ว่างๆผมลองเช็คกราฟหุ้นนำตลาดดูครับ ว่ามีตัวไหนบ้าง
วิธีการนะครับ ไม่ต้องไปหาค่า Relative Strength แบบฝรั่งเค้าหรอก
ใช้ค่า RSI นี่แหละง่ายสุด
ให้ท่านสแกนหุ้นในรูปแบบของ weekly chart เอาที่ RSI weekly >=60 ก็ถือว่าใช่ นำตลาดแน่
ซึ่งหุ้นนำตลาด หรือ หุ้นแข็งกว่าตลาด ก็เหมือนกันครับ
วิธีการใช้ เอาไปใช้ยังไง?
ขออ้างหลักการของพี่ Dan Zanger ตามคลิปนี้นะครับ
แกบอกว่า หุ้นนำตลาดใช้ดูการกลับตัวของดัชนีได้
โดยเฉพาะกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น
ดูจากการที่หุ้นนำตลาดทำจุดสูงสุดใหม่ได้ก่อนดัชนีด้วยซ้ำไป
คือแกบอกว่า ดัชนีมันวิ่งช้ากว่าหุ้นนำตลาด
อย่าไปเสียเวลารอดัชนียืนยัน ให้ดูหุ้นนำตลาดจะไวกว่า
แต่ปัญหาก็คือว่า แนวคิดนี้เป็นของฝรั่ง
หลายท่านก็ติงมาว่า ไอเดียฝรั่งมันใช้กับบ้านเราไม่ได้หรอก
แต่ผมกลับเห็นต่างนะ
เพราะหุ้นำตลาดในที่นี้ ที่พี่แดนกล่าวถึงคือ
"หุ้นที่มีความสามารถในการทำกำไรอย่างสุดยอด"
พูดง่ายๆคือ หุ้น Super Stocks หรือ หุ้น Growth ระดับเทพนั่นเอง
แกยกตัวอย่างถึงหุ้นอย่าง Google ที่มีศักยภาพในการเติบโตระดับเทพ ที่แกก็ได้มันก่อนตลาดยืนยันด้วยซ้ำและตัวนี้เองที่เป็น big shot ของแท้สำหรับแกเลย
ดังนั้น เราอย่าไปดูถูก หรือมองข้ามไอเดียฝรั่งครับ
เพราะ "กำไรคือเจ้ามือที่แท้จริง" ไม่ว่านักลงทุนตลาดหุ้นไหนก็คิดเหมือนกัน
ดังนั้น
ถ้าหุ้นพื้นฐานดี มีศักยภาพในการเติบโตได้ดี
นักลงทุนผู้ชาญฉลาดจะไม่รีบขายมันออกไปแค่สภาพตลาดพักฐาน
หนำซ้ำพวกเขายังมีการเข้าซื้อเพิ่มอีกต่างหาก
เมื่อไม่โดนเท แต่มีการแอบสนับสนุนกันอยู่ลับๆ
หุ้นตัวนั้นต้องมีค่า RSI สูงกว่าใครเพื่อนแน่นอน ว่ามั้ยครับ?
ถ้างั้นเรามาดูกัน ว่ากราฟวีค มีตัวไหนที่ค่า RSI >= 60 กันบ้าง
ดูกราฟ SET กันก่อนครับ
ผมได้ปรับเส้น RSI สีแดงอยู่ที่ 60 นะครับ จะได้สังเกตง่ายๆ
พบว่า SET วิ่งต่ำกว่า 60 มาหลายเดือนแล้วครับ แม้จะมีทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่ RSI divergent ซึ่งในมุมมองของทฤษฎีนี้ก็ถือว่าเป็นภาพที่ดี (ก็ว่ากันไป)
ต่อมาคือหุ้นที่มีค่า RSI >=60 มีดังนี้ (ชื่อหุ้นอยู่ด้านบนของกราฟนะครับ)
เท่าที่ดูก็มีติดทั้งหุ้นปั่น และหุ้นพื้นฐานดี รวมถึงกองทุน
หน้าที่ของท่านที่ผมจะส่งต่อให้ทำต่อก็คือ หาข้อมูลทางพื้นฐานครับ
ว่าทั้งหมดเป็นหุ้นประเภทไหน อย่างน้อยแยกออกมาให้ได้ ๓ ประเภท
๑) หุ้นเติบโต
๒) หุ้นเทิร์นอะราวด์
๓) หุ้นปั่น
แล้วดูยังไง
ง่ายๆโง่ๆ ก็คือ
๑) ดูค่าที่แสดงถึงความสามารถในการทำกำไรครับ ยอดขาย, กำไร เป็นยังไง
๒) ดูสตอรี่ของการทำกำไรในอนาคต ซึ่งสามารถหาอ่านได้จากรายงานผลประกอบการ, 56-1, บันทึกการประชุม, Oppday, รายงานประจำปี, ข่าวจากหนังสือพิมพ์หุ้น
อ่านไปเถอะครับ ไม่มีใครจนเพราะการอ่านหรอกครับ มีแต่ยิ่งอ่านยิ่งรวย อย่าฆ่าเวลาในการทำสิ่งที่ไร้ค่าครับ เอาเวลามาทำสิ่งที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเอาดีกว่า นั่นคือ "การอ่าน" ครับ
จากนั้นถ้าแยกออกมาได้ ก็จะเป็นเรื่องของกลยุทธ์การเข้าทำครับ
ซึ่งในที่นี้ผมจะอ้างแนวคิด CAN SLIM ของปู่โอนีลนะครับ คือ
๑) หาฐานราคาที่น่าเชื่อถือ (ท่านสามารถไปเปิดอ่านในหนังสือเล่มส้ม คัดหุ้นชั้นยอด ด้วยระบบชั้นเยี่ยม ได้ครับ กราฟร้อยหน้าแรก นี่นแหละ ล้ำค่ามาก)
๒) ถ้าเห็นฐานราคาน่าเชื่อถือ ก็วางแผนจุดเข้าซื้อ
๓) วางแผนระดับตัดขาดทุน
๔) วางแผนระดับขายทำกำไร
๕) วางแผนจำนวนเงินที่เข้าซื้อ
ทำแบบนี้ไปครับ เอาให้เป็นระบบ แบบที่ผู้ประสบความสำเร็จเขาทำได้และรวย
ซึ่งบอกไว้ก่อนนะว่านี่เป็นไอเดียคร่าวๆเท่านั้น
ประเด็นหลักผมอยากชวนท่านทำการบ้านหาหุ้นให้ได้เยอะๆครับ
ใช้หลากหลายวิธีเพื่อหาหุ้นที่มีโอกาสเป็นผู้ชนะในแบบของโมเมนตัม
โดยผมจะเริ่มทำเป็นตัวอย่างให้ท่านดู อยากทำให้เป็นเรื่องเป็นราวไปเลย จะได้มีพัฒนาการ
ก็อย่างที่บอกไว้ในหนังสือ "
ความรู้หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท" บาทนั่นแหละครับ
ว่าเราต้องเป็นักเทรดเทิร์นอะราวให้ได้ ดังนั้นจุดเริ่มต้นก็คือการ "ทำการบ้านหาหุ้น" นี่แหละ
และที่สำคัญกว่านั้นคือ ต้องบันทึกการเทรด เพื่อจับผิดตัวเองว่าพลาดอะไรมาบ้าง
อยากให้เอาพวกนี้มารวมกันครับ คือ บันทึกความผิดพลาด + ทำการบ้านหาหุ้นผู้ชนะ
เอาแค่สองอย่างนี้ครับ ค่อยๆเรียนรู้จากมันไป ผมว่าในที่สุดเราก็จะเทิร์นอะราวด์ได้แน่
เรามาทำด้วยกันตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไปครับ