คุณต้องเรียนรู้วิธีการเป็นผู้จัดการความเสี่ยงที่ยอดเยี่ยม

Image
พี่มาร์ค มิเนอร์วินี กล่าวว่า “หากคุณต้องการสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ คุณต้องเรียนรู้วิธีการเป็นผู้จัดการความเสี่ยงที่ยอดเยี่ยม” การเป็นนักเทรดที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีอย่างสม่ำเสมอไม่ได้หมายถึงการชนะทุกครั้งที่คุณเข้าเทรด แต่หมายถึงการมีวิธีการจัดการความเสี่ยงอย่างชาญฉลาดเพื่อให้คุณสามารถปกป้องทุนของคุณและเพิ่มโอกาสในการเติบโตของพอร์ตการลงทุนในระยะยาว  นี่คือการขยายความแนวคิดที่ว่า "การเป็นผู้จัดการความเสี่ยงที่ยอดเยี่ยม" สำคัญอย่างไร: eBook "Risk Management: การบริหารจัดการความเสี่ยงเบื้องต้นสำหรับนักเทรด" มีจำหน่ายที่แอพ Meb เท่านั้น  https://t.co/YaO0CIQq8J 1. ความเสี่ยงเป็นส่วนหนึ่งของการเทรด ในตลาดการเงิน ไม่มีใครสามารถควบคุมผลลัพธ์ของแต่ละการเทรดได้ การเคลื่อนไหวของตลาดขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก เช่น ข่าวเศรษฐกิจ หรือพฤติกรรมของผู้เล่นในตลาด ซึ่งมักเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ความสำเร็จจึงไม่ได้มาจากการ "เดาถูก" แต่เป็นการรู้วิธีจัดการความเสี่ยงเมื่อคุณ "เดาผิด" ตัวอย่าง:   สมมติว่าคุณมีเงินทุน 100,000 บาท หากคุณใช้เงินทั้งหมดในการเ

พี่ครับ อยากได้วิธีขายหุ้นแบบเทพๆ บ้างครับ (Selling is an Art)

หลายวันก่อน มีคำถามเรื่องการขายหุ้น แบบนี้
(ปล. นี่เป็นบทความเก่าที่ผมเขียนไว้เมื่อ 5 เดือนที่แล้ว)

ผมไม่ทราบว่าท่านตอบมายังไงบ้าง
ถ้าตอบมาว่า อ่านแล้ว
แสดงว่า ปัญหาไม่ใช่องค์ความรู้ แล้วล่ะครับ
ปัญหาคือ "วิธีคิดเกี่ยวกับการขายหุ้น"

อ๊ะๆๆๆ ไม่ได้ต่อว่าท่านนะครับ
เพราะผมเองก็มีปัญหาเรื่องนี้เหมือนกัน

ที่ว่า การหาจุดซื้อน่ะ ยากแล้ว
การขายหุ้นออก มันยากกว่าสิบเท่า

เพราะเราต้อง "ต่อสู้กับตัวเอง" อย่างสุดชีวิต
เพราะอะไรรู้มั้ยครับ?
เรามีอารมณ์อยู่ ๒ ชนิดหนึ่ง คือ
- "ไม่อยากเป็นคนผิด(กลัว)" กับ
- "ไม่อยากพลาดโอกาส(โลภ)"

ไม่เชื่อให้ท่านลองตรวจสอบจิตใจพวกท่านเองก็ได้
ว่าก่อนจะขายหุ้นสักตัว จิตใจ+สมองของท่านมันอลหม่านแค่ไหน


สาเหตุของความอลหม่านคือ
๑) เราไม่มีแผนการขายที่ชัดเจน (อยากได้กำไรเยอะๆ)
นี่เป็นปัญหาของการเทรดแบบรันเทรนด์ หรือ trend following คือเราไม่มีเป้าขายที่ชัดเจน
โดยในใจลึกๆของเราคือ อยากได้กำไรมากที่สุด 30% 50% 100% หรือมากกว่านั้น ตราบใดที่ราคาหุ้นยังสามารถวิ่งขึ้นไปได้

ดังนั้นเมื่อท่านคิดหวังจะได้กำไรคำใหญ่ๆ เมื่อราคาหุ้นบวกแค่ 5% 10% ท่านมักจะไม่พอใจ และอยากได้อีก เพราะขายไปก็ไม่คุ้ม

๒) หุ้นไม่ทำตัวตามใจเราหวัง(แต่ตลาดไม่ให้กำไรเราง่ายๆ)
แต่ปัญหาคือ หุ้นแต่ละตัวมันไม่ได้ทำตัวสนองความต้องการของเราเลยไง
ร้อยตัว จะมีไม่ถึงสิบตัวหรอกที่บวกแรงๆ ให้กำไรงดงามตามใจเราต้องการ
นี่คือความจริง นี่คือโลกจริง

แต่เราอยากให้มันวิ่งทุกตัวไง กำไรดีวิ่งเป็นเด้งทุนกตัวที่เข้าซื้อ
ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ แม้แต่เทรดเดอร์เทพเขายังทำไม่ได้เลย

เมื่อทุกอย่างมันไม่เป็นใจ สิ่งที่เราต้องทำคือ "ทำความเข้าใจ"
เข้าใจว่าตลาดไม่แน่นอน มันไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่งดงามทุกตัวที่เข้าซื้อ
ไม่มีสูตรการลงทุนใดที่สมบูรณ์แบบที่ทำให้เรากำไรทุกตา

เมื่อตลาดสามารถชนะทุกตาได้
แต่ท่านอยากเป็นชนะทุกตา
ปัญหาก็เกิดสิ

มันจึงมีการตั้งคำถามต่อหลักการ
โดยเฉพาะการ stop loss บางคนถึงกับบอกว่า stop loss บ่อยไม่ดี
แต่ไม่เคยคิดเลยว่า ทำไมเราถึง stop loss บ่อย?
จุดเข้าไม่ดีพอ
หรือจุดเข้าดี แต่ตลาดมันผันผวนเกินไป

สมมุติสถานการณ์ของตัวผมเองให้ท่านดูก็แล้วกัน


WPH เป็นเคสล่าสุดที่ผม ต่อสู้กับจิตใจตัวเอง จนแพ้ ดีที่เสียหายไม่มาก แต่ก็เป็นประสบการณ์น่าเขกกระโหลกพอสมควร ว่า "รู้งี้ ขายตอนนั้นเสียก็ดี"

เริ่มต้นที่...
ผมเห็นราคาเปิด gap แล้วคิดว่าน่าสนใจ จึงรอดูการย่อ
พอมันพักตัวแล้วดีดกลับ ก็เข้าซื้อที่แท่งเขียว ในรูประบุว่า "ต้นทุน" โดยให้ stop loss ที่ใต้ปลายไส้แท่งเทียนเปิดกระโดดนั้น (เส้นประสีน้ำเงิน)

หลังจากซื้อแล้ว มันก็วิ่งขึ้นครับ
ดีใจมาก คิดเลยว่า นี่มันเป็นต้นเทรนด์ชัดๆ เพราะมันเป็น breakaway gap แน่ๆ
แล้วก็ฝันไปไกลเลยว่า ปีนี้ WPH  ต้องเป็น big shot หุ้นเด้งของผมแน่

แต่จากนั้นไม่กี่วันราคากลับไม่ยอมไปต่อ แม้จะมีความพยายามขึ้นสองครั้งก็ไปต่อไม่ได้
จากนั้นมันก็เจอขายติดต่อกัน
จนหลุดระดับจุดต่ำสุดของการย่ำที่ยอดนั้น (เส้นประสีขาว)
แทนที่ผมจะขาย ก็ทนถือ โดยให้เหตุผลว่า "รอดูว่าเส้น EMA10 รับอยู่หรือเปล่า?)
เพราะเราเคยทำเคส เขียนหนังสือมาแล้วว่า เส้น 10 วัน เป็นแนวรับของหุ้นซิ่ง ถ้าราคาหลุด แสดงว่าแนวโน้มขาขึ้นสุดคึก มันโดนทำลายไปแล้ว

แต่ๆๆๆๆ พอราคามันหลุดเส้น 10 วันลงไป (2) ผมก็ไม่ขาย
ใจหนึ่งบอกว่า "เฮ้...มันหลุดแนวรับแล้วนะ ต้องขายล็อกกำไร"
แต่อีกใจหนึ่งบอกว่า "อย่าเพิ่งสิ มันอาจจะกดหลอกก็ได้"
โดยให้เหตุผลว่า "หลุดแค่ช่องเดียว" ขอรอดูอีกสักนิด วันต่อไปอาจจะดีดกลับขึ้นไปก็ได้

ทว่า จากนั้น มันลงไปหลุดจริง (3) ผมก็ไม่ขายอีก
เหตุผลคืออะไรรู้มั้ย?
"ผมเริ่มอยากถือยาว"
เพราะผมเริ่มเอาข้อมูลใหม่มายัน
ว่าหุ้นตัวนี้มันมีสตอรี่สร้างโรงพยาบาลใหม่
แถมงบที่ออกมาก็ดีเสียด้วย ที่ราคาร่วงลง ก็เป็นเพราะคนกลัวตามตลาดมากกว่า
"อนาคตดี ขอทนถือต่ออีกนิด"

ทำไมอยู่ๆ ผมถึงเกิดเปลี่ยนใจ
ผมลองหักดิบตัวเองแล้ว พบว่า...
ผมเกิดความรู้สึก "ไม่อยากเป็นคนผิด"
เพราะหันกลับไปมองกราฟ


ตอนที่ราคาหยุดลง "ตรงโซนแจกจ่าย" นั้น ผมรู้ทั้งร้ แต่ไม่ได้ขาย
พอถึงตอนนี้ เกิดเสียดาย เห็นช่วงที่กำไรตอนนั้น สมมุติ 8%
ตอนนี้เหลือ 2% เกิดความรู้สึก "เสียดาย อยากเอาคืน"
แต่สมองก็ไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกผิด จึงเอาข้อมูลชุดใหม่เข้ามาแทน คือ "พื้นฐานดี" และ "รอดูการยนยันอีกนิด" จึงเกิดการรีรอ น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย ไปซะอย่างนั้น

กลับไปดูกราฟก่อนหน้านี้อีกครั้ง
หลังจากแท่ง (3) ผมไม่ได้ขาย เพราะเสียดายกำไรที่หายไป อยากเอาคืน
เลยเลื่อนโฟกัสลงไปรอดูที่ EMA50 โดยให้เหตุผลว่า มันเป็นเส้นสุดท้ายของแนวโน้มขาขึ้น ถ้ามันดีจริง ต้องเอาอยู่สิ เราขอไปวัดตรงนั้นดีกว่า

ก็มีความคิดปลอบตัวเองว่า "ยังไม่หลุดเส้นค่าเฉลี่ยระยะกลางเลย รอดู EAM50 หน่อยสิ มันอาจจะเด้งที่เส้นนั้นก็ได้ เราอยากถือยาว กินคำใหญ่"

และมันก็หยุดลงจริงครับ

จิตฝ่ายไม่อยากให้ขาย ก็ได้ใจสิ "เห็นมั้ย ถ้ามึงรีบขายป่านนี้หมูไปแล้ว ไอ้โง่"
เมื่อผลออกมาเป็นเช่นนี้ สองใจรวมเป็นหนึ่งเดียว คือ "จะต้องทนถือต่อ" เพื่อหวังคำใหญ่

ซึ่งราคาก็ดีดขึ้นกลับไปบวกดี (5)
แต่อีกวันก็เริ่มแสดงอาการไม่สวย คือเปิดกระโดด แล้วไปต่อไม่ได้ ยืนไม่อยยู่ เจอขายกดให้หลุดไปปิดต่ำกว่าครึ่งแท่งของเขียววันก่อน ซึ่งเป็นลักษณะ piercing  มีโอกาสกลับตัวสูง

แต่รู้ทั้งรู้ จิตฝ่าย "ไม่อยากเป็นคนผิด" กลับให้ทนรอดูอีกนิด
มันอาจจจะเด้งที่เส้น 50 วันเหมือนเคยก็ได้

ซึ่ง อย่างที่รู้ เส้นนี้เอาไม่อยู่ ร่วงทะลุไปแบบง่ายๆ (6)

พอราคาหลุดลงไปทะลุเส้น 50 วันลงไปอีก จนไปเลยราคาต้นทุน ผมก็มีความคิดปลอบใจตัวเองอีก ว่า "รอดูต่อไปอีกนิดซิ ว่ามันจะหลุด stop loss หรือเปล่า ถ้าหลุด ฉันขายแน่นอน"

ในที่สุดเมื่อราคาหลุด ไปถึง 4% ผมจึงได้เหตุผลเอกฉันท์สนับสนุนให้ขาย
จากกำไร เกือบ 10% ผมไม่ขาย ยื้อ ยัน ดื้อ หลอกตัวเอง จนไปขายตัดขาดทุนที่ 4%

นี่คือชีวิตจริง ที่เจ็บจริง ของนักเทรดหน้าโง่อย่างผม
เขียนหนังสือมาแล้วสองเล่ม ศึกษารู้หมดว่าสัญญาณไหนควรขาย


เทคนิคอลไม่เคยหลอกใคร นอกเสียจากคนใช้หลอกตัวเอง เสี่ยป๋องว่าไว้ ซึ่งมันโคตรจริง
พูดง่ายๆคือ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่วิธีการขาย แต่มันอยู่ที่ "สภาพจิต และวิธีคิดของนักเทรดเอง"

ซึ่งผมได้ข้อคิดที่ต้องเอาไปทำการบ้าน และดัดสันดานตัวเองต่อไปว่า
- คุณสามารถยอมรับกำไรน้อยๆได้มั้ย?
- ถ้าขายหมูไป คุณสามารถกลับเข้าไปซื้อใหม่ได้หรือเปล่า โดยที่ไม่เสียหน้า
- คุณสามารถหาโอกาสดีๆใหม่ๆได้อย่างสม่ำเสมอหรือไม่
- คุณเห็นการเทรดคืออะไร ทำเงินก้อนใหญ่, ได้น้อยแต่ไม่เสียหาย หรือกำไรทุกตา?


โซนการขายหุ้นมีอยู่ ๓ โซนใหญ่ๆ
๑) โซนขาดทุนเกินลิมิต(ตัดใจ) ตัดสินใจง่าย เพราะเกินลิมิต
๒) โซนก้ำกึ่ง(รอยืนยัน) มีกำไรแต่ก็ยังไม่น่าพอใจ หรือขาดทุน ก็ยังไม่เกินลิมิต
๓) โซนถึงเป้า(พอใจ) ตัดสินใจง่าย เพราะเราได้กำไรพอใจแล้ว

โดยส่วนใหญ่แล้ว เราจะมีหุ้นที่วิ่งแกว่งอยู่ในโซนก้ำกึ่ง คือ จะกำไรให้น่าขาย ก็ไม่ มันถูกดันขึ้นไปไกล้ๆระดับที่น่าขาย แต่เมื่อยังไม่ถึง เราก็ไม่อยากขาย เพราะอยากให้มันขึ้นไปอีกนิด ถ้าถึงตรงนั้นฉันตั้งล็อกกำไรแน่ แต่เมื่อมันไม่ถึง ก็ต้องรอ แต่พอรอไปรอมา มันไม่ไปต่อ แถมร่วงแรงจนหลุด stop loss นั้นแหละท่านถึงตัดใจขายออกไปอย่าเจ็บปวด


มีอีกประเด็นที่ท่านบอกว่าต้อง cut loss บ่อยมาก
ผมอยากตั้งข้อสังเกตแบบนี้ มันมีที่มา คือ
๑) จุดซื้อท่านไม่ค่อยดีหรือเปล่า เช่นไปไล่ราคาตอนที่มันวิ่งแรงๆ, หรือ รีบไปรับมีดไวเกิน
๒) สภาพตลาดที่ไม่อำนวย นี่ก็สำคัญ เพราะว่าถ้าคุณเป็นนักซื้อ ตอนที่เหมาะกับคุณคือตอนที่ SET มีนักซื้อเข้ามาในตลาดเยอะมาก ทุกคนเบิกบานต่อการซื้อ มั่นใจ และมองโลกในแง่ดี
นั่นคือสภาพตลาดเป็นขาขึ้นนั่นเอง
แต่ถ้าเมื่อใดที่ตลาด sideway หรือพักฐาน แม้ท่านจะมีท่าซื้อระดับเทพ ก็หวังผลสำเร็จได้น้อย เพราะตลาดมันไม่เหมาะกับการซื้อไง
ท่านต้องคิดเสมอว่า ตลาดมันก็มีฤดูกาลของมัน
ถ้าซื้อแล้วไม่ติดเลย ซื้อทีไรพลาดตลอด
อย่าเอาแต่ด่าเทคนิคครับ ดูสภาพตลาดด้วย ว่ามันเหมาะมั้ย
ถ้าเทรดแล้วไม่ชนะ ให้ถอยออกมาดูภาพรวมก่อนเสมอ
อย่าไปก้มหน้าก้มตาสู้ เพราะท่านมีโอกาสเจ็บหนักสูง


สรุปคือ
ผมไม่มีสูตรสำเร็จในการขายหุ้นขั้นเทพหรอกครับ
เพราะที่ให้ไปในหนังสือทั้งสองเล่ม "หุ้นขาขึ้นรอบใหญ่" กับ "หุ้นซิ่งสวิงเทรด"
ผมว่ามันครอบคลุมหมด มันเวิร์คทุกสูตร ไม่ว่าจะขายตอนที่ราคาหลุดเส้นค่าเฉลี่ย, เกิด climax run หรือ หลุด trend line ฯลฯ

แต่ปัญหาคือ "รู้ทั้งรู้ ก็ทำไม่ได้" และ สภาตลาดมันไม่เหมาะสมกับสไตล์
เพราะช่วงนั้นมันมักจะเกิด "ความสองจิตสองใจ" ขึ้นไงครับ
ซึ่งแม้ว่าเทคนิคอลจะบอกท่านเป๊ะยังไง แต่ถ้าใจท่านเกิดความลังเล
แม้ว่าสูตรเทพแค่ไหน ก็ช่วยท่านไม่ได้
เนื่องจากท่านยังมีอารมณ์ กลัว และ โลภ อยู่นั่นเอง

ดังนั้น ลองหยุดหาสูตรเทพ แล้วทำความเข้าใจตัวเองดูครับ

7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

VCP (Volatility Contraction Pattern) และรูปแบบที่คล้ายกัน

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

อธิบาย Wyckoff Accumulation Phase แบบละเอียดยิบ

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo

สรุปหนังสือ Trade Like a Casino