การเทรดที่ประสบความสำเร็จ นั้น แค่ “ดีกว่าค่าเฉลี่ย” ก็ยังไม่พอ

Image
Alexander Elder กล่าวว่า การเป็นเพียงแค่ “ดีกว่าค่าเฉลี่ย” ยังไม่เพียงพอ คุณต้องโดดเด่นกว่าใครๆ เพื่อที่จะชนะในเกมที่มีผลรวมติดลบ (Being simply “better than average” is not good enough. You have to be head and shoulders above the crowd to win a minus-sum game.) eBook : คิดและสวิงเทรดเป็นระบบแบบพี่แดน (Dan Zanger) มีจำหน่ายที่แอพ Meb ที่เดียว https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTk5MjQzNSI7czo3OiJib29rX2lkIjtpOjM0NDM3MTt9 ในคำพูดนี้ Alexander Elder กำลังเน้นย้ำว่า ในโลกของการเทรด การเป็นเพียงแค่คนที่ "เก่งกว่าค่าเฉลี่ย" อาจไม่เพียงพอที่จะประสบความสำเร็จได้ เพราะการเทรดไม่ใช่เกมที่ทุกคนสามารถชนะพร้อมกันได้ มันคือเกมที่เรียกว่า เกมที่มีผลรวมติดลบ (minus-sum game) ซึ่งหมายความว่า ทรัพยากรที่หมุนเวียนอยู่ในตลาด เช่น กำไรและขาดทุน ถูกกระจายไปในกลุ่มผู้เล่น แต่เมื่อรวมต้นทุนการเทรด เช่น ค่าธรรมเนียม นายหน้า และค่าเสียโอกาสแล้ว จะทำให้โดยรวมตลาดมีผลขาดทุนสุทธิ "เกมที่มีผลรวมติดลบ" หมายถึงอะไร? การเทรดในตลาดไม่ได้มี...

หุ้นรวมพาร์-ลดพาร์ ล้างขาดทุนสะสม ทำไปเพื่อ? ใครได้+ใครเสีย?



ได้เห็นข่าวหุ้น U ที่พาดหัวว่า "U จ่อรวมพาร์-ลดพาร์ หวังล้างขาดทุนสะสม"
โดยเนื้อในบอกว่า "ประกาศรวมพาร์จาก 1 บาท เป็น 100 บาท แล้วลดไปเป็น 3.20 บาท
เพื่อล้างขาดทุนสะสม ...หนุนหุ้นคึกเทรดสนั่น วอลุ่มเกือบ 100 ล้านบาท"

ทำให้ผมนึกถึงประสบการณ์ขาดทุนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตกับหุ้น SSI
จากเดิมเสียหาย 50%
พอบริษัทมีมติประเภทเดียวกันนี้
ทำให้ขาดทุนเพิ่มถึง 99%!!!
เงินเกือบหมื่น เหลือแค่ 103 บาทเท่านั้น!

ก็เลยอยากเอามาเป็นอุทาหรณ์มาให้ท่านอ่านกัน
ว่าให้ระวังหุ้นประเภทเดียวกันนี้ให้ดี
เจตนาที่นำเสนอไม่ได้ว่าร้ายหุ้นนะครับ
เพียงแต่อยากเผยให้เห็น "ความเสี่ยง" ของมันเท่านั้น
ซึ่งอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้

เริ่มที่เคส U กันก่อนนะ
ตัวนี้เปลี่ยนชื่อจาก N-PARK หุ้นเศษสลึงในตำนานนั่นเอง

ถ้าเราจับประเด็นจากข่าวนี้ให้ดี ก็จะรู้คร่าวๆว่า
การรวม-ลดพาร์ ยืด-หด-ยืดใหม่ ทำไปเพื่อ "ล้างขาดทุนสะสม"

คำถามต่อไปก็คือ
ทำไมต้องล้างขาดทุนสะสมด้วยวิธีการนี้?

ขาดทุนเยอะมาก มหาศาล ทำกำไรสิบชาติก็ยังไม่คืนทุนเลย (ดูจาก PE)

ถ้าอยากแก้ปัญหาไวๆ ก็ต้องใช้แนวทาง "วิศวกรรมทางการเงิน"
ซึ่งมีหลายแบบนะครับ
รายละเอียดจริง วิศวกรรมการเงินในตลาดการเงินไทย - มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

แต่ในตลาดหุ้นมีไม่กี่แบบที่ใช้กันแพร่หลาย
โดยเฉพาะแบบที่ คุณ "นายกว้าง" ได้ให้คำอธิบายไว้
จากกระทู้ https://pantip.com/topic/30559157 ครับ
เขาบอกไว้ดังนี้....

เอาแบบชาวบ้านดีกว่าจะได้เข้าใจง่ายๆ ไม่ต้องมี IPO หรือส่วนเกินผู่ถือหุ้นให้งงกันนะครับ
เพราะจริงๆแล้ว บมจ ที่เข้าตลาดจะมีกำไรสะสมหรือมีส่วนเกินผู้ถือหุ้นบ้าง ผมตัดออกหมดจะได้อธิบายเรื่องการลดพาร์เพื่อล้างขาดทุนสะสม จะได้เข้าใจง่ายๆ
 
เริ่มต้นมีทุน 100 บาท(10หุ้น * พาร์10บาท) หนี้สินไม่มี
สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน
100(สินทรัพย์) = 0(หนี้) + 100(ทุน) ==> หรือเริ่มต้นสินทรัพย์ก็คือทุนนั่นเอง ==> สมการแรก
 
ต่อมาขาดทุน 10 บาท ในทางปฏิบัติ เอาเงินที่ไหนไปใช้หนี้ล่ะ ถ้าไม่กู้มา ก็ต้องเอาทุนไปจ่ายถูกไหมครับ ซึ่งอธิบายแบบชาวบ้านคือหนี้ที่เป็นเม็ดเงินจริงๆไม่มีแล้ว จ่ายไปแล้ว มีแต่เป็นตัวเลขสะสมไว้ 
สมการก็เปลียนไป 100(สินทรัพย์) = 10(หนี้) + 90(ทุน)  ถูกไหมครับ (ตรงนี้ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบแล้ว)  
ถ้าคุณต้องการเสกหนี้(ในทางบัญชี)ให้หายไป ให้เป็นแบบนี้ 90(สินทรัพย์) = 0(หนี้) + 90(ทุน) คุณต้องไปลดตัวเลขสินทรัพย์ในสมการแรกจาก 100 เป็น 90 บาท 
ก็ไปลดพาร์ซะเป็น 9 บาท จำนวนหุ้นเท่าเดิม เป็น 90 บาท(10หุ้น * พาร์9บาท)  เป็น
90(สินทรัพย์) = 0(หนี้) + 90(ทุน) หนี้ตัวเลขหายวับไปเลย
 
ผมใช้วิธีคิดง่ายๆแบบนี้ในการอธิบายครับ เข้าใจง่ายดี โดยเฉพาะหนี้สะสมจริงๆในทางปฎิบัติมันชำระไปแล้ว ไม่ใช่หนี้เม็ดเงินแต่เป็นหนี้ตัวเลขครับ

สรุปง่ายๆคือ เป็นการลดหนี้ โดยไม่ต้องใช้ความสามารถในการบริหาร
ซึ่ง หน้าต้องได้ ใจต้องถึง ....
ผู้บริหารได้หน้าครับ ว่าแก้ปัญหาตกแล้ว ไม่มีข้อด่างพร้อย

.... แต่ปัญหาจะถูกผลักไปยังผู้ถือหุ้นรายย่อยน่ะสิครับ
เพราะหุ้นที่ใช้สูตรการแก้ปัญหาแบบง่ายมั่กๆ แบบนี้มักจะมี freefloat 100%

ดังนั้น อย่าไปหลงในเรื่องของ "วอลุ่มเข้า"
เพราะที่ "เทรดสนั่น" เพราะคนฉลาด เขา "ลดความเสี่ยง" กันแล้วครับ
มีแต่รายย่อยเท่านั้นที่หลงไฟเข้าไปรับซื้อ เพราะคิดว่าถูกมากๆ
ด้วยเหตุผลที่ผมเคยเชื่อมาก่อนคือ
- ราคาถูกมากๆ ไม่มีทางลงต่ำกว่านี้อีกแล้ว
- หลงสตอรี่ที่ผู้บริหารให้มา หรือมีกลุ่มเชียร์หุ้นคอยปลุกระดม
- โดยสาเหตุจริงๆที่ทำให้คุณเชื่อก็คือ "คุณอยากรวยเร็ว ได้แจ็คพ็อต"
โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า กำลังหลงเข้าไป "ตกหลุมพราง" ของใครบางคน

ทำไมผมถึงกล้าเขียนแบบนี้?

ตัวอย่างล่าสุดที่เจอเอง เจ็บเองคือ SSI
ตัวนี้ผมมีติดอยู่นิดหน่อยจึงเห็นผลกระทบที่เลวร้ายมาก

เหตุผลที่ผมซื้อหุ้นตัวนี้ เพราะ อยากลองของน่ะ เลยซื้อดักขาลง
เห็นลงมาเยอะแล้ว ไม่น่าจะลงต่ออีก downside น้อยมาก upside มหาศาล
แต่โชคดีที่ซื้อไม่เยอะ ไม่ถึงหมื่นบาท

ผมจำไม่แม่นหรอกนะว่าซื้อที่เท่าไหร่ แต่ประมาณ 0.10 บาท
จากนั้นราคาก็ร่วงลงไป 0.05 บาท ผมขาดทุนไปกว่า 50% เลยครับ

แต่ไม่กล้าขาย เพราะร่วงหนักมาก รอให้เด้งสักนิดค่อยขายออกแล้วกัน

ทว่า, ต่อมาไม่นาน บริษัทก็ติด SP ห้ามซื้อขาย เพราะขาดทุนจนล้มละลาย
อ่านข่าวนี้ได้ https://www.kaohoon.com/content/85675
ผมเองผิดเต็มๆเลย ที่ไม่ยอมขาย เพราะหวังลมๆแล้งๆ
เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย

เพราะจากนั้นผู้บริหารพยายามต่อสู้ ให้มีการฟื้นฟูกิจการ
มีการฟ้องรอ้งอะไรวุ่นวายไปหมด
สุดท้ายก็ใช้กระบวนการ "วิศวกรรมทางการเงิน"
รายละเอียดอ่านได้จากนี้ https://pantip.com/topic/36681217

มันทำให้ทุนของผมที่เคยเป็น 0.10 บาท เปลี่ยนเป็น 4.68 บาท
ขาดทุนที่เคยเสียหาย 50% กว่าๆ กลายเป็น 98.93%
เงินที่หายไปจาก 5,000 กว่า กลายเป็นหายไป 9,600 กว่าบาท!!!



นี่คือตัวอย่างของความเสียหายที่เกิดกับรายย่อย เมื่อต้องเจอเคส "วิศวกรรมทางการเงิน"
คือจากเสียหาย 50% กลายเป็น 99% !!!!
จากเงินทุนเกือบ 10,000 บาท เหลือแค่ 103 บาท เท่านั้น!!!


แต่อย่างไรก็ตาม......
เคสของ U ก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายแบบ SSI ก็ได้นะ

ผมก็ไม่ได้มีอยู่แล้ว แต่ก่อนหน้านี้..ผมมีหุ้นนี้อยู่ครับ
เนื่องจากรู้ตัวว่าเล่นสูตรนี้ไม่ไหวแน่ จึงตัดใจขายขาดทุนออก
(ที่มาผมได้เขียนไว้ในบทความ หุ้น Turnaround : คำแนะนำจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง )

ผมแค่ยกตัวอย่างความเสียหายที่ตัวเองเจอมาให้เป็นข้อมูลแก่ท่าน
เพื่อให้มองเห็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
ถ้าท่านรู้จักหุ้นตัวนี้ดี เล่นแล้วได้กำไร ก็ยินดีด้วย

ถึงกระนั้น ผมฟันธงได้เลยว่า "รายย่อยรับกรรม 100%"
ทุนคุณจะต้องสูงขึ้น ยอดขาดทุนจะต้องมากขึ้น จากการ ยืด ย่น ส่วนทุน
ดังนั้น ท่านต้องคิดให้หนัก ว่าจะหาทางออกยังไง
วางแผนล่วงหน้าไว้หลายๆแบบ ทั้งร้าย และร้ายที่สุด

เรื่องดีอย่าไปคิดถึงครับ
เพราะมนุษย์เรา "ชอบหลอกตัวเอง" เป็นสันดานอยู่แล้ว
เน้นที่เรื่องร้ายก่อน ร้ายระดับหนึ่ง จนถึงระดับที่โหดสุดขั้ว

โดยใช้เคสที่ผมเล่ามาเป็นแบบอย่างก็ได้
ถ้าท่านวางแผนรับมือมันไว้ก่อน และทำตามแผน ท่านจะเสียหายน้อยครับ


(ฝากทิ้งท้าย) ข้อคิดที่ผมได้จากความเสียหายหุ้น SSI คือ..
๑) ไม่ควรเล่นหุ้นที่ความสามารถในการทำกำไรต่ำตม ในธุรกิจที่แข่งขันสูง
๒) ไม่ควรเล่นหุ้นที่เป็นขาลง แม้ราคามันจะร่วงหนักมากก็ตาม
๓) ไม่เล่นหุ้นราคาเศษสลึง หรือต่ำบาท เพราะมันมีเหตุผลที่ราคาต่ำแบบนั้นเพราะความสามารถในการทำกำไรที่อ่อนแอ แถมอยู่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง
๔) ไม่เล่นหุ้นที่มีหุ้นจดทะเบียนจำนวนมหาศาล มี free float 100% หรือไกล้ๆ เพราะเป็นหุ้นมีปัญหาทางความน่าเชื่อถือ ไม่มี smart money ที่ตั้งใจลงทุนจริงๆ ถือแม้แต่คนเดียว

ถ้าคุณมีหุ้นประเภทนี้ ทำไงดี?
** ให้คิดถึงสถานการณ์ที่เลร้ายที่สุดครับ เช่น
- ถ้า SP ไม่ให้ซื้อขาย 2-3-4-5-10 ปี คุณจะทำยังไง?
- ถ้า มีการปรับโน่น นี่ ทุนคุณสูงขึ้น แต่ราคาซื้อขายทำให้ขาดทุน 99% คุณจะทำยังไง?
- ถ้า ธุรกิจไม่มีพัฒนาการ ไม่สามารถทำกำไรได้อีก ราคากลับไปอยู่ที่เดิม คุณจะทำยังไง?
เน้นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อนครับ
เพราะมันจะช่วยดึงคุณให้ออกมาจากฝูงชนที่มองโลกในแง่ดีเกินเหตุ
แลัวคุณจะเห็นอะไรที่ "จริง" ขึ้น

** ถ้าท่านคิดว่า "ฉันทนไม่ได้แน่"
ผมแนะนำให้ท่านทยอยลดความเสี่ยงครับ แม้จะขาดทุนมากแค่ไหนก็ตาม ตอนที่คุณเสียหาย 50% อาจจะคิดว่าเยอะมากไม่กล้าขาย แต่ถ้าวันดีคืนดี ผู้บริหารเกิดนึกครึ้มใจอยากใช้ "วิศวกรรมทางการเงิน" ขึ้นมา จากเสียหายแค่ 50% มันจะกลายเป็น 99% แบบผมก็ได้

** เปลี่ยนความเชื่อในการเล่นหุ้นใหม่ซะ ว่าการจะรวยหุ้นได้ ต้องใช้เวลาและความพยายาม
ไม่มีอะไรได้มาอย่างง่ายๆหรอก ยิ่งในตลาดหุ้น ถ้าคุณมักง่าย คุณก็จะกลายเป็นเหยื่อวันยังค่ำ

** ศึกษาและรู้จักใช้ stop loss อย่างจริงจัง
อ่านบทความนี้ได้ครับ Stop loss ง่ายขึ้นแน่ แค่คิดแบบนี้!

** ลองศึกษา เล่นหุ้นที่มีพื้นฐานน่าเชื่อถือ ราคาแพงดูครับ สิบบาทขึ้นไป ร้อยบาทก็ได้
ลองเล่นดู ถ้าคุณเล่นแล้วได้กำไร คุณจะได้ความรู้ใหม่ว่า หุ้นซิ่งกำไรเป็นเด้งนั้น
หุ้นราคาแพงก็ซิ่งได้ ถ้าพื้นฐานดี และหุ้นไม่เยอะ
ดูตัวอย่าง PTT, AOT, KTC, M, AEONTS ฯลฯ พวกนี้ราคาเกินห้าสิบ บางตัวหลักร้อย
แต่พอได้ซิ่ง ก็กำไรได้ง่ายๆ
แล้วคุณจะลืมหุ้นต่ำบาทไปเลยครับ

** อีกอย่างหุ้นราคาเกิน 10 หรือเป็นร้อย นั้น เปอร์เซ็นต์ระหว่างช่อง มันต่างน้อยครับ
แม้จะร่วงสามสี่ช่อง ยอดขาดทุนไม่ถึง 5% เลยครับ
แต่ถ้าเป็นหุ้นต่ำบาท แค่ช่องเดียว ถ้ามันร่วง ขาดทุนเกิน 10% เสียหาย หนักมาก
ยิ่งเสียหายหนัก คุณไม่กล้าขาย พอไม่กล้า ปล่อยให้คาราคาซัง รอให้เด้งคืนทุน
โชคดีก็สมหวัง แต่หากวันดีคืนดีมีข่าว "วิศวกรรมทางการเงิน" ล่ะก็ เงินหายหมดแน่นอนครับ

ก็ถือเป็นความปรารถนาดี จากคนที่เจ็บหนักมาก่อน
ที่อยากแชร์ข้อมูลให้ท่านพิจารณาครับ

อ่านเพิ่มเติม
ความเสี่ยงของหุ้นเศษสลึง - ต่ำบาท : penny stocks

(แนะนำเพิ่มเติม ของฟรี)
หากต้องการศึกษาวิธีเล่นหุ้น แนะนำให้ไปอ่านบทความฟรี คลิปฟรีที่นี่ก่อนก็ได้
เรียนเล่นหุ้น เรียนเทรด forex จิตวิทยาการเทรด มือใหม่เล่นหุ้น
คลิกลิ้งนี้ครับ https://www.zyo71.com/p/index.html เป็นสารบัญเว็บนี้ครับ







และ eBook มีขายที่เว็บ https://www.mebmarket.com/index.php?action=search_book&type=author_name&search=เซียว%20จับอิดนึ้ง&exact_keyword=1&page_no=1
แยกส่วนกันนะครับ ขายคนละเจ้า
ebook หนังสือสอนเล่นหุ้น

7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า

Marios Stamatoudis สวิงเทรดปั้นพอร์ตโต 291.2% ในปีเดียว เขาทำได้อย่างไร?

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

VCP (Volatility Contraction Pattern) และรูปแบบที่คล้ายกัน

Oliver Kell: วงจรของการเคลื่อนไหวของราคา (Cycle of Price Action)