1) อย่าซื้อหุ้นราคาถูกๆ เพราะหุ้นของผู้นำในอุตสาหกรรมจะไม่ถูกซื้อขายในราคาต่ำๆ
2) ซื้อหุ้นที่มี EPS โตอย่างน้อย 25% มาร่วมสามปี แล้วปีต่อไปก็ถูกคาดหมายว่าจะโตได้อีก 25%
และควรมี annual cash flow 20% หรือมากกว่า
3)
มองหาหุ้นที่มี EPS โต 25% ถึง 30% ในสามไตรมาสล่าสุด
ส่วนในตลาดขาขึ้น ให้มองหาหุ้นที่ EPS โต 40% ถึง 500% (ยิ่งมากยิ่งดี)
4) ดูยอดขายสามไตรมาสล่าสุดว่ามันมีการโตเป็นอัตราเร่ง
หรือไตรมาสล่าสุดมันโตอย่างน้อย 25%
5) ซื้อหุ้นที่ ROE มากกว่าหรือเท่ากับ 17%
แต่จะให้ดีมากๆ หากทำได้ 25% ถึง 50%
6) ดูให้แน่ว่ากำไรหลังหักภาษี-เพิ่มขึ้น และไกล้ๆกับจุดสูงสุด
7) หุ้นที่ซื้อส่วนใหญ่ควรอยู่ในระดับท็อป 5 หรือ 6 ของอุตสาหกรรม
8) อย่าซื้อหุ้นเพราะปันผลดีหรือ P/E
แต่ให้ซื้อเพราะมันเป็นอันดับหนึ่งในอุตสาหกรรมโดยเฉพาะในเรื่องของการเติบโตของยอดขายและกำไร, ROE, ส่วนต่างกำไร และผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่า
9) ซื้อหุ้นที่มี relative strength ตั้งแต่ 85 ขึ้นไป
10) วอลุ่มการซื้อขายของหุ้นนั้ต้องมีค่าเฉลี่ยอย่างน้อยๆแสนหุ้นต่อวัน
11) เรียนรู้การอ่านกราฟโดยเน้นไปที่การสร้างฐานราคาและจุดซื้อที่ถูกต้อง
ใช้กราฟรายวันและสัปดาห์เพื่อหาหุ้น
ซื้อหุ้นที่ราคา breakout ออกจากฐานที่สมบูรณ์ ด้วยวอลุ่มในวันมากกว่าก่อนหน้านั้น อย่างน้อย 50%
12) ซื้อถัวเฉลี่ยขาขึ้นเท่านั้น และรีบตัดขาดทุนอย่าให้เกิน 7-8% โดยไม่มีข้อแม้
13) เขียนกฎการเทรดออกมา ว่าจะซื้อและขายตอนไหน
และต้องทำตามนั้นอย่างไม่มีข้อแม้
14) ให้แน่ใจว่ามีกองทุนที่ผลงานดีอย่างน้อยหนึ่งหรือสองกองเข้าซื้อหุ้นตัวนั้น ในช่วงไม่กี่ไตรมาสที่ผ่านมา
15) ธุรกิจของหุ้นตัวนั้นต้องมีสินค้าหรือบริการตัวใหม่ที่ขายดีมากๆ
และควรมีตลาดที่ใหญ่พอต่อการขายหรือบริการซ้ำ
16) มั่นใจว่าตลาดทั่วไปควรเป็นขาขึ้น และทั้งหุ้นขนาดเล็กและใหญ่ก็ขึ้น
17) หุ้นควรถูกถือครองโดยนักจัดการชั้นยอดจำนวนมากๆ
18) มองหาบริษัทมีอนาคตก้าวหน้าที่สร้างจากคนรุ่นใหม่
มากกว่าบริษัทล้าหลังที่บริหารโดยคนรุ่นเก่า
19)
ลืมอีโก้หรือเกียรติประวัติของคุณซะ
ตลาดมันไม่รู้จักและไม่แคร์พวกนี้หรอก
ไม่ว่าก่อนหน้านี้คุณจะเก่งแค่ไหน,ตลาดก็จะเก่งกว่าคุณ
IQ สูงหรือปริญญาสูงแค่ไหนก็ไม่ได้การันตีความสำเร็จในตลาดหุ้น ยิ่งอีโก้มากก็จะทำให้เสียเงินมาก
ดังนั้นอย่าทะเลาะกับตลาด และอย่าพยายามพิสูจน์ว่าตลาดผิดและตัวเองถูก เพราะยิ่งพยายามคุณจะยิ่งเสียเงิน
20) เฝ้าดูบริษัทที่มีการประกาศซื้อหุ้นคืน 5-10% หรือมากกว่านั้น หาให้เจอว่ามันมีการจัดการบริษัทใหม่และมาจากไหน
21) อย่าซื้อหุ้นที่จุดต่ำสุด หรือระหว่างขาลง อย่าถัวเฉลี่ยขาลง
22)
ถ้ามีข่าวร้ายออกมาแต่ตลาดยังเฉยๆ คุณก็ไม่ควรตกใจ ให้มองในแง่ดี
เพราะมันบ่งบอกว่าตลาดยังแข็งแรงกว่าที่ใครๆคิด
ในทางกลับกัน,หากมีข่าวดีมากๆออกมา-แต่ตลาดกลับย่อตัว ให้ระวัง
เพราะเป็นสัญญาณบอกว่าตลาดมันอ่อนแอกว่าที่ใครๆคิด
23) 37% ของการเคลื่อนไหวราคาหุ้นผูกติดกับผลประกอบการของอุตสาหกรรมนั้น
ส่วนอีก 12% นั้นขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของภาพรวม
ดังนั้น,ครึ่งหนึ่งของการขึ้นมาจากความแข็งแรงของกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น
ที่มา http://www.tradingwithrayner.com/william-j-oneil-23-trading-rules-that-will-make-you-a-better-stock-trader/
เสริม
MONEY MANAGEMENT
๑) จำกัดขาดทุนที่ 8%
ตั้ง stop loss ไว้ที่ 8% ต่ำกว่าจุดที่ซื้อ เพื่อจำกัดการขาดทุน
แต่กระนั้น, โดยรวมแล้วคุณอาจจะขายทิ้งก่อนที่มันจะลงไปถึง 8% ได้
ถ้ามั่นใจว่ามันเสียทรงไปอย่างชัดเจนแล้ว
๒) อย่าปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน
เมื่อราคาหุ้นวิ่งขึ้นจนถึงระดับราคาที่เหมาะสมแล้ว อย่าปล่อยให้ตัวเองต้องขาดทุน
ยกตัวอย่างเช่น คุณมีทุน 50 บาทต่อหุ้น และราคาได้วิ่งขึ้นไปที่ 58 หรือ 59 บาท แต่จากนั้นมันกลับร่วงลงมถึง 50.5 บาท คุณควรขายเพื่อเก็บกำไรเล็กน้อยนั้นออกไปก่อน อย่าปล่อยให้กำไรเป็นขาดทุนด้วยการนั่งหวังว่ามันจะเด้งกลับขึ้นมาให้ขายอีกรอบ เพราะคุณอาจจะไม่ได้รับโอกาสที่สอง
๓) หลีกเลี่ยงการถูกเขย่าออกจากหุ้นที่โดดเด่น
ประมาณ 40% ของหุ้นที่คุณซื้อจะย่อกลับลงมาใกล้จุดซื้อเริ่มต้นของคุณ ซึ่งบางครั้งก็ลงพร้อมวอลุ่มที่สูงเอาการ สำหรับหนึ่งหรือสองวัน ตราบเท่าที่มันยังลงไม่ถึงจุดตัดขาดทุนของคุณ (ต่ำกว่าทุน 8%) ให้นั่งนิ่งๆและอดทน บางครั้งกว่าที่มันจะเด้งขึ้น,ก็ใช้เวลาหลายสัปดาห์ คุณต้องรู้จักรอถ้าต้องการกำไรก้อนใหญ่
๔)
หุ้นของคุณอาจย่อกลับมาไกล้ หรือต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันไปสักวันหรือสองวัน
นี่เป็นโอกาสซื้อที่เหมาะสม
๕)
อย่าขายและทำกำไร ถ้าหุ้นนำตลาดของคุณวิ่งขึ้น 20% หรือมากกว่าในเวลาเพียงสองหรือสามสัปดาห์เท่านั้น คุณต้องอดทนและให้หุ้นของคุณมีเวลามากขึ้น การวิ่งขึ้นรอบใหญ่มักต้องใช้เวลาในการพัฒนา ดังนั้นควรรออย่างน้อย 8 หรือ 10 สัปดาห์นับจากการซื้อครั้งแรกของคุณ จากนั้นจึงลองพิจารณามันดูอีกครั้ง
บทความอ่านเพิ่มเติม
-
แนวทางการเทรดของ William O’Neil
10 ลักษณะของคนที่ประสบความสำเร็จ
1) มีความคิดเชิงบวก. พวกเขาคิดว่าตัวเองต้องประสบความสำเร็จ, ไม่ล้มเหลว,โดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ที่ยากลำบาก
2) ตัดสินใจอย่างมีสติเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขากำลังติดตาม, และวาดแผนการเฉพาะเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
3) ไม่หยุดเรียนรู้
4) มีความอดทนและทำงานหนัก
5) ชอบวิเคราะห์รายละเอียดและหาข้อเท็จจริง
6) โฟกัส, ไม่ให้คนหรือสิ่งอื่นใดทำให้พวกเขาไขว้เขวจากเป้าหมาย เรียนรู้การประหยัดเงิน
7) มีความคิดเป็นของตัวเอง แล้วสร้างมันให้เป็นรูปแบบเฉพาะ และสร้างมันให้เป็นนวัตกรรม
8) สื่อสารกับคนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
9) มีจิตใจที่มั่นคง ซื่อสัตย์กับตัวเอง
-
หน้าตา Climax Tops กับเคสหุ้นไทย