กว่าจะมาเป็นหนังสือ "ความรู้หุ้นมูลค่า 1 ล้านบาท" มีที่มาน่าสนใจให้ชวนเขียนไม่น้อยนะครับ
เริ่มต้นจาก ผมเขียนบทความชื่อ "รวมสูตรเจ๊งหุ้น"
ทันทีที่โพสต์ไป ก็ได้รับความสนใจเข้ามาอ่านและแชร์เป็นจำนวนมาก
ที่สำคัญคือมีเพจดังที่มีสามชิกเยอะหลายแห่งเอาไปแชร์ให้ลูกเพจอ่าน
มันจึงกลายเป็นบทความของผมที่มีคนอ่านมากที่สุด ถึง 80,000 เพจวิวเลยทีเดียว
นี่เป็นรายงานล่าสุดครับ
โดยคอมเมนต์ ในโพสต์ "รวมสูตรเจ๊งหุ้น" มีประมาณนี้
และ
จากนั้น มีอยู่วันหนึ่ง
ผมนึกครึ้มใจรวบรวมบทความยอดฮิตของบล็อก zyo71
ก็พบว่าบทความ "รวมสูตรเจ๊งหุ้น" มาแรงมาก
ซึ่งตอนนั้นมียอดวิวแค่ 4 หมื่นกว่าเท่านั้นเอง
และก็มีสมาชิกท่านหนึ่ง ชื่อ Sombat SaeLim ให้คำแนะนำมาว่า
ท่านบอกว่า มันเป็นบทความที่หายากมาก ไม่มีใครกล้าเขียน
จึงแนะให้ผมจัดให้หน่อยสักเล่ม แถมตั้งชื่อให้พร้อมว่า "ศาสตร์แห่งการเจ๊งหุ้น"
ตอนนั้นผมเองก็นึกขำแกนะ ใครจะซื้อวะ?
จึงตอบไปแบบรักษาน้ำใจ
แต่พอเวลาผ่านไปหลายเดือน ผมก็พยายามเขียนบทความเพื่อรวบรวมเป็นหนังสือหลายเล่มนะ
แต่ไปไม่สุดสักเล่ม มันตื้ๆ ตันๆ ไปซะทุกหัว
จึงหยุดเขียนไปหลายวัน
หลังจากไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบมหาโหด กลับมากึงชลบุรี
กลายเป็นเกิดไอเดีย อยากเขียนเรื่อง "ศาสตร์แห่งการเจ๊งหุ้น" ขึ้นมา
จึงร่างความผิดพลาดของตัวเองออกมาให้หมด ว่าเราทำผิดพลาดอะไรบ้าง
ทำไมถึงได้คิดแบบนั้น มีอะไรดลใจให้ทำ
ก็ได้มากมายเลย
แต่พอเขียนไปได้สักพัก
เริ่มคิดต่ออีกว่า ถ้าเราบอกแค่วิธีการเจ๊งหุ้นอย่างเดียว
คนอ่านคงไม่ได้อะไรมากนัก
ผมเลยเสริมประเด็นว่า "เราได้เรียนรู้อะไรจากการขาดทุนนั้บ้าง"
จะได้เป็นข้อคิดให้กับผู้อ่านด้วยว่า มันมาจากอะไร และวิธีแก้ ต้องทำยังไง
ซึ่งน่าจะมีประโยชน์กว่า การเขียนถึงเรื่องตัวเอง
เพราะมันขยายความไปถึงแนวทางทำความเข้าใจการขาดทุนด้วย
เมื่อธีมเปลี่ยน ชื่อ "ศาสตร์แห่งการเจ๊งหุ้น" คงไม่เหมาะ เพราะแคบไป
ผมจึงพยายามนั่งคิดชื่อ แบบที่มันครอบคลุมสิ่งที่เขียนทั้งหมด
เคยคิดชื่อหนังสือแบบยาวๆด้วยนะ ว่า
"ผมเล่นหุ้นด้วยเงิน 2 ล้าน บาท แล้วขาดทุนจนเหลือเงิน 2 แสนบาท นี่คือความรู้ 50 ข้อ ที่ผมได้จากการขาดทุนครั้งนี้"
ตอนนั้นผมเขียนออกมาได้มากกว่า 50 เรื่องครับ
แต่พออ่านเช็คไปเช็คมา พบว่าบางเรื่องประเด็นซ้ำ จึงพยายามบีบ ตัด ให้เหลือเนื้อที่งวดที่สุด
จนกลายมาเป็น 36 ข้อในที่สุด
และชื่อก็กร่อนลงเป็น "ความรู้หุ้นมูลค่า 1 ล้านบาท" ในที่สุด
ส่วนประเด็นของปก
ตอนแรกผมก็จะเอาชื่อมามาเรียงกันตามปกติ
แต่ก็รู้สึกว่า ชื่อมันเกี่ยวกับเลข 1 นี่นา
ทำไมเราไม่เรียงกันเป็นตัวเลขไปเลย
ก็เลยกลายมาเป็นแบบนี้ครับ
และจากนั้นผมก็เอาไปลงขายเป็น eBook ที่ mebmarket.com
ที่ลงเป็นอีบุคก่อน เพราะ "ไม่แน่ใจว่าจะขายได้"
เนื่องจากมันเป็นประเด็นที่ไม่เคยมีใครนำเสนอสู่ตลาดไง
นึกภาพออกมั้ยครับ หนังสือในตลาดมีแต่สูตรรวยหุ้น เรื่องราวความสำเร็จ
แต่งานใหม่ของผม เป็นด้านของการสูญเสีย ขาดทุน ใครจะซื้อ ผมเลยเผื่อใจกับมัน
ตอนที่โพสต์แชร์ลิ้งค์ลงเฟส ผมก็ไม่ปิดบังความลังเลของผม
แต่ก็มีหลายท่าน คอมเมนต์บอกว่าอยากได้เป็นกระดาษ
ซึ่งผมก็ดูกระแสยอดซื้ออีบุคแล้ว ก็พบว่า "ไม่แรง" คนซื้อน้อยมาก ยี่สิบกว่าคนเท่านั้น
ถ้าดูยอดคนที่ engage เฟสผม คิดว่าน่าจะมีอย่างน้อย 1 พันคน
แต่ซื้อแค่ 20 คน มันน่าเข่าทรุดเสียเหลือเกิน
รอไปอีกวัน ยอดก็ไม่กระเตื้องครับ
ผมก็เลยลองโพสต์ขอดูยอดจอง ให้ลงรายชื่อว่าใครอยากได้แบบเล่มบ้าง
ปรากฎว่า สูงกว่า ebook แบบคนละเรื่องเลย
วันเดียว มีคนลงชื่อ สองร้อยกว่าคน
ซึ่งสารภาพตรงๆว่าสองร้อยเล่ม ไม่มากพอหรอก
ทำไปก็เข้าเนื้อ
รออีกวัน ยอดเพิ่มเป็น 300 เล่ม
ผมเลยโพสต์แบบนี้ไป
หลังจาก 2 วัน ผ่านไป
มีคนจอง 316 คน
ถือว่าค่อนข้างน้อย
แต่ถึงกระนั้น ผมลองมานั่งนึกถึงเหตุผลที่ท่านอยากได้หนังสือ
คิดว่าส่วนใหญ่น่าจะต้องการสนับสนุนผลงาน
แต่ไม่สะดวกซื้อ eBook
คงเป็นแฟนคลับกันเองนี่แหละ ไม่ใช่คนอื่นไกล
เพื่อเอาใจแฟนคลับ
#ผมจึงตัดสินใจพิมพ์หนังสือให้นะครับ
แม้จำนวนจะไม่ได้ แต่ผมก็ขอทำให้ท่าน
เหมือนเป็นของที่ระลึกก็แล้วกันนะ
โดยจำนวนพิมพ์ ผมคิดว่าเบื้องต้นไว้ที่ 1,000 เล่ม
เพราะมันเป็นจำนวนที่ ....
- ต้นทุนค่าพิมพ์ต่อเล่ม ไม่สูงมาก ทำให้ท่านจ่ายไม่แพง เป็นราคามาตรฐาน
- ถ้าขายได้หมดก็เลยจุดคุ้มทุน
- และเหลือค่าเหนื่อยเล็กน้อย(ถ้าขายหมด)
ดังนั้น ให้มั่นใจว่าท่านที่จองกันมา ได้กันทุกคนแน่ครับ
โดยจำนวนเล่มที่ "สั่งพิมพ์เกินจอง" นั้น
ผมก็จะพยายามโปรโมท เพื่อแจ้งให้คนนอกที่ให้ความสนใจ ผ่านหน้าบล็อก และเฟสบุค แห่งนี้ หวังว่าท่านคงไม่รำคาญกันนะ
เพราะยังไงซะ ผมก็มั่นใจว่า #เล่มนี้นักเล่นหุ้นควรอ่าน
ถ้าโปรโมทดีๆ น่าจะขายไม่ยาก เพราะ #มันเป็นเรื่องที่ควรรู้ไว้
หรือถ้าหากท่านอ่านแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ อยากแนะนำให้เพื่อนซื้ออ่าน
หรือซื้อฝากเพื่อน ก็จะยินดี และขอขอบคุณล่วงหน้าครับ
ส่วนกำหนดการ ขายหนังสือ
ขอเป็นเดือนหน้า(กุมภาพันธ์) นะครับ
เดี๋ยววันกำหนดส่ง รายละเอียดการโอนเงิน จะแจ้งให้ทราบอีกที
คือยอมลงทุน พิมพ์เป็นหนังสือไปเลย
โดยจะพิมพ์ที่ 1000 เล่ม
ซึ่งมันเกินยอดจองไปเท่าตัว
แต่ก็จำเป็นต้องสั่งจำนวนนั้น เพราะทุนจะได้ต่ำลง
ทำให้ขายหนังสือในราคามาตรฐาน
คือผมตั้งใจจะขายไม่ถึง 300 หรอกครับ เพราะมันมีสองร้อยกว่าหน้าเอง
ถ้าขายแพงมาก ก็ไม่มีใครอ่านอีก
เพราะผมคิดว่าคนที่ซื้อแน่ๆ คือแฟนพันธุ์แท้ก็มีแค่ 300 เองนี่แหละ
ส่วนยอดที่พิมพ์เกิน ผมตั้งใจว่าจะพยายามโฆษณาให้ท่านอื่นที่เยี่ยมชมผ่านๆรับรู้
ถ้าเขาสนใจ ก็อาจจะซื้อก็เป็นได้
นี่คือที่มา สตอรี่ของหนังสือ "ความรู้หุ้นมูลค่า 1 ล้านบาท" ครับ
ที่อยากทำก็เพราะอยากแชร์ให้ท่านทราบที่มาและอุปสรรคต่างๆของการทำหนังสือ
เผื่อมันจะทำให้ท่านที่อ่านผ่าน ได้รู้ที่มาและอาจอยากสนับสนุนมันสักเล่มครับ