ถือเป็นหนังสือที่ตั้งชื่อได้ห้าวและโคตรดึงดูด ผมพยายามห้ามใจไม่หยิบไปเคาน์เตอร์ได้หลายครั้ง แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้ต่อแรงดึงดูดของมันจนได้
หะแรกก็คิดว่ามันคงมีดีแค่ที่ปกเท่านั้นแหละ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า การที่มันถูกพิมพ์ซ้ำมาแล้ว 4 ครั้ง จัดว่าไม่ธรรมดาเสียแล้ว
พอได้อ่านไปเรื่อยๆก็พบว่าตัวเองถูกดูดเข้าไปในหนังสือเลย ถึงขั้นวางไม่ลง ได้แต่ไฮไลท์ประโยคสำคัญที่โดนใจตัวเองไปเกือบทุกหน้า
ยังไม่ถึงครึ่งเล่มดี ก็ได้ข้อสรุปว่า สมแล้ว ที่มันขายดี สมแล้วที่ถูกยกย่องว่าเป็นพระเจ้าแห่งการขายของญี่ปุ่น
ผู้เขียน คือคุณ อะกิระ คะกะตะ พระเจ้าแห่งการขาย ที่สามารถครองสถิติปิดการขายได้ถึง 99% คืออย่าให้หลงไปคุยกับแกก็แล้วกัน ใน 100 คนต้องได้ควักเงินซื้อสินค้าจากแก 99 คน
น่ากลัวสุดๆ
ทำไมแกถึงได้เมพขนาดนั้น?
แกบอกว่า ไม่เห็นจะยากอะไรเลย ทำตาม 6 หลักนี้ก็พอ
- ปรัชญา
- มารยาท
- วิธีการพูด
- ทฤษฎี
- เทคนิค
และ เคล็ดลับสุดยอด
ส่วนตัวผมชอบหลักข้อแรกสุด
เพราะมันเป็น mindset หรือเป็น master plan ให้ 5 หลักที่เหลือครับ
"วิธีคิด" คือสิ่งที่เป็นหลักสำคัญในการกำหนดชะตาชีวิตของคน
คุณจะเป็นในสิ่งที่คุณเชื่อ เชื่ออย่างไรก็จะได้อย่างนั้น
เคล็ดลับของการขายสูตรของพระเจ้า ก็คือ
- "ต้องไม่ขายเพื่อตัวเราเอง แต่ขายเพื่อประโยชน์ของอีกฝ่าย" เท่านั้น
- สิ่งที่ขายไม่ใช่สินค้า แต่มันคือ ประโยชน์ที่จะเกิดแก่ลูกค้า อาทิ สะดวกมาขึ้น สบายขึ้น เติมเต็มความฝัน และเพิ่มความสุขให้แก่ลูกค้า
- เชื่อว่าเราเอาของดีไปนำเสนอให้ลูกค้า ซึ่งพวกเขาต้องขอบคุณในความปารถนาดีของเรา และมีความสุขจากการได้เป็นเจ้าของสินค้านั้น
- คิดเสียว่า ถ้าเขาไม่ซื้อของจากเรา อาจไปเจอคนอื่นหลอกขายของห่วยแต่ราคาแพงได้ ดังนั้น ต้องปิดการขายให้ได้
- การขายขั้นเทพ คือ ต้องไม่ยัดเยียด แต่ให้ลูกค้าเกิดความอยากซื้อ ขึ้นมาเอง ถึงข้อดีจากการซื้อสินค้านั้น
บทต่อจากนั้น แกก็ร่ายยาวเกี่ยวกับวิธีการสร้างความสัมพันธ์ สร้างความประทับใจ รวมถึงเกร็ดเคล็ดลับขั้นเทพต่างๆนาๆที่แม้จะเคยมีคนเอ่ยถึงมาบ้างแล้ว แต่ด้วยการที่ผู้เขียนเอาเหตุผลทางจิตวิทยาของมนุษย์มาเสริมความกระจ่าง ทำให้เราเห็นภาพและเข้าใจได้มากขึ้นแบบที่ไม่คยมีใครบอกมาก่อน (ตรงนี้แหละที่เป็นจุดแข็งของเค้าเลย)
จากการอ่านน้ำเสียงของการสื่อสาร ผมคิดว่าคุณอะกิระ คนนี้ เป็นคนที่มี self esteem หรือความเคารพตนเองสูงมากครับ คิดบวก มี mindset ที่เป็นมืออาชีพสูง จนถึงขั้นสามารถโปรแกรมจิตของตัวเองได้เลย คนแบบนี้ perfect สุดๆ จะทำอะไรก็สำเร็จได้แบบง่ายๆ
ก็จะไม่อธิบายแบบละเอียดนะ เดี๋ยวจบเล่มกันพอดี
แต่ถึงกระนั้น ผมก็อยากเปิดประเด็นใหม่ต่ออีกนิด ว่าทำไมเล่มนี้จึงขายดี
ในฐานะที่ตัวเองก็สวมอีกหมวกคือเป็นนักอยากเขียน
เผื่อจะได้เป็นไอเดียสำหรับคนที่อยากทำหนังสือขายด้วยครับ
๑) อันดับแรกคือ ชื่อหนังสือโดดเด่นและทรงพลังมาก เรียกว่าชวนให้หยิบขึ้นไปพลิกอ่านดูว่า มันคืออะไร เขาเขียนถึงเรื่องอะไร
๒) สารบัญ ทำได้น่าสนใจ แม้เล่มจะบางนิดเดียว แต่เขาลิสต์หัวข้อออกมาใส่ไว้เยอะมาก ใช้หน้ากระดาษไปถึง 6 หน้า
ตรงนี้เองที่ทำให้ผมเห็นประโยชน์ของมัน เพราะคนอ่านที่เขาถูกดูดจากปกหนังสือจนต้องหยิบมาเปิดแล้ว ก็ไม่มีใครใช้เวลาทั้งวันยืนอ่านในร้านหนังสือหรอกนะ ก็ต้องดูคำโปรยหน้าปกและสารบัญก่อน ซึ่งการอัดหัวข้อทั้งหมดลงไปแบบไม่กลัวเปลืองหน้ากระดาษเลย จึงช่วยให้ลูกค้าเป้าหมายย่นเวลาทำความเข้าใจไปได้เยอะ
๓) คำโปรยท้ายเล่ม ตรงนี้ก็สำคัญไม่น้อย เพราะอย่างที่รู้กันว่า พอเราหยิบหนังสือก็ไม่อยากเปิดอ่านข้างในหรอก พยายามหาเบาะแสที่สร้างความอยากซื้อให้เราสักนิดก็ยังดี ซึ่งเล่มนี้ก็ทำได้ครับ
ประโยค "อย่าขายสินค้า แต่จงหาว่าสินค้าสร้างความสุขให้กับลูกค้าได้อย่างไร เมื่อหาเจอแล้ว ขายสิ่งนั้น" ถือว่าโดนเต็มๆ เพราะมันชวนให้เราอยากรู้ว่า ทำยังไงล่ะ? งั้นต้องซื้อไปแล้ว
บางทีประโยคกระแทกใจไม่กี่คำ ก็ทรงพลังและมีอำนาจมากพอที่จะทำให้เราหยิบหนังสือเล่มหนึ่งไปจ่ายเงินได้เลยนะครับ
๔) มาดูเนื้อในกันบ้างครับ ส่วนนี้จะส่งผลก็ต่อเมื่อคุณซื้อมันไปแล้ว
สำหรับตัวผมเองนะ พอเปิดอ่านไปเรื่อยๆ ต้องเกิดความรู้สึกประทับใจ ผุดขึ้นมาตลอดแทบทุกครั้งที่พลิกหน้า อารมณ์เหมือนอยากตบเข่าสักฉาดเห็นด้วยกับเคล็ดที่ผู้เขียนเอามาแทรก โดยเฉพาะจิตวิทยามนุษย์ มันดูเป็นเหตุเป็นผล รองรับสารที่เขาสื่อได้ดีมาก
๕) จากข้อที่แล้ว มันทำให้เรารู้สึกว่าคุ้มที่ได้อ่านเล่มนี้ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เคล็ดลับ? วิธีนำเสนอ? หรือรวมๆกัน คือยิ่งอ่านก็พบว่า "หมอนี่มันไม่ธรรมดาจริงๆ" สิ่งเล็กๆน้อยๆก็ไม่มองข้าม มืออาชีพสุดๆ
สรุปคือ ผู้อ่านได้ความรู้มากขึ้นจากสิ่งที่เขาทำ ได้เคล็ดใหม่ๆที่น่าสนใจ และตื่นเต้นกับสิ่งนั้นๆ
๖) น้ำเสียงของการสื่อสาร ตรงนี้ผมก็ตั้งข้อสังเกตเล็กๆเหมือนกันว่า จริงใจดี ใช้คำแบบลุ่นๆตรงๆและไม่ต้องตีความซ้ำ อารมณ์คล้ายกับการอบรมรุ่นน้องในคอร์สเข้มข้น จึงมีความเป็นกันเอง และเข้าใจง่าย ขนาดผมไม่ใช่นักขายก็ยังสามารถเออออและเข้าใจได้แบบไม่ยาก
ตรงนี้ก็น่าจะมีส่วนให้เกิดความประทับใจด้วยส่วนหนึ่ง
๗) พอเนื้อหาโดนใจ และทำให้รู้สึกดี มันต้องมีการบอกต่อกันแน่นอน (อย่างที่ผมทำในขณะนี้) ตรงนี้แหละที่น่าจะทำให้เกิดการแพร่ชวนให้ซื้อกันอย่างรวดเร็ว เมื่อดูเดือนที่พิมพ์ซ้ำ ก็พบว่าสิงหาคมถึงกับซ้ำสองครั้งกันเลยทีเดียว ก็น่าจะเป็นผลจากการแพร่กระมัง
๘) ใครล่ะที่ซื้อ? ที่ชัดๆแน่ๆคือเหล่าบรรดานักขายตรง-ประกัน จากการหาข้อมูลล่าสุด นักขายตรงบ้านเราสมาชิกรวมกัน 11 ล้านรายเลยทีเดียว ถือว่าเยอะมาก นี่ยังไม่รวมนักขายประกันอีก(ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะทำพ่วงกันอยู่แล้ว) เรียกว่ามากพอที่จะทำให้พิมพ์ถึง 10 ครั้งได้แบบสบายๆเลยทีเดียว และจะไม่แปลกใจเลยว่าหัวหน้าหน่วยหลายท่านต้องได้ซื้อแจกเหล่าดาวน์ไลน์ทีละสิบๆเล่มกันไม่น้อยเลย
สรุปคือ ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้มีประโยชน์ต่อผมมาก
นอกจากจะอ่านสนุกแล้ว ก็ยังทำให้เกิดแรงบันดาลใจ สร้างเป้าหมายในการเขียนด้วย ยอมรับว่า "อยากเขียนให้ได้แบบนี้!!"
อยากทำงานที่ทำให้ผู้อ่านมีความสุขกับมัน แล้วรู้สึกดีอยากบอกต่อ
แค่นี้ก็คุ้มและสุขแล้วที่ได้เขียน
-------------------------------------------