7 อุปนิสัยของผู้มีประสิทธิภาพสูง (7 Habits of Highly Effective People) สำหรับนักเทรด

Image
7 อุปนิสัยของผู้มีประสิทธิภาพสูง (7 Habits of Highly Effective People) จากหนังสือของ Stephen R. Covey ซึ่งเป็นแนวคิดที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงการเทรดได้เป็นอย่างดีครับ 1. เป็นฝ่ายรุก (Be Proactive) 🔹 แนวคิด: จงมุ่งเน้นไปที่ สิ่งที่คุณควบคุมได้ (Circle of Influence) แทนที่จะกังวลกับสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม 🔹 สำหรับนักเทรด: - ตลาดจะเคลื่อนที่อย่างที่มันเป็น เราควบคุมตลาดไม่ได้ แต่เราควบคุมวิธีตอบสนองของเราได้ - แทนที่จะโทษตลาด โบรกเกอร์ หรือข่าว จงพัฒนาทักษะของตัวเอง บริหารความเสี่ยงให้ดี และมีแผนรับมือกับทุกสถานการณ์ - ฝึกฝนวินัยและควบคุมอารมณ์ของตัวเอง อย่าปล่อยให้ความโลภหรือความกลัวครอบงำ . 2. เริ่มต้นโดยมีเป้าหมายในใจ (Begin with the End in Mind) 🔹 แนวคิด: ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน วาดภาพความสำเร็จของตัวเอง 🔹 สำหรับนักเทรด: - ถามตัวเองว่า "ฉันอยากเป็นเทรดเดอร์แบบไหน?" - กำหนดเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม เช่น "ฉันต้องการกำไร 10% ต่อเดือนโดยมี Drawdown ต่ำกว่า 5%" - เขียนแผนการเทรด ให้ชัดเจน และยึดมั่นในแผนของคุณ . 3. ทำสิ่งที่สำคัญก่อน (First Things First...

กฎการเทรด 23 ข้อ ที่ปู่โอนีลใช้แล้วชนะตลาด(อเมริกา)



1) อย่าซื้อหุ้นราคาถูกๆ เพราะหุ้นของผู้นำในอุตสาหกรรมจะไม่ถูกซื้อขายในราคาต่ำๆ

2)  ซื้อหุ้นที่มี EPS โตอย่างน้อย 25% มาร่วมสามปี แล้วปีต่อไปก็ถูกคาดหมายว่าจะโตได้อีก 25%
และควรมี annual cash flow 20% หรือมากกว่า

3) มองหาหุ้นที่มี EPS โต 25% ถึง 30% ในสามไตรมาสล่าสุด
ส่วนในตลาดขาขึ้น ให้มองหาหุ้นที่ EPS โต 40% ถึง 500% (ยิ่งมากยิ่งดี)

4) ดูยอดขายสามไตรมาสล่าสุดว่ามันมีการโตเป็นอัตราเร่ง
หรือไตรมาสล่าสุดมันโตอย่างน้อย 25%


5) ซื้อหุ้นที่ ROE มากกว่าหรือเท่ากับ 17%
แต่จะให้ดีมากๆ หากทำได้ 25% ถึง 50%

6) ดูให้แน่ว่ากำไรหลังหักภาษี-เพิ่มขึ้น และไกล้ๆกับจุดสูงสุด

7) หุ้นที่ซื้อส่วนใหญ่ควรอยู่ในระดับท็อป 5 หรือ 6 ของอุตสาหกรรม

8) อย่าซื้อหุ้นเพราะปันผลดีหรือ P/E
แต่ให้ซื้อเพราะมันเป็นอันดับหนึ่งในอุตสาหกรรมโดยเฉพาะในเรื่องของการเติบโตของยอดขายและกำไร, ROE, ส่วนต่างกำไร และผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่า

9) ซื้อหุ้นที่มี relative strength ตั้งแต่ 85 ขึ้นไป

10) วอลุ่มการซื้อขายของหุ้นนั้ต้องมีค่าเฉลี่ยอย่างน้อยๆแสนหุ้นต่อวัน



11) เรียนรู้การอ่านกราฟโดยเน้นไปที่การสร้างฐานราคาและจุดซื้อที่ถูกต้อง
ใช้กราฟรายวันและสัปดาห์เพื่อหาหุ้น
ซื้อหุ้นที่ราคา breakout ออกจากฐานที่สมบูรณ์ ด้วยวอลุ่มในวันมากกว่าก่อนหน้านั้น อย่างน้อย 50%

12) ซื้อถัวเฉลี่ยขาขึ้นเท่านั้น และรีบตัดขาดทุนอย่าให้เกิน 7-8% โดยไม่มีข้อแม้


13) เขียนกฎการเทรดออกมา ว่าจะซื้อและขายตอนไหน
และต้องทำตามนั้นอย่างไม่มีข้อแม้


14) ให้แน่ใจว่ามีกองทุนที่ผลงานดีอย่างน้อยหนึ่งหรือสองกองเข้าซื้อหุ้นตัวนั้น ในช่วงไม่กี่ไตรมาสที่ผ่านมา


15) ธุรกิจของหุ้นตัวนั้นต้องมีสินค้าหรือบริการตัวใหม่ที่ขายดีมากๆ
และควรมีตลาดที่ใหญ่พอต่อการขายหรือบริการซ้ำ


16) มั่นใจว่าตลาดทั่วไปควรเป็นขาขึ้น และทั้งหุ้นขนาดเล็กและใหญ่ก็ขึ้น


17) หุ้นควรถูกถือครองโดยนักจัดการชั้นยอดจำนวนมากๆ


18) มองหาบริษัทมีอนาคตก้าวหน้าที่สร้างจากคนรุ่นใหม่
มากกว่าบริษัทล้าหลังที่บริหารโดยคนรุ่นเก่า


19) ลืมอีโก้หรือเกียรติประวัติของคุณซะ
ตลาดมันไม่รู้จักและไม่แคร์พวกนี้หรอก
ไม่ว่าก่อนหน้านี้คุณจะเก่งแค่ไหน,ตลาดก็จะเก่งกว่าคุณ
IQ สูงหรือปริญญาสูงแค่ไหนก็ไม่ได้การันตีความสำเร็จในตลาดหุ้น ยิ่งอีโก้มากก็จะทำให้เสียเงินมาก
ดังนั้นอย่าทะเลาะกับตลาด และอย่าพยายามพิสูจน์ว่าตลาดผิดและตัวเองถูก เพราะยิ่งพยายามคุณจะยิ่งเสียเงิน


20) เฝ้าดูบริษัทที่มีการประกาศซื้อหุ้นคืน 5-10% หรือมากกว่านั้น หาให้เจอว่ามันมีการจัดการบริษัทใหม่และมาจากไหน

21) อย่าซื้อหุ้นที่จุดต่ำสุด หรือระหว่างขาลง อย่าถัวเฉลี่ยขาลง

22) ถ้ามีข่าวร้ายออกมาแต่ตลาดยังเฉยๆ คุณก็ไม่ควรตกใจ ให้มองในแง่ดี 
เพราะมันบ่งบอกว่าตลาดยังแข็งแรงกว่าที่ใครๆคิด
ในทางกลับกัน,หากมีข่าวดีมากๆออกมา-แต่ตลาดกลับย่อตัว ให้ระวัง 
เพราะเป็นสัญญาณบอกว่าตลาดมันอ่อนแอกว่าที่ใครๆคิด

23) 37%  ของการเคลื่อนไหวราคาหุ้นผูกติดกับผลประกอบการของอุตสาหกรรมนั้น 
ส่วนอีก 12% นั้นขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของภาพรวม
ดังนั้น,ครึ่งหนึ่งของการขึ้นมาจากความแข็งแรงของกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น

ที่มา http://www.tradingwithrayner.com/william-j-oneil-23-trading-rules-that-will-make-you-a-better-stock-trader/



เสริม
MONEY MANAGEMENT
๑) จำกัดขาดทุนที่ 8% 
ตั้ง stop loss ไว้ที่ 8% ต่ำกว่าจุดที่ซื้อ เพื่อจำกัดการขาดทุน
แต่กระนั้น, โดยรวมแล้วคุณอาจจะขายทิ้งก่อนที่มันจะลงไปถึง 8%  ได้
ถ้ามั่นใจว่ามันเสียทรงไปอย่างชัดเจนแล้ว

๒) อย่าปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน
เมื่อราคาหุ้นวิ่งขึ้นจนถึงระดับราคาที่เหมาะสมแล้ว อย่าปล่อยให้ตัวเองต้องขาดทุน
ยกตัวอย่างเช่น คุณมีทุน 50 บาทต่อหุ้น และราคาได้วิ่งขึ้นไปที่ 58 หรือ 59 บาท แต่จากนั้นมันกลับร่วงลงมถึง 50.5 บาท คุณควรขายเพื่อเก็บกำไรเล็กน้อยนั้นออกไปก่อน อย่าปล่อยให้กำไรเป็นขาดทุนด้วยการนั่งหวังว่ามันจะเด้งกลับขึ้นมาให้ขายอีกรอบ เพราะคุณอาจจะไม่ได้รับโอกาสที่สอง

๓) หลีกเลี่ยงการถูกเขย่าออกจากหุ้นที่โดดเด่น
ประมาณ 40% ของหุ้นที่คุณซื้อจะย่อกลับลงมาใกล้จุดซื้อเริ่มต้นของคุณ ซึ่งบางครั้งก็ลงพร้อมวอลุ่มที่สูงเอาการ สำหรับหนึ่งหรือสองวัน ตราบเท่าที่มันยังลงไม่ถึงจุดตัดขาดทุนของคุณ (ต่ำกว่าทุน 8%) ให้นั่งนิ่งๆและอดทน บางครั้งกว่าที่มันจะเด้งขึ้น,ก็ใช้เวลาหลายสัปดาห์ คุณต้องรู้จักรอถ้าต้องการกำไรก้อนใหญ่

๔) หุ้นของคุณอาจย่อกลับมาไกล้ หรือต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันไปสักวันหรือสองวัน
นี่เป็นโอกาสซื้อที่เหมาะสม

๕) อย่าขายและทำกำไร ถ้าหุ้นนำตลาดของคุณวิ่งขึ้น 20% หรือมากกว่าในเวลาเพียงสองหรือสามสัปดาห์เท่านั้น คุณต้องอดทนและให้หุ้นของคุณมีเวลามากขึ้น การวิ่งขึ้นรอบใหญ่มักต้องใช้เวลาในการพัฒนา ดังนั้นควรรออย่างน้อย 8 หรือ 10 สัปดาห์นับจากการซื้อครั้งแรกของคุณ จากนั้นจึงลองพิจารณามันดูอีกครั้ง




บทความอ่านเพิ่มเติม
แนวทางการเทรดของ William O’Neil
10 ลักษณะของคนที่ประสบความสำเร็จ
1) มีความคิดเชิงบวก. พวกเขาคิดว่าตัวเองต้องประสบความสำเร็จ, ไม่ล้มเหลว,โดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ที่ยากลำบาก
2) ตัดสินใจอย่างมีสติเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขากำลังติดตาม, และวาดแผนการเฉพาะเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
3) ไม่หยุดเรียนรู้
4) มีความอดทนและทำงานหนัก
5) ชอบวิเคราะห์รายละเอียดและหาข้อเท็จจริง
6) โฟกัส, ไม่ให้คนหรือสิ่งอื่นใดทำให้พวกเขาไขว้เขวจากเป้าหมาย เรียนรู้การประหยัดเงิน
7) มีความคิดเป็นของตัวเอง แล้วสร้างมันให้เป็นรูปแบบเฉพาะ และสร้างมันให้เป็นนวัตกรรม
8) สื่อสารกับคนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
9) มีจิตใจที่มั่นคง ซื่อสัตย์กับตัวเอง

หน้าตา Climax Tops กับเคสหุ้นไทย

7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

ดูยังไงว่าเป็น Cup with Handle pattern?

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

คุณต้องลงสนามเทรดจริง ถึงจะเข้าใจการเทรดอย่างแท้จริงได้

วิธีการอ่านสัญญาณแท่งเทียน (Candlesticks Reading) สำหรับมือใหม่

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ

Oliver Kell: วงจรของการเคลื่อนไหวของราคา (Cycle of Price Action)