เห็นว่ามันลงรายละเอียดไม่ชัดนัก มีแต่ลิ้งค์เต็มไปหมด ก็เลยเอาไอเดียทั้งหมด มาแปลงเป็นรูป เอาคลิปจากยทูป มาเผย รวมถึงมุมมองเกี่ยวกับ buy signal ที่เพิ่มเติม ให้แฟนๆ zyo71 ได้อ่านและดูกันครับ อยากให้บทความนี้มันเป็น one stop service เกี่ยวกับการหาสัญญาณซื้อกันไปเลย
Buy signal น่ะ ก็เป็นแค่สัญญาณแจ้งเตือน ว่าหุ้นตัวนั้นมีความน่าจะเป็นที่จะวิ่งขึ้นเท่านั้นเองครับ
ซึ่งมันจะทำให้การเทรดของท่านมีความรัดกุมและมีโอกาสชนะมากกว่าคนอื่นๆจำนวนมากได้ครับ
********
แนะนำบทความรวมคลิป = คอร์สหุ้นออนไลน์
ชมฟรีครับ ที่ช่องยูทูปของ zyo
***********
เดี๋ยวประเด็นพวกนี้ผมจะเอาไปเสริมที่ท้ายบทความนะ อย่าลืมอ่านมันด้วยล่ะ
ตรงนั้นแหละที่สำคัญที่สุดในมุมมองผม
นี่เขียนออกมาจากใจให้ท่านอ่านเลยนะ
อ้อ...อีกอย่างที่สำคัญมาก ผมแค่รวบรวมมันมายัดไว้ในนี้เท่านั้นนะ
ไม่ได้ใช้ทุกตัวหรอก
ดังนั้น ไม่สามารถลงรายละเอียดที่เจาะลึกได้ เป็นแค่เป็ด
ถ้าสงสัยอะไร อย่าถามผม
แต่จงไปค้นต่อเอาเองนะ
ใช้ google นี่แหละ ผมก็เอามาจากมัน
(เข้าประเด็น)
สัญญาณซื้อ หรือ Buy signal คืออะไร?
มันก็คือสัญญาณเตือนให้เราทำการติดตามราคาหุ้น
หรือส่งสัญญาณซื้อนั่นเองครับ
Buy signal มีกี่แบบกันนะ?
มี 2 แบบครับ
คือ สัญญาณซื้อทางเทคนิคอล กับ สัญญาณซื้อจากโบรกเกอร์
สัญญาณซื้อทางเทคนิคอล
ต้นตอของคำนี้ก็มาจากทางสายกราฟนี่แหละครับ
โดยหลักการก็คือ เอาสิ่งที่เคยเกิดในอดีตมาอ้างอิงครับ
หรือที่เขาเรียกว่า History repeats itself นั่นแหละ
เคยเห็นราคาทำทรงแบบนี้ แล้วจากนั้นมันวิ่ง ก็จำไว้ เอามาเทียบกับตัวอื่นในปัจจุบัน
ถ้าตรง ก็ถือว่าเป็นสัญญาณซื้อได้ ดังนี้
๑) Moving Averages หรือเส้นค่าเฉลี่ย
มีอยู่ ๒ แบบ คือ
- ราคาตัดกัน เรียกว่า golden cross
โดยมาตรฐาน ก็คือ เส้น 50 วัน ตัด 200 วัน ขึ้นไปครับ (ลูกศรน้ำเงิน)
ส่วนสัญญาณขายก็เอาการตัดกันลงนั่นแหล (ลูกศรแดง)
- ราคาเด้งที่เส้นค่าเฉลี่ยสำคัญ โดยเฉพาะ 200 วัน, 50 วัน
คือเราต้องมองย้อนกลับไปในอดีตว่า ราคาหุ้นมันชอบย่อลงไปเด้งที่เส้นไหน
แล้วก็เอาเส้นนั้นเป็นเหมือนแนวรับ เมื่อราคาลงไปเด้งจริง ก็ถือเป็น buy signal (ลูกศรชี้สีน้ำเงิน)
ประเด็นของเส้นค่าเฉลี่ย ผมเขียนไว่ในหนังสือ หุ้นซิ่ง สวิงเทรด แบบจัดหนักเลยครับ
ตอนนี้ยังมีขายที่เพจ Zyo Books :
www.facebook.com/?rid=1427944937266189&rt=6
๒) MACD
หลักการก็คือ ดูที่เส้น MACD ตัด 0 ขึ้นไป ก็เป็น buy signal (ลูกศรเขียว)
ส่วนสัญญาณขาย ก็ใช้การตัด 0 ลง (ลูกศรแดง)
บางคนใจร้อน ก็ดูเส้น MACD ตัดกับเส้น signal ก็ใช้เป็นสัญญาณซื้อได้เช่นกัน
๓) RSI
Buy signal คือตอนที่ราคาฟื้นจากระดับต่ำกว่า 30 ดีดทะลุเส้นนี้ขึ้นไปได้
ส่วนสัญญาณขายก็เป็นตอนที่ RSI ร่วงจากระดับเหนือ 70 ลงไปทะลุ 70 ลงไปได้
บางคนใช้ RSI 50 เป็นตัวช่วย
ซื้อเมื่อ RSI ตัด 50 ขึ้น และขายเมื่อมันตัด 50 ลง
อ่านบทความเพิ่มเติมที่
จุดซื้อ MACD vs RSI vs Breakout ตัวไหนแม่นไม่แม่น? มาดูกัน
และ
รวมเทคนิคการใช้ RSI Overbought ให้ได้หุ้นซิ่ง
๔) Bollinger Bands
ซื้อเมื่อแท่งราคาตัดเส้น band ล่าง = สัญญาณซื้อ
ขายเมื่อแท่งราคาตัด band บน
๕) Stochastic
ตัวนี้ผมไม่เคยใช้เลยครับ
แต่เท่าที่ค้น เขาบอกว่า มีสองแบบ คือ
- Fast Stochastic
Buy signal เกิดตอนที่ เส้น %D(สีแดง) ลงไปใต้ระดับ oversold(20) พร้อมกันนั้น เส้น %K(สีน้ำเงิน) ก็ตัดเส้น %D ขึ้นไป
ส่วนสัญญาณขายก็ตรงข้ามกัน ก็คือมีการตัดกันที่เหนือระดับ overbought
- Slow Stochastic
หลักการเดียวกัน คือBuy signal เกิดตอนที่ เส้น %D(สีแดง) ลงไปใต้ระดับ oversold(20) พร้อมกันนั้น เส้น %K(สีน้ำเงิน) ก็ตัดเส้น %D ขึ้นไป
VIDEO
๖) Ichimoku Cloud
ตัวนี้ผมไม่เคยใช้เลยครับ
เขาบอกมาว่า buy signal เป็นแบบนี้
๑) ราคายืนเหนือเมฆ
๒) ราคาอยู่ใต้เส้น Base line (เส้นสีแดง)
๓) ราคาวิ่งไปยืนเหนือเส้น Conversion line
เท่าที่เห็นใช้กันเยอะก็น่าจะมีเท่านี้นะ พวกอินดิเคเตอร์
ส่วนสายกราฟเปล่า ก็จะเป็นเรื่องของ price pattern นั่นแหละครับ
๗) ยืนยันขาขึ้น
หรือรูปแบบ 1-2-3 ก็ได้เช่นกัน
๒) ราคาทะลุแนวต้านของฐานราคาแบบต่างๆ
อ่านเพิ่มที่
๒ เทคนิคเข้าซื้อหุ้นที่ผมใช้ และข้อควรระวัง
๓) Trend line ก็ใช้ได้เช่นกัน
หลักการเหมือนซื้อตอนที่ราคาเด้งจากเส้นค่าเฉลี่ยเลยครับ
คือท่านต้องลากจากจุดต่ำสุดอย่างน้อย 2 จุดให้เป็นเส้นแนวรับ
ซื้อเมื่อราคาเด้งจากเส้นนั้น
สัญญาณซื้อของแท่งเทียน
ผมเคยเอาไปลงในหนังสือ "หุ้นซิ่ง สวิงเทรด" มีดังนี้
ที่มาของรูป 12.30 นี้ จาก หนังสือ หุ้นซิ่ง สวิงเทรดครับ
บทความอ่านเพิ่มเติม
วิธีการอ่านสัญญาณแท่งเทียน (Candlesticks Reading) สำหรับมือใหม่
VIDEO
สัญญาณซื้อจากโบรกเกอร์
เป็นหน้าที่ของโบรกเกอร์ครับ ที่ต้องหาข้อมูลกระตุ้นให้นักเทรดซื้อๆ ขายๆ ทุกวัน
บทวิเคราะห์ว่าหุ้นตัวนี้เหมาะสำหรับซื้อ ต้องมีให้ทุกวัน
ไม่ได้เหตุผลทางพื้นฐาน ก็ต้องยกเรื่องเทคนิคอลมาให้
ถ้าไม่มีการกระตุ้น ชี้นำ ว่าของตัวนั้นตัวนี้ดีนะ การซื้อไม่เกิดแน่นอนครับ
เมื่อไม่มีการซื้อขาย โบรกเกอร์ก็ไม่มีรายได้แน่ครับ
พวกเขากจึงเป็นส่วนหนึ่งของ "สัญญาณหลอก" เช่นกันครับ
แต่ผมแนะนำว่า อย่าเชื่อทันที ดูกราฟก่อนนะ
เพราะอย่างที่บอกว่า นักวิเคราะห์เขาก็ทำหน้าตามอาชีพเขา
นักวิเคราะห์ไม่ใช่เจ้ามือ
จึงอย่าแปลกใจที่บ่อยครั้งซื้อได้ก็ติดดอยทันใด
เพราะเป็นการออกบทวิเคราะห์เพื่อล่อเม่าก็มี
(เรื่องนี้เขียนในหนังสือ "ความรู้หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท" ครับ)
ดังนั้น มันไม่แน่นอนครับ เนื่องจากโบรกเกอร์เขาไม่ได้เล่นหุ้นตัวนั้นหรอก แค่ทำตามหน้าที่
คนที่สามารถดันราคาก็คือเจ้ามือครับ รอสัญญาณซื้อจากเขาก่อน
ทางที่ดี ให้รอช่วงพักตัวสวยๆ ค่อยเข้าซื้อก็ยังทันครับ
ให้คิดว่า ถ้ามันดีจริง ราคาต้องย่อพักตัวแล้ววิ่งไปใหม่ เราแค่รอจังหวะรถหยุดให้ซื้อก็พอ
แถมคลิปสอนหาสัญญาณซื้อ
VIDEO
VIDEO
VIDEO
VIDEO
VIDEO
VIDEO
VIDEO
VIDEO
VIDEO
VIDEO
VIDEO
VIDEO
VIDEO
VIDEO
VIDEO
มีอีกเยอะครับ แค่ไปค้นตามยูทูป ผมแค่เอามาบางส่วนเท่านั้น
ข้อควรระวังเกี่ยวกับสัญญาณซื้อ
ให้มองในมุมของ "
ความน่าจะเป็น " ครับ
อย่ามองว่ามันเป็นสัญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นอันขาด
เพราะ "มันไม่แม่นเลยแม้แต่น้อย"
ทำไมผมถึงบอกท่านแบบนี้
เพราะว่าผมเคยเขียนหนังสือมาก่อน จึงรู้ดีว่า
นักเขียนต้องยกเคสที่ตรงและสนับสนุนไอเดียสัญญาณซื้อนั้นมาให้ดู
ซึ่งมันมีที่ตรงสูตรน้อยมากครับ
ผมซื้อตามอินดิเคเตอร์มาก่อน
พบว่าเอาแน่เอานอนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ผมเคยซื้อตามการแนะนำของโบรกเกอร์มาก่อน
ก็พบว่า ความแม่นยำต่ำเช่นกัน
ในตลาดหุ้นมีทั้งสัญญาณจริงและหลอก
ซึ่งแบบหลอกมีมากกว่าจริงครับ
"การส่งสัญญาณหลอก" คือหน้าที่ของตลาดครับ
ดังนั้น ท่านต้องคิดแบบ "ความน่าจะเป็น"
คือ มันมีโอกาสหลอก และ จริง
ถ้าหลอกท่านจะทำยังไง?
ขายออกตรงไหน?
ต้องคิดเผื่อไว้ก่อนเสมอ
การ stop loss ไม่ได้หมายความว่าท่านแพ้ครับ
แต่มันเป็นกระบวนการลดความเสี่ยง เนื่องจากความน่าจะเป็นมันไปในทางผิด
ต้องมีการบริหารความเสี่ยง
ความเสี่ยงมีหลายอย่างครับ
- ความเสี่ยงจากสัญญาณหลอก
- ความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของตลาด
- ความเสี่ยงจากสิ่งที่คาดไม่ถึง
ซึ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่ท่านควบคุมมันไม่ได้เลย
เมื่อควบคุมไม่ได้ ท่านต้องมีการวางแผนเพื่อป้องกันตัวเองครับ
๑) ความเสี่ยงในการตัดขาดทุน
คุณต้องมีการ cut loss เมื่อราคาทำให้ท่านขาดทุนครับ ตั้งไป 5%, 10% ก็ว่าไป
๒) ความเสี่ยงในเรื่องเงินเข้าซื้อ
ไม่ควรซื้อตัวหนึ่งเกิน 25% ของพอร์ต
เพราะถ้าเกิดหุ้นตัวนั้นมีข่าวร้ายออกมา ลงแรงขาดทุนหนัก เงินของท่านจะไม่หายไปทั้งก้อน
VIDEO
ต้องหาสูตรทำเงินของตัวเองให้เจอ
ในแต่ละวันจะมีหุ้นที่ส่งสัญญาณซื้อหลายสิบจนถึงร้อยตัวครับ
ท่านไม่สามารถซื้อตามได้ทุกตัวหรอก
ดังนั้น ท่านต้องเลือกเอาสักแบบ
ไม่จำเป็นต้องเป็นอินดิเคตเอร์เทพ ที่ซับซ้อนหรอกครับ
แค่ท่านรู้จริงแค่ตัวเดียว อย่างเดียว เอาให้กระจ่าง เห็นข้อดี ข้อเสีย
และปรับมัน หาตัวช่วยมาปิดจุดอ่อน จนมีความผิดพลาดน้อยสุด
หรือถ้าพลาดก็ต้องมีจุดสังเกตให้รู้ทันเพื่อตัดขาดทุน
ผมเคยได้ยินบางคน ดูแค่ bid-offer ก็ทำเงินจากการเล่นหุ้นอย่างมากมาย
บางคนใช้แค่ MACD ก็อยู่รอดและรยได้
บางคนดูกราฟเปล่า ก็ทำเงินได้
บางคนใช้เส้นค่าเฉลี่ยไม่กี่เส้น ก็ทำเงินได้
ฯลฯ
ฉะนั้น ความท้าทายไม่ได้อยู่ที่การค้นหาสัญญาณซื้อเทพครับ
แต่ท่านต้องลงมือ ทุ่มเทเวลาเพื่อศึกษาให้รู้จริง
รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว เอาให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล
ไม่มีทางลัดครับ มีแต่ทางถึก และการเสียสละเวลาเพื่อมันเท่านั้น
ฝึกดู ฝึกทำ ฝึก ทำ ฝึก ทำ จนมันจำขึ้นใจ
จนกระทั่งสแกนออกมาแล้วเปิดกราฟดูก็รู้เลยว่าทรงไหนน่าจะใช่ ทรงไหนน่าจะหลอก
มืออาชีพเขาทำได้แบบนี้กันครับ
ซึ่งมันต้องใช้เวลา ชั่วโมงบินในการเรียนรู้เป็นปี
แต่ให้ท่านทำไปเถอะ ถ้าทำได้ก็โคตรคุ้มเลย
สิ่งที่จำเป็นที่สุดของการเทรดก็คือ
ผลการเทรดโดยรวมในระยะหนึ่ง รวมแล้วต้องได้กำไร
ดังนั้น...
ถ้ากำไรทำยังไงให้ได้สมน้ำสมเนื้อ คุ้มค่าต่อการทนถือ
ซื้อถูกตัว รันกำไร ซื้อผิดตัวรู้ให้ทัน ตัดขาดทุน
ทำให้แต่ละรอบได้กำไรมากกว่าขาดทุน
แล้วทำซ้ำ ให้กำไรทบต้น
เอาเท่านี้พอ
ให้คิดว่า "
สูตรทำเงินของท่าน " เหมือน "เครื่องจักรปั๊มกำไร" ที่ออกแบบมาให้ท่านคนเดียว
ท่านต้องให้เวลาในการศึกษา ทำการบ้าน ลองผิดลองถูก เพื่อหามัน
ไม่จำเป็นต้องกระโดดไปกระโดดมาเพื่อหาตัวที่ดีที่สุดหรอก
เพราะการเล่นหุ้นให้สำเร็จมันคือ งาน tailor made ที่เป็นงานเฉพาะตัว
มันต้องถูกออกแบบมาเพื่อท่านเท่านั้น
การที่คุณจะเจอเครื่องจักรปั๊มเงิน ต้องทำงานหนักอย่างเดียวครับ
ทำการบ้านทุกวัน ตรวจสอบความผิดพลาด บันทึกการเทรด ติดตามผลงานของตัวเอง
ให้คิดว่าตัวเองยังเป็นนักเรียนในตลาดหุ้น เรียนรู้ไปเรื่อยๆ
การลองผิดลองถูก การตรวจสอบตัวเอง คือสิ่งจำเป็นครับ
VIDEO
สัญญาณซื้อไม่ใช่ส่วนสำคัญที่สุดในการเทรด
เพราะอะไรรู้มั้ยครับ
๑) มันไม่แม่น 100% นี่คือความจริงครับ
ดังนั้นท่านต้อง
๒) เอาการบริหารความเสี่ยงมาช่วยครับ
- ตัดขาดทุน ถ้ามันไม่วิ่ง แถมร่วงให้ลบเพิ่ม ให้เริ่มตั้งแต่ 5% อย่าให้เกิน 10%
ยิ่งเปอร์เซ็นต์ตัดขาดทุนน้อย การเอาคืนก็ง่ายกว่า
เรื่องนี้สำคัญมากครับ คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ เพราะไม่อยากยอมรับว่าตัวเองผิด
ต้องการต่อราคาเผื่อเด้ง เมื่อราคาลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่กล้าตัดขาย เพราะเสียดายเงิน
กลายเป็นอยากถัวเฉลี่ย นั่นแหละปัญหาใหญ่เกิด
- แบ่งเงินเข้าซื้อให้เหมาะสม จะแบ่งเป็นไม้ก็ได้ ถ้าไปต่อก็ซื้อเพิ่ม จะได้ไม่เสียหายเยอะ
แต่ตัวหนึ่งอย่าซื้อเกิน 25% ของเงินทั้งหมดของพอร์ต
๓) ต้องมีความอดทนต่อหุ้นที่กำไร และใจเด็ดในการตัดขาดทุน (การบริหารจิตใจ)
ในเมื่อการเทรดมีโอกาสแพ้มากกว่าชนะ จำนวนครั้งที่ขาดทุนมากกว่ากำไร
สิ่งที่ท่านต้องทำคือ เมื่ซื้อถูกตัว ได้กำไรต้องทนรวยให้ได้ครับ
ถ้าทรงมันสวย ต้องทนให้ได้อย่างน้อยๆ สัก 10% ค่อยเริ่มล็อกกำไร
หรือถ้ามันไปได้ดีมาก 30% ให้เริ่มขายได้แล้วครับ
อย่าฟินกับกำไรที่ได้มา และอย่าได้คาดหวังว่ามันจะไปต่อ
อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงครับ ท่านต้องกล้าขายออกเมื่อเห็นราคาวิ่งแรงๆแบบ climax
อย่ากลัวขายหมู เพราะรอบหนึ่งได้กำไรระดับ 30% ก็ถือว่าหรูจัดแล้วครับ
นี่คือเหตุผลว่าทำไม สัญญาณซื้อจึงเป็นแค่ส่วนหนึ่งของความสำเร็จเท่านั้น
สัดส่วนของการเทรดที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนก็คือ
สัญญาณซื้อ 40% เท่านั้น
การบริหารความเสี่ยง 30%
การบริหารจิตใจ 30%
หมายความว่าไง?
- สัญญาณซื้อ ส่วนใหญ่หลอกไง ถ้าท่านเชื่อมั่นและซื้อแบบจัดเต็ม ดันซวยไปซื้อตัวหลอกเข้าไป พอร์ตพังสิครับ ดังนั้น 40% น่ะ เหมาะสมแล้ว เพราะมันต้องเอาไปใช้ร่วมกับการบริหารความเสี่ยงด้วย
- ซื้อหุ้นถูกตัว แต่ทนรวยไม่เป็นก็ได้กำไรน้อย
- ซื้อหุ้นถูกตัว ไม่รู้จักขายตอนที่กำไรดีๆ โลภ ก็อาจปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุนได้
- ซื้อหุ้นผิดตัว แต่ไม่ตัดขาดทุน พอร์ตก็เสียหายเยอะ
- ซื้อหุ้นผิดตัว ขาดทุนหนัก ไม่ยอมแพ้ เอาเงินทั้งพอร์ตมาซื้อถัวเฉลี่ยตัวเดียว แล้วหุ้นนั้นลงต่อ เงินก็จมอยู่ในหุ้นตัวเดียว ถ้าโชคร้ายติด SP เงินหายเกลี้ยง
ฯลฯ
ไม่จำเป็นต้องเทรดชนะทุกครั้ง ขอแค่ถ้ากำไรแล้วต้องได้มากกว่าเสีย
คิดแบบโซรอสครับ คือ
“สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าคุณถูกหรือผิด
แต่สิ่งสำคัญก็คือ คุณกำไรเท่าไรเมื่อคุณถูก
และคุณขาดทุนเท่าไรเมื่อคุณผิด”
ถ้าซื้อแล้วขาดทุนทันที แสดงว่าท่านคิดผิด ต้องมีการพิารณาลดความเสี่ยง เพื่อให้เสียน้อยไว้ก่อน
แต่ถ้าชนะแล้ว ต้องเอากำไรให้ได้เยอะๆ
เมื่อไหร่ควรขายล็อกกำไร?
ใช้หลัก 3 ต่อ 1 ครับ
คือ ถ้ากำไรเป็น 3 เท่า ของความเสี่ยง(เปอร์เซ็นต์ตัดขาดทุน) ให้เริ่มทยอยแบ่งขาย
หรือถ้าเห็นทรงดูไม่ดี ก็ไม่จำเป็นต้องรอถึงสามเท่าก็ควรตัดสินใจขายไปก่อนได้ครับ
เพราะหัวใจสำคัญที่สุดของการเทรดคือรักษาเงินต้นครับ
หุ้นที่จะทำให้เรากำไรงามๆ มีน้อยครับ
แต่หุ้นที่จะทำร้ายให้ขาดทุนมีมาได้ทุกวัน
ดังนั้น การขายเพื่อตัดทุน ขายเพื่อป้องกันไม่ไห้กำไรกลายเป็นขาดทุนจึงสำคัญมาก
อย่าหวังสูงจนเกินไป
อย่าคิดเอาเป็นเด้งครับ ผมเคยคิดแบบนี้มาก่อน
ผลก็คือพอราคาบวกกำไรดีๆ 20-30% ไม่ยอมขาย
แต่พอราคาร่วงลงไปไกล้ทุน ค่อยรู้สึกอยากล็อกกำไร
แบบนี้ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นมืออาชีพครับ
ต้องมีการขายล็อกกำไรตามเป็นระยะ โดยเฉพาะเมื่อกำไร 10% ขึ้นไปแล้ว
หรือถ้าทรงดี มีการย่อสวย ก็ให้ยกระดับตัดขายไปที่จุดต่ำสุดของการย่อครั้งใหม่นั้น เพื่อที่ท่านขายออกจะได้มีกำไรติดมือ ไม่ต้องบังคับตัวเองให้ทนถือหุ้นให้ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ เพราะเราบังคับกำไรไม่ได้หรอก เอาเท่าที่ได้ ขอแค่วิธีการท่านถูก ทำเงินซ้ำๆได้ ทำกำไรให้มันทบต้นไปเรื่อยๆได้ แค่นี้ก็เหลือแหล่แล้วครับ
ก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นไอเดียจุดประกายให้ท่านเอาไปทำการบ้านต่อกันนะครับ
ที่มาของกราฟ
commodity.com
investopedia.com
stockcharts.com
(แนะนำเพิ่มเติม ของฟรี)
หากต้องการศึกษาวิธีเล่นหุ้น แนะนำให้ไปอ่านบทความฟรี คลิปฟรีที่นี่ก่อนก็ได้
คลิกลิ้งนี้ครับ
https://www.zyo71.com/p/index.html เป็นสารบัญเว็บนี้ครับ