่นแหละ...ราคาลงไปหลุด stop loss จึงได้ขาย แทนที่จะได้กำไร ก็ต้องมาตัดใจขายขาดทุน แบบน่าเจ็บใจ
เมื่อเจ็บปวด ก็เลยต้องกลับมาตั้งคำถามตัวเองเสียใหม่
เราเล่นท่ายากเกินไปอีกแล้ว ใช่หรือไม่?
ใช่ว่าหุ้นทุกตัวจะวิ่งแรงเป็นเด้ง เสียเมื่อไหร่
ทำไมไม่เล่นท่าง่าย ด้วยการเอาเฉพาะที่วิ่งแรง
ใช้เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น เป็นคอกกั้นไว้
ถ้าราคาร่วงหลุดเส้นนี้ลง ก็ขายออก
ง่ายๆโง่ๆ
พอได้ข้อสรุป ก็ไปเวิร์คต่อ
ก็ไม่ราบรื่น อีกนั่นแหละ
คือพอเห็นราคาหลุดเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น กลับไม่ยอมขาย เพราะกลัวขายหมู
ทิ้งไว้รอดูมันเด้ง
แต่ก็ออกมาอีหรอบเดิม คือมันลงแรง ให้ต้องไป stop loss เหมือนเคย
บางตัวเลวร้ายกว่า คือไม่กล้าตัดขาดทุน เพราะเสียดายส่วนต่าง
สร้างอคติมากล่อมตัวเอง ว่ามันเป็นหุ้น growth ว่าไปโน่นเลย
ออกทะเลสุดกู่
กลับมาคิดอีกรอบ
สิ่งที่ทำให้ยาก มันอาจจะไม่ใช่ method แล้วล่ะ
มันเป็น mind ของตัวเองนี่แหละ
ความโลภ ความกลัว ทำให้ยาก
ระบบง่าย แต่ใจทำให้ยากเอง
ต้องเริ่มต้นที่การปรับปรุงจิตใจตัวเองอีก
เริ่มให้ความสำคัญกับวินัย
ระบบดี เหมาะกับตัวเรา แต่หากไร้วินัย ก็ไร้ค่า
ไม่มีวินัยเสียอย่างเดียว อะไรที่ดูง่าย มันเปลี่ยนให้กลายเป็นเรื่องยากไปได้หมด
แทนที่จะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส
มันกลับพลิกโอกาสให้เป็นวิกฤตเสียนี่
Keep it simple & easy.
ระบบ easy ได้ แต่วินัยต้อง hard คือหนักแน่น
ถ้าใจไม่หนักแน่น ก็ไม่มีอะไร easy หรอกครับ