ผมเห็นคำกระแนะกระแหนลักษณะนี้จากหลากหลายแหล่ง ทั้งพันทิพ ฟอรั่ม และเพจหุ้น จึงเกิดนึกอยากจะให้ตอบตามมุมมองของเม่าที่พอเดาใจความคิดของคนทั้งสองฝ่ายได้บ้าง
แต่ก่อนที่จะไปที่คำตอบ ผมว่าเรามาฟื้นฝอยหาต้นตอกันก่อนว่า ทำไมคุณถึงมีคำถามประเภทนี้ออกมา
เพราะคุณไม่ได้หาหุ้นเองใช่มั้ย?
แน่อนอนว่าคุณอาจจะไม่มั่นใจในความสามารถในการหาหุ้นของตัวเองเลย หรือคุณอาจจะคิดจะขอถือโอกาสลอกหุ้นจากคนที่คุณมองว่า “เก่งกว่า” และมีโอกาสแม่นกว่าคุณ สรุปคือ คุณคิดแบบ “ยืมจมูกคนอื่นหายใจ”
ดังนั้นเมื่อคุณให้หลักการเทรดแบบอาศัยคนอื่น ทำไมถึงกล้าออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมแบบหน้ามึนอย่างนี้?
มาดูอีกฝั่งเซียนกันบ้าง ทำไมเขาถึงบอก?
แน่นอนว่า เขาก็ต้องการคนมาช่วยพยุงหุ้น หรือช่วยไล่ราคาหุ้นให้วิ่งขึ้นต่อได้อีกสักนิดก็ยังดี เพราะตอนนี้เขาได้หุ้นจนครบโควต้าแล้ว แต่ก็จนใจที่ราคาหุ้นไม่ยอมไปไหนไกลเลย กำไรก็จิ๊บจ๊อยมาก ทั้งๆที่ข่าวดีก็มีซ่อนอยู่ แต่อาจเป็นเพราะว่ามันลึกเกินนักเล่นหุ้นทั่วไปจะนึกถึง ถ้าพวกเขารู้น่าจะตื่นเต้นกันมากแน่ๆ ดังนั้นจึงตัดสินใจแนะนำหุ้นตัวนั้นออกสื่อ
กรณีแบบนี้ผมเคยเจอกับตัว มาอย่างน้อยสองครั้งครับ ตัวแรกคือหุ้นร้านสะดวกซื้อ นี่เป็นการหลุดปากของเซียนหุ้นท่านหนึ่งที่เป็นระดับปรมาจารย์ทางด้านวีไอเลย แกบอกว่าตอนนั้นนักลงทุนบ้านเรามองไม่ออกว่าหุ้นตัวนั้นมีมีดีอะไร ทั้งๆที่มันเป็น mega trend ต่างประเทศมันเติบโตกันดีมาก เมื่อมีแต่แกรู้คนเดียวราคาหุ้นก็เลยไม่ยอมไปไหน พอสบโอกาสไปอยู่ในฟอรั่มนักลงทุนสายเดียวกัน ก็เลยถือโอกาสเอ่ยถึงข้อดีของมันให้สมาชิกทราบ จากนั้นราคาหุ้นก็ซิ่งแหลกสิครับ เพราะมีการหาข้อมูลต่างๆมาสนับสนุน มีการบอกต่อกันอย่างแพร่หลาย และหุ้นตัวนั้นก็ทำตัวดีน่าเชื่อถือสมราคาครับ มันเติบโตอย่างต่อเนื่อง สิบกว่าปีแล้วมันยังโตไม่หยุดเลย เซียนท่านนั้นก็รวยเละ และคนที่ซื้อหุ้นตามแต่แรกๆก็รวยมหาศาลเช่นกัน
วอร์เรน บัฟเฟตต์ บอกว่า
“ตอนผมอายุ 21 ต่อให้พูดสิ่งที่ฉลาดที่สุดในโลก ก็ยังไม่มีใครสนใจฟัง
แต่พอตอนนี้ ต่อให้ผมพูดสิ่งที่โง่เง่าที่สุดในโลก ผู้คนจำนวนมากก็ยังเอามาวิเคราะห์ว่าผมซ่อนความหมายนัยๆอะไรไว้หรือเปล่า?”
แม้สิ่งที่ปู่พูดมันออกไปในทางตัดพ้อและกัดจิก แต่มันเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ครับ เพราะความสำเร็จของแกมันทำให้ผู้คนเกิดศรัทธา จนให้แกเป็นไอดอล คือมันเกิดจากการสั่งสม เกิดจากประวัติการกำไรหุ้นของแกเอง โดยที่ไม่ต้องไปโฆษณาอะไร ผลงานมันก่อให้เกิดความน่าเชื่อถือไปแล้ว ทำให้นักลงทุนทั่วโลกอยากเป็นเหมือน ยิ่งเก่งก็ยิ่งมีคนตามเยอะ ทั้งอยากเลียนแบบ และอยากรู้ว่าแกมีเคล็ดลับอะไร เผื่อจะได้ทำตามบ้าง ต่างก็คาดหวังว่าการตัดสินใจครั้งต่อไปต้องดีแน่ๆ เมื่อเป็นแบบนี้สาวกจึงต้องพยายามแกะสิ่งที่แกพูดไง เพราะฐานะแกไม่ได้เป็นคนธรรมดาแล้ว แกเป็นเทพ
บ้านเราก็เหมือนกัน นักลงทุนคลั่งไคล้เซียนหุ้น รากหญ้าก็คลั่งไคล้ดารา มันก็เป็นลักษณะเดียวกันเลย เมื่อเซียนหุ้นมีคนติดตามเยอะ การจะบอกใบ้อะไรสักอย่างแม้จะเป็นเรื่องเหลวไหล ทำเล่นๆ ก็ต้องมีคนฟังและตีความเป็นจำนวนมาก
มันจึงเป็นเหมือน “คานงัด” ที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเชียร์หุ้นสักตัว แม้ว่าหุ้นตัวนั้นจะเป็นหุ้นเน่าสนิทก็ตาม
ผมเคยทำเพจเกี่ยวกับหุ้นเน่าที่สุดในตลาดตัวหนึ่ง มีอยู่ช่วงหนึ่งราคามันเกิดการกระตุกขึ้นอย่างผิดสังเกต จาก 0.02 ขึ้นมาอยู่ที่ 0.04 ตอนแรกผมก็ตื่นเต้นกับมัน คิดว่าต้องมีข่าวดีอันจะทำให้พื้นฐานเปลี่ยนเป็นแน่ และคนที่เข้ามาติดตามเพจมากขึ้น ซึ่งในตอนนั้นเองก็มีการ comment จากเซียนหุ้นระดับไอดอลท่านหนึ่ง มาบอกว่าตัวเองก็มีหุ้นตัวนั้นอยู่ โอ้โห..เท่านั้นแหละคนในเพจต่างฮือฮากันใหญ่ พากันไลค์และแชร์ ทำให้เกิดกระแสการไล่ซื้อหุ้นตัวนั้นให้วิ่งไปถึง 0.09 ในเวลาไม่กี่วัน ซึ่งผมเองก็กำไรนะครับ เพราะทุน 0.04 แต่ไม่ยอมขาย เพราะคิดว่าเซียนมาซื้อแล้ว มันน่าจะไปไกลกว่านี้ เราไม่ควรรีบขาย ทนรวยต่อไปอีกนิดดีกว่า
แต่ที่ไหนได้ แทนที่ราคาจะวิ่งขึ้นไปต่อ มันกลับค่อยๆกลับตัวแรง ดิ่งนรกกลับไปซึมที่ระดับ 0.02 อีกไม่ถึงสัปดาห์ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ขาย เพราะกำลังช็อคกับความมาไวไปไวของมัน ไม่คิดว่าเซียนท่านนี้จะ “เล่นสั้น” แบบนี้
ตอนนั้นผมเองก็งอนท่านนะ ทำไมพี่ไม่ช่วยไล่ราคาให้วิ่งแรงไปกว่านี้หน่อย ผมจะได้กำไรและหนีทัน แต่พอเวลาผ่านไปหลายปี เขียนบทความเยอะขึ้น เทรดแบบทำความเข้าใจตัวเองมากขึ้นก็พบว่า เขาก็มีเหตุผลเช่นกัน
นั่นก็คือ ถ้าแกบอกว่าจะขายตอนไหน คุณคิดว่าแกจะได้ขายมั้ย? ผมตอบแทนเลยก็ได้ว่า “ไม่มีทาง!!”
เพราะพวกเม่าทั้งหลาย คนที่ปวารณาตัวเป็นสาวกของท่านนี่เองจะชิงจังหวะขายออกก่อน ซึ่งบางคนก็มีหุ้นมากกว่าแก หรือจำนวนมากพอที่หากขายแล้วราคาร่วงกลับไปอยู่ที่เดิม นั่นหมายความว่าเซียนไม่ได้กำไร
คนที่เทรดแล้วไม่ได้กำไรเลยน่ะ มีแต่เม่าเท่านั้นแหละ เพราะพวเขาเป็นนักบุญชอบทำทาน แต่เซียนเขาเป็นนักธุรกิจ เขาคิดคำนวณรอบคอบแล้วว่าควรจะได้กำไรอย่างน้อยสักเท่าไหร่ จึงตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นสักตัว ถ้าไม่กำไรเขาไม่เล่นเด็ดขาดเพราะเสียดายเวลา เสียดายเงินที่หามาได้อย่างยากลำบาก
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเซียนไม่บอกเวาลาขายหุ้น เพราะถ้าบอกเขามีโอกาสไม่ได้ขายในราคาที่เขาต้องการ ในราคาที่เขาปลอดภัยไงล่ะ เรื่องนี้แค่ใช้สามัญสำนึกก็รู้กันดีอยู่แล้ว
ลองถามคุณเองก็ได้ ถ้าเซียนบอกจะขายหุ้นที่ราคา 5 บาท คุณจะรอขายที่ 5 บาทมั้ย? ไม่มีทาง อย่างน้อยคุณก็ต้องเลือกขายไปก่อน 4.90 หรือ 4.99 ถ้าทำได้ เพราะคุณไม่อยากเป็นคนเสียเปรียบไง คุณอยากได้เปรียบตลอดเวลา
คุณต้องไม่ใช่คนที่โง่ที่สุด ซึ่งคนที่คุณปรารถนาอยากให้เป็นคนสุดท้ายที่ขายและทนถือหุ้น พยุงราคามันไปตลอดคือ “เซียนหุ้น” สักคน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ในโลกความจริง เพราะทุกคนล้วนคำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลักอยู่แล้ว
เซียนหุ้นเขาก็รู้ดี เพราะเคยเป็นเม่ามาก่อน จึงไหวตัวทันชิงจังหวะขายในตอนที่เม่าเข้ามารุมซื้อเยอะๆ รีบขายเพื่อลดความเสี่ยงไปให้ได้มากที่สุด เพราะเขาหุ้นเยอะ หนำซ้ำเขาเองนี่แหละที่เป็นคนไล่ราคาขึ้นมาให้เม่าเล่น เมื่อมันเป็นการลงทุนซื้อหุ้นเพื่อไล่ราคา โดยหุ้นตัวนั้นมันไม่มีพื้นฐานที่ดีเลยแม้แต่นิด คนฉลาดเขาไม่คิดจะถือยาวอยู่แล้ว ต้องเล่นแบบฉาบฉวย
แต่กลายเป็นเราเองที่ “คาดหวังให้เซียนเป็นพ่อพระ แจกตังค์ให้กับมวลมหาเม่า ดันราคาให้เม่ากำไร เขาไม่กำไรก็ได้ ขอให้เม่ามีสุข” นั่นเป็นคำพูดของนักหาเสียงเลือกตั้งครับ ที่เขากล้าพูดด้วยคำที่ลิเกขนาดนั้นก็หวังจะได้คะแนนเสียงจากท่านไปเท่านั้นเอง เมื่อได้เป็นสมาชิกสภาแล้ว เขาจะได้ไปทำมาหากิน ทำเงินในรูปแบบธุรกิจการเมืองต่อไป
ทุกคนล้วน “เห็นแก่ตัว” กันทั้งนั้นแหละ ดังนั้นคุณก็ไม่ควรไปคาดหวังกับคนอื่นให้เป็นพ่อพระ เพราะมันเป็นสิ่งที่คุณควบคุมไม่ได้ ดังนั้นคุณต้องกลับมามองตัวเอง รักษาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลักการข้อแรกเสมอ ซึ่งเซียนหุ้นเขาก็ทำกันแบบนี้เช่นกัน และมันก็เป็นรากฐานให้เขามีความมั่งคั่งจนถึงวันนี้ได้
เพราะฉะนั้น เลิกเรียกร้อง แต่จงทำความเข้าใจ และคิดให้ได้แบบเขา เราจะได้มีวิธีคิดที่ถูกต้อง และรวยได้แบบเขาครับ