นี่เป็นหนังสือดี ที่ผมอยากแนะนำให้ไปหามาอ่านครับ
หนังสือเรื่องนี้มีชื่อไทยว่า "
ขยับแค่ 1 องศาปัญหาก็หายไปครึ่งหนึ่ง" ซึ่งมันฮอลีวูดเอามากๆ
แต่ก็นั่นแหละมันเป็นเหตุผลทางการตลาดด้วย
เพราะว่าถ้าเขาตั้งชื่อให้มันโหลๆก็คงไม่สามารถเรียกร้องความสนใจจากผู้อ่านได้แน่ เนื่องจากในชั้นหนังสือมันก็มีคู่แข่งอยู่ตั้งมากมาย ที่คอยแย่งความสนใจจากลูกค้า
ดังนั้นประเทศไทยเราก็ต้องใช้หลักการนี้แหละครับ ตั้งชื่อเหมือนหนังฮอลลีวูดเข้าไว้ จะได้ดักคนให้หลงเข้ามาเปิดดู เผื่อว่าถ้าเขาเห็นเนื้อในน่าสนใจก็ซื้อไป
ซึ่งก็น่าสงสารหนังสืออยู่พอสมควรเพราะมันถูกอุปโลกน์ไปในทางที่มันไม่ใช่ตัวมันอย่างแท้จริง
แต่ถ้าจะเอาชื่อที่เหมือนตรงกับเนื้อหาหนังสือจริงๆตามความคิดของผมก็คือ "
แนวทางการใช้ปัญหาให้เป็นประโยชน์"
หลังจากที่ได้ไล่เปิดอ่านไปเรื่อยๆ ผมพบว่าหนังสือเล่มนี้โคตรดีเลย มันตอบโจทย์และได้ปลุกเร้าความรู้สึกหลายอย่างเกี่ยวกับการเผชิญกับอุปสรรคให้เราเห็นอีกมุมนึงได้เป็นอย่างดี จนผมผมแทบจะขีดเส้นใต้ทุกบรรทัดทุกหน้าเอาไว้เลยทีเดียว
ขอใช้โพสต์นี้บันทึกใจความที่ผมคิดว่ามันน่าสนใจให้ท่านได้อ่านกัน ก็ค่อนข้างยาวนะครับเพราะว่ามันมีของดีซ่อนอยู่เยอะมาก ก็คิดว่าเล่มนี้ไม่น่าจะขายดีอะไรนัก เนื่องจากมันก็ไม่ได้ mass จนเป็นที่ต้องการของตลาดมากนัก หากท่านเดินเข้าไปในร้านแล้วไม่มีก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แนะนำให้ลองสั่งออนไลน์ดู
ศิลปะแห่งการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส
ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน เราจะมีทางออกเพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทางเสมอ ดังนั้นอุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้น จึงไม่ใช่สิ่งที่คงอยู่ถาวร เราสามารถเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสิ่งที่ส่งเสริมและสนับสนุนเราได้
อุปสรรคทุกอย่าง เป็นเหมือนโอกาสในการฝึกฝน ไม่ว่าจะเป็นด้านความอดทน, ความกล้าหาญ, ความถ่อมตน, ความมีไหวพริบ, ความมีเหตุผล, ความยุติธรรม หรือความคิดสร้างสรรค์
การต่อสู้ดิ้นรนคือสิ่งเดียวในชีวิตที่เป็นเรื่องแน่นอน ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ เราทุกคนล้วนได้รับมรดกที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน แล้วใช้มันเป็นเครื่องนำทางในโลกที่เต็มไปด้วยโอกาส, อุปสรรค, บททดสอบ และชัยชนะ
เรามีทางเลือกเสมอ นั่นคือการปล่อยให้อุปสรรคหยุดเราอยู่กับที่ หรือต่อสู้จนสามารถข้ามผ่านอุปสรรคนั้นไปได้
หากภายในอุปสรรคมีสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคุณ และมีเพียงคุณคนเดียวเท่านั้นที่ใช้ประโยชน์จากมันได้ คุณจะทำอย่างไร?
ถึงแม้อุปสรรคที่เราพบเจอจะแตกต่างกันออกไป แต่มันก็ทำให้เกิดการตอบสนองที่คล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงอาการหวาดกลัว, หงุดหงิด, สับสน, สิ้นหวัง, หดหู่ หรือโกรธเกรี้ยว
มีบทเรียน(และหนังสือ)มากมายที่สอนวิธีประสบความสำเร็จ แต่กลับไม่เคยมีบทเรียนใดที่สอนวิธีรับมือกับความล้มเหลว วิธีมองอุปสรรคที่พบเจอ หรือวิธีเอาชนะปัญหาเลย
ดังนั้นเมื่อถูกปัญหารายล้อม คนส่วนใหญ่จึงติดแหงกอยู่กับที่ด้วยความสับสน อึดอัด และท้อแท้ เราไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี
อุปสรรคเป็นเหมือนออกซิเจนที่ทำให้เปลวไฟแห่งความมุ่งมั่นของเราปะทุขึ้น และไม่มีอะไรจะหยุดยั้งหรือสกัดกั้นเปลวไฟนั่นได้ อุปสรรคที่ขวางหน้ามีแต่จะช่วยโหมให้มันทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมวิธีรับมือกับปัญหาอย่างตรงไปตรงมา
มันจะสอนวิธีหลุดพ้นจากจุดที่คุณติดแหงกอยู่ และปล่อยศักยภาพที่คุณมี
รวมถึงวิธีพลิกสถานการณ์อันย่ำแย่ในชีวิต ให้กลายเป็นประสบการณ์อันยอดเยี่ยม หรืออย่างน้อยก็ช่วยให้คุณรู้วิธีฉกฉวยประโยชน์จากมัน เพื่อสร้างความโชคดีบนความโชคร้ายของตัวเอง
มันไม่ใช่การคิดบวก แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะคิดอย่างสร้างสรรค์ และฉกฉวยโอกาสอย่างไม่หยุดหย่อน
ถึงแม้หลายคนเลือกที่จะยอมแพ้ต่ออุปสรรค แต่ยังมีคนกลุ่มเล็กๆที่ยืนหยัดต่อสู้ คนกลุ่มนี้มักจะพยายามเป็น 2 เท่าของคนอื่น พวกเขาฝึกฝนหนักกว่า มองหาทางลัดอยู่ตลอดเวลาและกำจัดจุดอ่อนของตัวเอง บางคนมองหาความร่วมมือจากคนแปลกหน้า แม้ว่าจะพลาดพลั้งหกล้มไปบ้าง แต่สำหรับคนกลุ่มนี้ทุกสิ่งรอบตัวคือวิกฤตที่ต้องพลิกให้กลายเป็นโอกาส
ทุกวันนี้อุปสรรคส่วนใหญ่ที่เราพบเจอ ล้วนมาจากภายในจิตใจตัวเอง
มันคือความตึงเครียดที่อยู่ภายในใจเราเอง เราเผชิญกับความคับข้องใจในการทำงาน ความคาดหวังที่ไม่กลายเป็นจริง ความรู้สึกอับจนหนทาง นอกจากนี้เรายังต้องแบกรับความรู้สึกอันหนักอึ้งที่เกาะกินจิตใจของมนุษย์มาตลอด ไม่ว่าจะเป็นความสุข เศร้า ความเจ็บปวด หรือความรู้สึกสูญเสีย
การเอาชนะอุปสรรคประกอบด้วย 3 ขั้นตอนที่สำคัญ
ขั้นตอนแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับมุมมองทัศนคติ และวิธีที่เราใช้รับมือกับปัญหา
ขั้นตอนที่สอง คือการใช้พลังและความคิดสร้างสรรค์ในการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส
ส่วนขั้นตอนสุดท้าย คือการรักษาพลังใจที่ช่วยให้เราสามารถรับมือกับความผิดหวัง และความยากลำบากที่จะเกิดขึ้นได้
แท้จริงแล้ว
อุปสรรคคือโอกาสที่มนุษย์จะได้พิสูจน์ตัวเอง ลองทำสิ่งใหม่ๆและเหนือสิ่งอื่นใด คือการได้ลิ้มรสชาติแห่งชัยชนะ
อุปสรรค คือ โอกาส
มุมมองคืออะไร?
มุมมองคือวิธีที่เราใช้มองและทำความเข้าใจสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัว
รวมถึงใช้ตัดสินว่าสิ่งเหล่านั้นมีความหมายอย่างไร
มุมมองของคนเราอาจเป็นสาเหตุของทั้งความแข็งแกร่งและความอ่อนแอ หากมุมมองของเราถูกครอบงำโดยอารมณ์ ความรู้สึก อคติ และกรอบความคิดบางอย่าง เราก็จะมีแต่จะทำให้ตัวเองเดือดร้อน
ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองรู้สึกหมดเรี่ยวแรง เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ เราต้องเรียนรู้วิธีทำให้สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อเราน้อยลงอย่างที่ผู้คนในอดีตเคยพยายามทำมาแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยทักษะและวินัย
โดยเราต้องแยกแยะความจริงออกจากความรู้สึก รวมถึงคัดกรองอคติ ความคาดหวัง และความกลัวทิ้งไป จนกระทั่งเหลือเพียงแค่ความจริง และความจริงนั้นเองที่จะทำให้เราสงบสติอารมณ์ได้ ในขณะที่คนทั่วไปกำลังประหม่าและหวาดหวั่นกับปัญหาที่เกิดขึ้น เรากลับมองเห็นสิ่งนั้นอย่างตรงไปตรงมาในแบบที่มันเป็น(ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม) มุมมองแบบนี้แหละจะเป็นประโยชน์ต่อเราอย่างมากเมื่อเราต้องต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ
ในโลกธุรกิจนั้นโหดร้ายและคาดเดาอะไรไม่ได้เลย
มีเพียงคนที่รู้จักใช้เหตุผลและมีวินัยเท่านั้นที่จะมีโอกาสทำกำไรจากตลาดได้
การเก็งกำไรโดยไร้หลักการ มีแต่จะนำมาซึ่งหายนะ
เราทุกคนล้วนพบเจอกับอุปสรรคในชีวิต และหลังจากเอาชนะอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า เราจะเข้าใจว่าสิ่งสำคัญไม่ใช่ตัวอุปสรรคเอง แต่เป็นมุมมองและท่าทีอันสงบเยือกเย็นที่เราใช้รับมือกับมัน การตอบสนองเหล่านี้คือสิ่งที่กำหนดว่าคุณจะสามารถรับมือกับอุปสรรคและใช้ประโยชน์จากมันได้ดีแค่ไหน
อุปสรรคของคนบางคนอาจเป็นโอกาสในสายตาของใครหลายคน ขณะที่บางคนมัวเมาไปกับความสำเร็จ บางคนกลับมองเห็นความเป็นจริงด้วยหลักเหตุผลล้วนล้วนๆ ในขณะที่คนบางคนไม่สามารถควบคุมสติได้ ใครบางคนกลับรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยท่าทีสงบนิ่ง ความรู้สึกสิ้นหวัง ความหวาดกลัว และความรู้สึกอับจนหนทาง ล้วนเกิดจากมุมมองที่เรามีต่ออุปสรรคทั้งสิ้น เราต้องตระหนักว่าไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกเหล่านี้ได้ เราเองที่ "เลือก" รู้สึกเช่นนั้น
หลายครั้งเราตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยอารมณ์ความรู้สึกเพียงอย่างเดียว เราสิ้นหวังและเลิกมองทุกอย่างด้วยเหตุผล ซึ่งทำให้เรื่องแย่ทั้งหลายดูเลวร้ายลงยิ่งกว่าเดิม มุมมองด้านลบที่เราสร้างขึ้นจะเข้าครอบงำความคิดและทำลายความมีเหตุผลของเราไป
เราสามารถมองอุปสรรคด้วยเหตุผล หรือค้นหาโอกาสที่ซ่อนอยู่ในวิกฤต เพื่อเปลี่ยนสถานการณ์เลวร้ายให้กลายเป็นการเรียนรู้ การฝึกฝนทักษะ หรือแม้แต่ทรัพย์สินเงินทองได้ หากมีมุมมองที่ถูกต้อง เราจะพบปัญหาหรืออุปสรรคทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นโอกาสที่จะช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้า ถึงแม้มันจะเกิดขึ้นโดยที่เราไม่คาดคิดก็ตาม
ต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณควรจำเอาไว้เสมอเมื่อต้องเจออุปสรรคที่ดูใหญ่หลวงจนเอาชนะไม่ได้
- มองโดยปราศจากอคติ
- ควบคุมอารมณ์ให้อยู่หมัด
- เลือกมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในด้านดี
- มีสติอยู่เสมอ
- เพิกเฉยต่อข้อจำกัดหรือสิ่งที่ทำให้ไขว้เขว
- แยกแยะว่าสิ่งไหนสำคัญและไม่สำคัญ
- อยู่กับปัจจุบัน
- พุ่งเป้าไปยังสิ่งที่สามารถควบคุมได้
เรามีสิทธิ์เลือกว่าจะมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร เรามีสิทธิ์เลือกว่าจะยอมแพ้หรือลุกขึ้นสู้ และเรามีสิทธิ์เลือกว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธ ไม่มีใครสามารถบังคับให้เรายอมแพ้หรือเชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง
"มุมมองของเรา" คือสิ่งที่มีแต่ "
เราคนเดียวเท่านั้นที่ควบคุมได้"
ทุกคนล้วนประสบปัญหาคล้ายๆกัน ทว่าแต่ละคนกลับมีวิธีรับมือและได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน บางวิธีจะทำให้คุณได้ประโยชน์ ในขณะที่บางวิธีจะทำให้คุณหมกมุ่นอยู่กับความโกรธและความหวาดกลัว
ต่อให้ความคิดบอกคุณว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นน่ากลัว เลวร้าย หรือไม่ดีในทางใดทางหนึ่ง
ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเชื่อไปตามนั้น
ต่อให้คนอื่นบอกกับคุณว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นชวนสิ้นหวัง ไม่มีแก่นสาร หรือเป็นความล้มเหลว ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำเป็นอย่างนั้นจริงๆ
คุณเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่จะเลือกว่าจะมองมันอย่างไร
ความไม่มั่นใจและความหวาดกลัวจะบรรเทาลงเมื่อคนเรามีอำนาจควบคุม และการฝึกฝนก็ช่วยให้เรามีอำนาจควบคุมนั้น หากเราฝึกฝนจนเกิดความคุ้นเคยในระดับหนึ่งแล้ว เราจะสามารถขจัดความหวาดกลัวที่ฝังรากลึกซึ่งเกิดขึ้นจากความไม่คุ้นเคยของเราได้(ถึงจะไม่ง่ายนักก็ตาม)
อุปสรรคในชีวิตประจำวันมักจะทำให้เรารู้สึกปั่นป่วน และหนทางเดียวที่จะหลุดพ้นหรือชนะมันได้ ก็คือการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง นั่นหมายถึงการควบคุมความรู้สึกให้คงที่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะดูวุ่นวายสักเพียงใดก็ตาม
Apatheia คือภาวะจิตใจอันสงบนิ่งโดยปราศจากความรู้สึกที่รุนแรงและไร้เหตุผล ภาวะนี้ไม่ใช่การไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง แต่เป็นการตัดความรู้สึกที่ไม่ส่งผลดีและไร้ประโยชน์ทิ้งไป จงอย่ายินยอมให้ความรู้สึกด้านลบเข้ามาเกาะกินจิตใจ
อันที่จริงแล้วจงอย่าปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านี้ก่อตัวขึ้นตั้งแต่แรก แค่บอกปฏิเสธมันไปซะว่า "ไม่ล่ะขอบคุณ ฉันไม่มีเวลามาตื่นตระหนกหรอก"
การมีภาวะจิตใจเช่นนี้ คือทักษะที่เราต้องฝึกฝนเพื่อให้เราสามารถทุ่มเทกำลังทั้งหมดให้กับการแก้ไขปัญหา แทนที่จะมัวรู้สึกตื่นตระหนก
เมื่อคุณวิตกกังวล ลองถามตัวเองดูว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่คุณมองข้ามไป
พูดง่ายๆก็คือลองถามตัวเองว่า ความวิตกกังวลช่วยทำให้อะไรดีขึ้นมาหรือไม่?
ผมไม่ได้บอกคุณว่าคุณไม่ควรแสดงความอาการวิตกกังวลออกมา ในทางตรงกันข้าม,จงอย่าพยายามทำตัวให้ "ดูเข้มแข็ง" หากคุณต้องการเวลาสักครู่เพื่อปลดปล่อยความรู้สึก ก็ปล่อยมันออกมาให้เต็มที่ แต่หลังจากนั้นคุณต้องควบคุมตัวเองให้ได้ เนื่องจากความเข้มแข็งที่แท้จริงต้องอาศัยการควบคุมอารมณ์ เพราะฉะนั้น "จงยอมรับอารมณ์ของตัวเอง" แต่จงระลึกไว้เสมอว่าการแสดงอารมณ์เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นและการลงมือแก้ปัญหานั้นเป็นคนละเรื่องกันฃ
คุณต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า "
คนที่มีอำนาจควบคุมคือตัวฉัน ไม่ใช่อารมณ์"
ฉันมองเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัว และจะไม่ตื่นตระหนกหรือกังวลไปกับมัน
ทุกคนสามารถควบคุมอารมณ์ได้ด้วยการคิดอย่างมีเหตุผล มันคือการตั้งคำถามและตอบคำถาม
เมื่อเราคิดอย่างมีเหตุผล เราย่อมพบต้นตอของปัญหา
ตัวอย่างการตั้งคำถามและตอบคำถาม
เราขาดทุน
แต่การขาดทุนเป็นเรื่องปกติในการทำธุรกิจไม่ใช่หรือ?
ก็ใช่
แล้วการขาดทุนครั้งนี้ถึงขั้นทำให้บริษัทประสบกับหายนะเลยรึเปล่า?
ก็ไม่ถึงขนาดนั้น
ถ้าอย่างนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายใช่ไหม? แล้วทำไมต้องทำตัวเหมือนกับว่ามันเลวร้ายนักนะ ทำไมต้องกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นแค่ชั่วครั้งชั่วคราวด้วย?
ในศตวรรษที่ ๑๖ ซามูไรชื่อดังอย่างมิยาโมโต้มูซาชิ สามารถเอาชนะการดวลกับคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขาม (ซึ่งบางครั้งก็เข้ามารุมเขาครั้งละหลายคน) มานับครั้งไม่ถ้วนโดยไม่ใช้ดาบ มูซาชิได้เขียนถึงความแตกต่างระหว่าง "การสังเกตเห็นความจริง" กับ "การรับรู้เพียงภาพลวง" ไว้ในตำราของเขาว่า "ดวงตาที่รับรู้เพียงภาพลวงนั้นไร้พลัง แต่ดวงตาที่สังเกตเห็นความจริงนั้นเปี่ยมด้วยอานุภาพ"
มูซาชิเข้าใจดีว่าดวงตาที่สังเกตเห็นความจริงจะมองสิ่งต่างๆอย่างที่มันเป็นจริงๆ แต่ดวงตาที่รับรู้เพียงภาพลวงจะทำให้เรามองโลกผิดเพี้ยนไป
ดวงตาที่สังเกตเห็นความจริงจะทำให้เรามองเหตุการณ์และเรื่องราวต่างๆโดยปราศจากสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้อง สิ่งปรุงแต่ง และความเข้าใจผิดๆ ในทางกลับกัน ดวงตาที่รับรู้เพียงภาพลวงจะทำให้คนมองเห็นแต่ "อุปสรรคที่ไม่อาจเอาชนะได้" "ความล้มเหลวอันใหญ่หลวง" หรือ "ปัญหา" ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
ตลอดช่วงชีวิตของคนเรา มีกี่ครั้งแล้วที่เราต้องพบเจอกับปัญหาที่เกิดจากความพยายามควบคุมสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ เราคิดไปเองเมื่อสิ่งต่างๆควรจะเป็นแบบนั้นหรือแบบนี้ เราเอาแต่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราคิดไปเอง แทนที่จะเป็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจริงๆ
เราสามารถติดตั้งสติและควบคุมอารมณ์ได้ เราย่อมมีดวงตาที่สังเกตเห็นอุปสรรคตามความเป็นจริง
บางครั้งมุมมองและการรับรู้ของเราก็เป็นตัวปัญหาครับ เพราะมันชอบป้อนข้อมูลที่เราไม่ต้องการเข้าไปในสมอง ทั้งที่ในเวลานั้นเราควรใส่ใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแท้ๆ
โดยปกติแล้วสมองของเราจะพยายามประมวลผลข้อมูลของสิ่งที่เรามองเห็นอย่างรวดเร็วมากที่สุด เราจึงคิด รับรู้ และลงมือทำโดยใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที
แต่คนเราสามารถหยุดเพื่อพิจารณาว่าจะลงมือทำอะไรบางอย่างดีหรือไม่ เราสามารถเลือกที่จะไม่ทำตามสัญชาตญาณ และคิดทบทวนให้ดีก่อนลงมือทำ
ทว่าการฝืนสัญชาตญาณต้องอาศัยความแข็งแกร่ง เปรียบเสมือนกล้ามเนื้อที่ต้องอาศัยการฝึกฝนบ่อยๆ
นี่คือสาเหตุที่ทำให้มูซาชิและผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการฝึกฝนความคิดมากพอๆกับการฝึกฝนร่างกาย เพราะทั้งสองเป็นปัจจัยที่สำคัญพอๆกันต่างก็ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง
การมองโดยปราศจากอคติหมายถึงการดึง "ตัวเอง" ออกจากกระบวนการคิด
ลองนึกถึงตอนที่คุณเป็นฝ่ายให้คำแนะนำกับคนอื่นดูสิครับ คุณสามารถมองปัญหาของตัวเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และหาหนทางแก้ไขได้อย่างไม่ยากเย็น
ส่วนอคติจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคุณกำลังรับมือกับปัญหาของตัวเอง ดังนั้น เมื่อคุณเป็นฝ่ายรับฟังปัญหาของคนอื่น คุณก็จะมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยปราศจากอคติ
คุณสามารถหาหนทางแก้ไขปัญหาให้คนรอบข้างได้ในทันที แต่พอตัวคุณเองมีปัญหา คุณกลับรู้สึกสมเพชตัวเอง ขุ่นเคืองกับเรื่องที่เกิดขึ้น และเอาแต่พร่ำบ่นแทนที่จะรีบหาทางแก้ไขปัญหา
จงรับมือกับปัญหาของคุณราวกับว่าปัญหานั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวคุณเอง หรือไม่ก็จินตนาการว่ามันเป็นเพียงปัญหาเล็กๆที่ไม่ส่งผลอะไรมากนัก แล้วคุณจะพบว่าการหาทางออกนั้นช่างง่ายดาย คุณจะค้นพบวิธีรับมือกับมันโดยที่ไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังงานมากนัก
ลองดูว่าคนอื่นจะหาทางออกอย่างไรถ้าพวกเขาเจอปัญหาแบบเดียวกับคุณ แต่อย่าคิดแบบลวกๆนะครับ คุณต้องคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนจนกว่าจะเกิดความชัดเจน คุณต้องฝึกทำแบบนี้ซ้ำๆ ยิ่งทำบ่อยเท่าไหร่คุณก็ยิ่งเชี่ยวชาญมากเท่านั้น และยิ่งคุณมีความเชี่ยวชาญในการมองเห็นเนื้อแท้ของปัญหามากเท่าไหร่ มุมมองที่คุณมีต่อปัญหาดังกล่าวก็จะเป็นประโยชน์กับตัวคุณมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อคุณสามารถชำแหละเปลือกนอกของบางสิ่งบางอย่าง หรือมุมมองมันในแง่มุมใหม่ๆ สิ่งเหล่านั้นก็จะไม่มีอำนาจเหนือจิตใจของคุณอีกต่อไป
ชาวกรีกเข้าใจดีว่าเมื่อมนุษย์พบกับอุปสรรค เรามักจะเชื่อลางสังหรณ์มากกว่าคำอธิบายที่มีเหตุผล พวกเขาเข้าใจดีว่าสาเหตุที่เราหวาดกลัวต่ออุปสรรคเป็นเพราะมุมมองของเราถูกบิดเบือนไป ทั้งยังรู้ด้วยว่าเพียงแค่ปรับเปลี่ยนมุมมองก็ทำให้การตอบสนองของเราเปลี่ยนแปลงไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือได้แล้ว เราไม่ได้เพิกเฉยต่อความหวาดกลัว แต่เราแค่อธิบายสาเหตุที่แท้จริงของมัน ดังนั้น เมื่อความหวาดกลัวเข้าครอบงำจิตใจของคุณ จงยอมรับมันและชำแหละมันออกเป็นส่วนๆเสีย
คุณเป็นผู้เลือกเองว่าจะเติมคำว่า "ฉัน" ไว้หน้าปัญหาต่างๆหรือไม่ (ฉันกลัวต่อการพูดต่อหน้าฝูงชน ฉันทำพลาดไปหมด ฉันได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้) และถ้าคุณทำแบบนี้ก็เท่ากับว่าคุณได้นำตัว "คุณ" เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา แทนที่จะทำให้ตัวเองเป็นเพียงผู้ชม การมีมุมมองที่บิดเบือนเช่นนั้นจะทำให้คุณถูกครอบงำและถูกเล่นงานโดยสิ่งที่จริงๆแล้วเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
ทำไมคุณถึงต้องทำร้ายตัวเองแบบนั้นด้วยล่ะครับ?
สิ่งที่คุณต้องมีคือมุมมองที่ถูกต้องเพราะมันมีพลังประหลาดที่ช่วยทำให้อุปสรรคกลายเป็นเรื่องเล็ก
แต่ด้วยเหตุผลบางประการ คนเรากลับไม่คิดที่จะมีมุมมองที่ถูกต้อง เราเลือกที่จะมองปัญหาจากแค่มุมเดียว เราตำหนิตัวเองที่ทำให้การเจรจาต่อรองล้มเหลว หรือเข้าประชุมไม่ทันเวลา ถ้าหากเราจดจ่อกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ย่อมทำให้เรารู้สึกแย่ เพราะมันเป็นอดีตที่เราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้อีกแล้ว
ริชาร์ด แบรนสัน บอกว่า "
โอกาสทางธุรกิจก็เหมือนกับรถประจำทาง เมื่อคันหนึ่งผ่านไปก็จะมีคันใหม่ตามมาเสมอ"
แค่การปรับเปลี่ยนมุมมองเพียงเล็กน้อยก็สร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมหาศาลแล้วครับ
มุมมองของคนเรามีองค์ประกอบ 2 อย่างได้แก่
1) บริบทแวดล้อม
ซึ่งหมายถึงความรู้สึกที่เรามีต่อสิ่งต่างๆในภาพรวม ไม่ใช่แค่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเท่านั้น
2) กรอบแนวคิด
ซึ่งหมายถึงมุมมองที่คนแต่ละคนมีต่อโลกใบนี้ มันเป็นสิ่งที่คนเราใช้ตีความเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
สิ่งที่เราควบคุมได้มีดังต่อไปนี้
- อารมณ์ความรู้สึกของเรา
- วิจารณญาณของเรา
- ความคิดสร้างสรรค์ของเรา
- ทัศนคติของเรามองของเรา
- ความปรารถนาของเรา
- การตัดสินใจของเรา
- พลังใจของเรา
แล้วอะไรบ้างล่ะที่เราควบคุมไม่ได้?
ก็คงเป็นอย่างอื่นที่นอกเหนือจากนี้ไปล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็น สภาพอากาศ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม อารมณ์ ความรู้สึกและวิจารณญาณของคนอื่น กระแสนิยมต่างๆ หรือหายนะที่เกิดขึ้น
ถ้าสิ่งที่เราควบคุมได้เปรียบเสมือนการได้แข่งขันกีฬาในบ้านตัวเอง สิ่งที่เราก็คงไม่ได้ก็คงเปรียบเหมือนกฎกติกาและเงื่อนไขในการแข่งขันที่จะคงเดิมเสมอไม่ว่าจะไปแข่งที่ไหน นักกีฬาชั้นนำล้วนต้องปฏิบัติตามกฎเหล่านี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และไม่เสียเวลาโต้เถียงหรือคัดค้าน(เพราะคงไม่มีประโยชน์อะไร)
การโต้เถียง พร่ำบ่น หรือที่แย่กว่านั้นคือการยอมแพ้ ล้วนเกิดจากการตัดสินใจของเรา และบางครั้งมันก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรต่อเป้าหมายของเราเลย
เมื่อเป็นเรื่องของมุมมอง การแยกแยะสิ่งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ออกจากกันถือเป็นสิ่งสำคัญ มันเป็นคุณสมบัติที่แบ่งแยกคนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ออกจากคนที่ทำไม่ได้ไม่เสร็จจะควบคุมตัวเองให้เลิกยาเสพติด
ปีศาจที่ร้ายกาจที่สุดที่เราต้องจัดการก็คือ สิ่งที่ทำให้เราหลงคิดไปว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ตัวอย่างเช่น การที่นักลงทุนตัดสินใจไม่ลงทุนกับบริษัทของคุณคือสิ่งที่คุณควบคุมไม่ได้ แต่การพัฒนาและปรับปรุงบริษัทของคุณให้ดีขึ้นเป็นสิ่งที่คุณควบคุมได้
จงเลือกที่จะให้ความสำคัญเฉพาะสิ่งที่เราควบคุมได้ เพราะมันทำให้เรามีอำนาจมากขึ้น
การทุ่มเทให้กับสิ่งที่ไม่อาจควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงได้ถือเป็นการเสียเวลาเปล่าประโยชน์
และมีแต่จะส่งผลเสียต่อตัวเอง ดังที่คนมากมายเคยทำผิดพลาดมาแล้ว
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกยกเว้นมนุษย์ล้วนมองสิ่งรอบตัวอย่างที่มันเป็นจริงๆ
ปัญหาหลักของมนุษย์เราจึงเป็นการที่เราพยายามหาความหมายของทุกๆสิ่ง เรามักอยากรู้ว่าทำไมสิ่งนั้นสิ่งนี้จึงเป็นเช่นนั้น เรียกได้ว่าเราให้ความสำคัญกับสาเหตุมากที่สุด แต่ ราล์ฟ วัลโด เอเมอร์สัน ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้อย่างน่าคิดว่า "เราไม่อาจเสียเวลาทั้งวันไปกับการหาสาเหตุได้" ดังนั้น อย่ามัวเสียเวลาเลยครับ
ผลลัพธ์ของปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่อย่าลืมว่าเราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน ยิ่งเราเปิดใจยอมรับเรื่องนี้ได้มากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งสามารถจัดการและประเชิญหน้ากับปัญหาได้มากขึ้นเท่านั้น
มีวิธีต่างๆมากมายที่จะช่วยให้เราอยู่กับปัจจุบัน เช่น
ออกกำลังกายอย่างหักโหม ไม่ติดต่อกับผู้คนสักพัก เดินเล่นในสวนสาธารณะ นั่งสมาธิ กิจกรรมเหล่านี้ล้วนย้ำเตือนให้คุณรู้ว่าปัจจุบันคือช่วงเวลาที่ดีแค่ไหน ลองทำกิจกรรมดังกล่าวหรือกิจกรรมอื่นดู แล้วคุณจะค้นพบวิธีที่เหมาะสมกับตัวคุณเอง
การอยู่กับปัจจุบันจะกลายเป็นเรื่องง่าย หากคุณคิดว่าอุปสรรคที่เกิดขึ้นช่วยตัดทางเลือกที่ไม่ดีทิ้งไปมากกว่าจะกำจัดทางเลือกของคุณจำไว้เสมอว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต แต่เป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น
จงให้ความสำคัญกับปัญหาที่อยู่ตรงหน้า อย่าพยายามมองหา "ความหมาย" ของมัน หรือหาคำตอบว่า "ทำไมเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้น"
มีปัญหามากมายเหลือเกินที่รอให้คุณจัดการอยู่ในตอนนี้ และมันก็สำคัญกว่าเรื่องกังวลใจที่ยังไม่เกิดขึ้นเป็นไหนๆ
เคล็ดลับในการประสบความสำเร็จจึงอยู่ที่การไม่ย่อท้อถอดใจ
หรือเสียอารมณ์ไปกับอุปสรรคที่รุมเร้า
ซึ่งมีน้อยคนนักที่จะทำได้
ถ้าคุณสามารถควบคุมอารมณ์ มองสิ่งต่างๆอย่างเป็นเหตุเป็นผลและตั้งสติได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก ที่คุณต้องทำก็แค่ปรับเปลี่ยนมุมมอง โดยคิดเสียใหม่ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่ใช่ปัญหาแต่เป็นโอกาสที่รออยู่
ปัญหาใหญ่จึงอยู่ที่ความคิดของเราเองที่ชอบฟันธงว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ควรเป็นไปอย่างไร แต่เมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เราก็จะด่วนสรุปเอาเองว่ากำลังล้มเหลว หรือการมองหาทางออกใหม่จะทำให้เสียเวลาเปล่า ทั้งที่ความจริงแล้ว ทุกสถานการณ์ต่างก็เป็นโอกาสที่เราจะได้ลงมือทำอะไรบางอย่างเสมอ
หรือแม้แต่คู่ปรับที่คอยสร้างปัญหาหน้าปวดหัวให้กับคุณยังไม่หยุดหย่อน
คุณก็สามารถเปลี่ยนมุมมองต่อเขาได้ โดยคู่ปรับของคุณ...
- ทำให้คุณตื่นตัวอยู่เสมอ
- กระตุ้นให้คุณพยายามมากขึ้น
- กระตุ้นให้พิสูจน์ว่าพวกเขาคิดผิด
- กระตุ้นให้คุณแข็งแกร่งขึ้น
- ทำให้คุณรู้คุณค่าของเพื่อนแท้
- สอนบทเรียนอันมีค่าให้คุณ ในรูปของตัวอย่างของคนที่คุณไม่อยากเป็น
นักจิตวิทยาได้ทำการศึกษานักกีฬาชั้นแนวหน้าที่ได้รับบาดเจ็บขั้นรุนแรง นักกีฬาทุกคนบอกเหมือนกันว่าในช่วงแรกๆ พวกเขาจะรู้สึกอ้างว้างอารมณ์แปรปรวนและขาดความมั่นใจในทักษะของตัวเอง
แต่ในช่วงหลังๆ นักกีฬาเหล่านั้นกลับบอกว่าพวกเขาเริ่มอยากช่วยเหลือผู้อื่น ได้รับมุมมองใหม่ๆ และตระหนักว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตัวเองคืออะไร
พูดง่ายๆ ก็คือ ความหวาดกลัวและความเคลือบแคลงที่พวกเขารู้สึกในตอนแรก กลับแปรเปลี่ยนเป็นทักษะอันแข็งแกร่งในการต่อสู้กับความรู้สึกด้านลบ
นักจิตวิทยาเรียกการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ว่า "
การเติบโตจากความยากลำบาก" หรือ "การเติบโตหลังเผชิญวิกฤติ"
คำกล่าวที่ว่า "
สิ่งที่ฆ่าเราไม่ได้ ย่อมทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น"ไม่ใช่เป็นเพียงคำกล่าวที่ใช้กันจนเกร่อ แต่มันคือสัจธรรมแห่งชีวิตเลยทีเดียว
การดิ้นรนเพื่อเอาชนะอุปสรรค ผลักดันให้เราพัฒนาตัวเองไปอีกขั้น และยิ่งปัญหาที่เราพบเจอหนักหนาสาหัสมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งเติบโตและพัฒนาตัวเองมากขึ้นเท่านั้น
อุปสรรคจึงถือเป็นข้อได้เปรียบ ส่วนศัตรูตัวฉกาจที่คอยปิดหูปิดตาไม่ให้เรามองเห็นและเข้าใจข้อเท็จจริงนี้ก็คือ "มุมมองของเรา" นั่นเอง
"
การลงมือทำ" ต้องเป็นการกระทำที่มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ถ้าจะให้ดี
การลงมือทำควรประกอบไปด้วยความมุ่งมั่นและความยืดหยุ่น
หากมีครบทั้งสองปัจจัยนี้ คุณก็จะเข้าใกล้เป้าหมายได้มากขึ้น แต่ข้อระวังก็คือ การลงมือแก้ไขปัญหาต้องใช้ความกล้าหาญและวิธีการสร้างสรรค์ ไม่ใช่ความหุนหันพลันแล่นและความรุนแรง
ไม่สำคัญเลยว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน หรือเคยผ่านอะไรมา
สิ่งที่สำคัญคือคุณจัดการกับสิ่งที่คุณมีอยู่อย่างไร
ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จ คุณก็ต้องใช้สิ่งที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด
คนเราเปลี่ยนเรื่องแย่ให้กลายเป็นโอกาสทองได้เสมอ โดยเฉพาะคนที่เจอกับปัญหาเรื่องที่แย่กว่าปัญหาธรรมดาทั่วไป อย่าง ความพิการทางร่างกาย การถูกเหยียดเชื้อชาติ จะเห็นได้ว่าคนเหล่านี้ไม่ยอมแพ้ ไม่มัวเสียใจกับโชคชะตาของตัวเอง และไม่หวังลมๆแล้งๆว่าจะมีวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายดายรออยู่ พวกเขาพุ่งไปยังสิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียว นั่นคือการทำให้ตัวเองกระตือรือร้นและคิดหาทางออกอย่างสร้างสรรค์
แทนที่จะเสียเวลาไปกับการก่นด่า พวกเขาจึงเลือกที่จะจัดการกับปัญหาและใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว
คนเราสามารถรับมือกับปัญหาได้ด้วยการลงมือทำ
การวิ่งหนีหรือหลบซ่อนไม่ใช่ทางออก เพราะเราต่างก็มีเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จ เรามีอุปสรรคที่จะต้องกระโจนเข้าใส่และจัดการมัน
ไม่มีใครช่วยคุณได้หรอกครับ หากยังต้องการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ คุณก็มีแค่ทางเลือกเดียว นั่นคือต้องออกไปเผชิญหน้ากับปัญหาและลงมือแก้ไขอย่างถูกวิธี
เราสามารถรับมือกับอุปสรรคตรงหน้าได้ด้วยเครื่องมือดังต่อไปนี้(และต้องใช้แต่เครื่องมือเหล่านี้เท่านั้น)
- พลังที่มีอยู่ในตัว
- ความมุ่งมั่น
- วิธีแก้ปัญหาที่ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดี
- ความอดทน
- การอยู่กับปัจจุบัน
- วิสัยทัศน์อันเฉียบแหลม
- ความรู้ความสามารถและไหวพริบ
- สายตาอันดับคมที่มองเห็นโอกาสอันเป็นประโยชน์
บางครั้งชีวิตก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราต้องการ หลายครั้งเรารู้ดีว่าปัญหาคืออะไร และบางครั้งเราก็รู้ด้วยซ้ำว่าต้องจัดการกับมันอย่างไร แต่เรากลับไม่ทำเพราะกลัวว่ามันจะเสี่ยงเกินไป เพราะมองว่าตัวเองด้อยประสบการณ์ และกลัวว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไปอย่างที่หวังเอาไว้ หรืออาจเป็นเพราะค่าใช้จ่ายนั้นสูงเกินไป หรือเราคิดว่ายังเร็วเกินไปที่จะทำเพราะอาจมีตัวเลือกที่ดีกว่าโผล่มาในภายหลัง
แล้วผลลัพธ์ที่ได้คืออะไร?
ความว่างเปล่าไงครับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เพราะเราไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย
เมื่อใดก็ตามที่คุณเริ่มลงมือต่อสู้กับอุปสรรคตรงหน้า การยอมแพ้กลางคันย่อมไม่ใช่ทางออก อย่าปล่อยให้ความคิดดังกล่าวผุดขึ้นมาในหัวถ้าหนทางที่เราใช้อยู่นั้นไม่ได้ผล แน่นอนว่าเราสามารถละทิ้งมันเพื่อไปหาหนทางอื่นที่ดีกว่าได้ เพราะการทำเช่นนี้ไม่ใช่การยอมแพ้ แต่หากวันใดคุณนึกภาพตัวเองล้มเลิกทุกสิ่งทุกอย่างกลางคันแล้วก็เตรียมตัวแพ้ได้เลยครับ ทุกอย่างจบสิ้นแล้วสำหรับคุณ
ลองนำคำแนะนำเหล่านี้ไปใช้ดูครับ
- อย่าแตกตื่นลนลาน
- อย่ากังวล
- อย่าหมดหวัง
- อย่าล้มเลิกกลางคัน
ความล้มเหลวมีประโยชน์มาก หากคุณกำลังพยายามปรับปรุงเรียนรู้และทำสิ่งใหม่ๆ มันก็จะเป็นคุณสมบัติที่นำไปสู่ความสำเร็จ จึงไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยหากเราทำผิดพลาดเพื่อทดลองทดสอบแนวทางใหม่ๆ เพราะแต่ละครั้งที่เกิดความผิดพลาดขึ้นเราจะเจอทางออกใหม่ๆอยู่เสมอ และนั่นคือการเปลี่ยนวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส
เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้น เราต้องถามตัวเองว่า ฉันทำอะไรผิดพลาดไป พอจะแก้ไขตรงไหนได้บ้าง มีสิ่งไหนที่ฉันมองข้ามไป การถามคำถามเหล่านี้จะนำมาซึ่งทางเลือกใหม่ๆในการจัดการกับปัญหา และมักจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าที่เราเคยมีในตอนแรกเสมอ
จะเห็นได้ว่าการจนมุมจนต้องคิดหาหนทางออกใหม่ๆนี่เองที่เป็นต้นกำเนิดของการค้นพบอันยิ่งใหญ่ทั้งหลาย
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเรื่องราวความสำเร็จอันยิ่งใหญ่มักเต็มไปด้วยอุปสรรคและความล้มเหลว ตัวเอกในเรื่องราวเหล่านั้นต่างเลือกที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง พวกเขาไม่อายที่จะยอมรับว่าตัวเองล้มเหลว แถมยังใช้มันเป็นแรงผลักดันในการก้าวต่อไปข้างหน้าอีกต่างหาก
ผู้ประกอบการที่ยิ่งใหญ่จะต้องเป็นคนที่
- ไม่ยึดกับตำแหน่งและความสำเร็จ
- ไม่หวาดกลัวกับการสูญเสียเงินลงทุนง่ายๆ
- ไม่เจ็บปวดหรืออับอายกับความล้มเหลว
- ไม่ห่างหายจากสนามแข่งขันนานเกินไป
คนเหล่านี้อาจเสียหลักหลายครั้งก็จริง แต่พวกเขาก็ไม่เคยล้ม
น่าแปลกที่แม้เราจะรู้ดีว่าความล้มเหลวเป็นบทเรียนล้ำค่ามากมาย และบางครั้งเราก็ได้เห็นข้อดีของมันด้วยตาตัวเอง แต่เรากลับไม่ยอมให้มันเข้าใกล้ เรายอมแลกทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงความล้มเหลวเพราะรู้สึกอับอายและขายหน้า สุดท้ายเราก็ล้มลงเอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย
แต่ผมบอกไว้เลยว่าความล้มเหลวที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราวและสามารถคาดการณ์ได้นั้นเจ็บปวดมากกว่าความล้มเหลวที่สร้างความเสียหายได้อย่างถาวรและคาดการณ์ไม่ได้
การได้รับบทเรียนจากความล้มเหลวนั้นไม่ต่างอะไรกับการเข้าเรียนในโรงเรียนชั้นนำ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว ในกรณีนี้ ค่าใช้จ่ายที่ว่าก็คือความคับข้องใจ ความรู้สึกสูญเสีย การต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
แต่นั่นก็ถือว่าคุ้มค่าครับ เพราะเราไม่มีครูคนใดจะให้บทเรียนที่เป็นประโยชน์แก่อาชีพการงานหรือการลงทุนของคุณมากกว่านี้อีกแล้ว
ความล้มเหลวจะกลายเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์หรือเป็นเรื่องเลวร้ายจริงๆ ก็ต่อเมื่อคุณไม่คิดจะเรียนรู้อะไรจากมัน และยังคงใช้วิธีเดิมแก้ปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก จริงอยู่ที่คนเราทำความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆอยู่ตลอดเวลา แต่หากไม่หัดเรียนรู้ ไม่รู้จักแก้ไข และมองไม่เห็นว่าปัญหาอยู่ตรงไหน ความล้มเหลวนั้นก็จะสูญเปล่าและไม่ช่วยให้เราได้พัฒนาตัวเองแม้แต่น้อย
ถึงเวลาที่เราต้องทำความเข้าใจได้แล้วว่าโลกใบนี้กำลังบอกใบ้อะไรบางอย่างผ่านความล้มเหลวของเรา มันกำลังให้คำแนะนำที่ชัดเจนในการพัฒนาตัวเอง และปลุกให้เราตื่นจากภวังค์แห่งความไม่รู้ ลองเปิดใจรับฟังดูสิครับ
บทเรียนจะสร้างความเจ็บปวดก็ต่อเมื่อคุณไม่ยอมเปิดใจรับฟังมัน ดังนั้น อย่าทำแบบนั้นเป็นอันขาด
การมองเห็นและเข้าใจสิ่งรอบตัวอย่างถูกต้องเปรียบเสมือนฟันเฟืองสำหรับสำคัญในการเอาชนะอุปสรรค มันทำให้เรื่องร้ายกลายเป็นเรื่องดี และเปลี่ยนความผิดหวังให้กลายเป็นโอกาสทอง ความล้มเหลวจะชี้เส้นทางที่ถูกต้องด้วยการบอกเราว่าเส้นทางไหนไม่ควรย่างกรายเข้าไป
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของเกมการแข่งขันและการดำเนินชีวิต
การทำตามขั้นตอนจะช่วยนำทางให้เรา
มันจะบอกกับเราว่า เอาล่ะคุณจะต้องทำเรื่องที่ยากมากเรื่องหนึ่ง แต่อย่าไปใส่ใจเลยว่ามันง่ายหรือยาก จงจดจ่ออยู่กับการแยกปัญหาออกเป็นส่วนๆ และลงมือทำสิ่งที่ต้องการทำเดี๋ยวนี้ด้วยความตั้งใจ เมื่อทำเสร็จแล้วก็เริ่มลงมือทำขั้นตอนถัดไป ไม่ใช่มัวแต่คิดว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
การคว้าแชมป์อย่างต่อเนื่องเปรียบเสมือนการเดินอยู่บนเส้นทางสายหนึ่ง เส้นทางนั้นจะดีหรือร้ายก็ขึ้นอยู่กับจังหวะในการก้าวเดินแต่ละครั้ง เมื่อก้าวแรกผ่านไปด้วยดี เราก็ค่อยเดินก้าวต่อไป และทำแบบเดิมซ้ำซ้ำไปเรื่อยๆ
การทำตามขั้นตอนคือการทำสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันกีฬาจนจบเกมการวิเคราะห์เกมการแข่งขันที่ผ่านมาการทำแต้มการฝึกฝนร่างกายตามแผนการฝึกการลงแข่งขันการขัดขวางไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามทำคะแนนได้หรือการทำภารกิจตรงหน้าให้เสร็จสิ้นไปได้ด้วยดีทีละส่วนไม่ว่ามันจะเป็นส่วนที่เล็กน้อยเพียงใดก็ตาม
ไม่ว่าคุณกำลังจะพยายามบรรลุจุดสูงสุดในอาชีพ หรือแค่พยายามทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จ อย่าเพิ่งไปนึกถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา แต่จงคิดหาหนทางคลี่คลายปัญหาที่อยู่ตรงหน้าให้ได้ก่อน จงต่อสู้กับปัญหาเป็นอย่างๆ ค่อยๆรับมือกับมันไปทีละส่วน
การทำตามขั้นตอนจึงเป็นการจัดระเบียบให้กับตัวเราเอง
ซึ่งช่วยให้เราลงมือทำสิ่งต่างๆได้อย่างเป็นระบบ
การอยู่ในสภาพที่ดิ้นไม่หลุดเป็นเพียงสถานการณ์หนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่โชคชะตาที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราสามารถหลุดพ้นจากสภาพนี้ได้ด้วยการระบุปัญหาและลงมือแก้ไขไปทีละส่วน ไม่ใช่การพยายามแก้ปัญหาให้ได้คราวเดียวด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี ซึ่งจะทำให้คุณล้มเหลวไม่เป็นท่า
แน่นอนว่าคนเราย่อมต้องมีเป้าหมายเพื่อให้ทุกสิ่งที่ทำมีความหมาย และเมื่อเรารู้ว่าเป้าหมายของตัวเองคืออะไร อุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างทางก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กที่รับมือได้ง่ายขึ้น แต่หากเราไม่มีเป้าหมาย ปัญหาบางอย่างก็ดูเหมือนหายนะที่ใหญ่โตเกินรับมือ
จงเป็นเหมือนเครื่องจักรที่จัดการอุปสรรคด้วยวิธีที่มีอยู่อย่างค่อยเป็นค่อยไป จงก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว และแทนที่จะรู้สึกหวาดกลัวกับปัญหา ให้ลงมือแก้ไขมันอย่างเป็นขั้นเป็นตอน จงพึ่งพาและเข้าใจในวิธีนี้
ความหมายที่แท้จริงของชีวิตคืออะไร?
ก็แค่ทำสิ่งที่ถูกต้อง ไม่เห็นแก่ตัว ทุ่มเท และมีความคิดสร้างสรรค์ นี่คือหนทางหนึ่งที่ช่วยให้เราค้นพบความหมายของชีวิตและช่วยพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส
ทั้งหมดที่เราต้องทำก็แค่ยึดมั่นในหลักการทั้งข้อ ได้แก่ ทุ่มเทเต็มที่ มีความซื่อสัตย์ และช่วยเหลือผู้อื่นอย่างสุดความสามารถ ไม่มากหรือน้อยไปกว่านี้
เมื่อเจอปัญหา คุณต้องมีความหลากหลายวิธีที่จะรับมือกับมัน อย่านำเทคนิคที่ได้เรียนรู้มาใช้แบบทื่อๆ แต่จงรู้จักพลิกแพลงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ จงยึดคำกล่าวที่ว่า "วิธีการใดก็ได้ขอแค่ให้ได้ผล" เป็นคติประจำใจของคุณ
เราเสียเวลามากมายไปกับการคิดทบทวนว่าควรจะจัดการกับปัญหาต่างๆได้อย่างไร เราพยายามที่จะทำให้ผลลัพธ์ออกมาสมบูรณ์แบบ เราเฝ้าบอกตัวเองว่าจะลงมือทำทันทีเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างลงตัว หรือเมื่อเรามั่นใจเต็มร้อย แต่จะดีกว่าไหมหากเราจัดการกับปัญหาตรงหน้าทันทีด้วยสิ่งที่เรามีอยู่ในตอนนั้น
เราต้องหัดคิดให้เหมือนคนที่เน้นการลงมือทำ นั่นคือ มีความทะเยอทะยาน แข็งกร้าว และยึดมั่นในอุดมการณ์ของตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันก็เชื่อในสิ่งที่ทำได้จริงและลงมือทำโดยยึดหลักความเป็นไปได้
เราต้องเข้าใจว่าคนเราไม่อาจได้ในทุกสิ่งที่ต้องการ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ภายในชั่วพริบตา แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ควรละทิ้งความพยายามที่จะลงมือทำเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนา อย่าคิดอะไรตื้นๆ แต่จงแยกแยะให้ออกระหว่างสิ่งสำคัญกับสิ่งที่เป็นเพียงผลพลอยได้
จงตั้งเป้าไปที่ความก้าวหน้า ไม่ใช่ความถูกต้องสมบูรณ์แบบ ด้วยแนวคิดเช่นนี้อุปสรรคจะหายไปในที่สุด มันไม่มีทางที่จะต้านทานคุณได้ เพราะคุณได้เพิกเฉยต่อมัน และทำให้มันไม่มีความสำคัญอีกต่อไป
เหตุผลอย่างที่ทักษะบางอย่างดูเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในทักษะนั้นๆ ไม่ใช่เพียงเพราะพวกเขาฝึกมาอย่างดีแล้วเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะพวกเขาใช้ขั้นตอนน้อยกว่าคนทั่วไปด้วย กล่าวคือบรรดาผู้เชี่ยวชาญจะทุ่มเทพละกำลังให้เฉพาะกับสิ่งที่ได้ผล แทนที่จะเสียแรงไปกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์
ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องยอมรับว่าอุปสรรคบางประการก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจเอาชนะได้ ไม่ว่าคุณจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม และแทนที่จะหาทางเอาชนะมัน คุณก็ควรหาวิธีใช้พลังอำนาจของมันเพื่อช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมาย
คุณต้องพร้อมที่จะเปิดใจยอมรับว่า บางทีการไม่ทำอะไรเลยก็เป็นทางออกที่ดีที่สุดอีกทางหนึ่งเช่นกัน บางครั้งเราก็จำเป็นต้องอดทนและรอให้ปัญหาที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราวหายไปเอง จงลดความทะนงตน อย่าหุนหันพลันแล่น และกระโดดเข้าไปต่อสู้ในทันที บางครั้งการแก้ปัญหาก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยการลงแรงเสมอไป
คนเราถูกครอบงำด้วยความคิดที่ว่า ต้องมุ่งไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว จนลืมไปว่าจริงๆแล้วยังมีหนทางอื่นอีกมากมายที่จะนำเราไปสู่จุดหมายปลายทางได้ เราไม่คุ้นชินกับแนวคิดที่ว่าการนิ่งเฉย(หรือแม้กระทั่งการยอมถอยหลัง) อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่นำไปสู่ความก้าวหน้า ดังนั้นจึงเตือนตัวเองว่า อย่าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วหัดนิ่งเฉยๆบ้าง
การนิ่งเฉยและยอมรับความจริง เป็นกลยุทธ์การรับมือกับอุปสรรคที่ต้องอาศัยวินัยการควบคุมตัวเอง ความกล้าหาญ ความมุ่งมั่นและการมีจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่ หากคุณสำรวจสิ่งเลวร้ายอย่างทะลุปรุโปร่งมากพอ คุณจะค้นพบด้านดีๆของมัน สิ่งที่ดีทุกอย่างย่อมมีสิ่งเลวร้ายแฝงอยู่ และสิ่งเลวร้ายทุกอย่างย่อมมีสิ่งดีๆซ่อนอยู่เช่นกัน สิ่งที่คุณต้องทำก็คือมองหาให้นานพอที่จะค้นพบมัน
เราทุกคนต้องกล้าเสี่ยงและรู้จักยอมรับความพ่ายแพ้ เราต้องเตรียมใจยอมรับว่า ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เราทำทั้งหมดอาจไม่ประสบความสำเร็จ
ทุกคนที่มีเป้าหมายและพยายามทำตามความฝันต่างต้องเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าเราจะวางแผนรอบคอบสักเพียงใด ไม่ว่าจะทุ่มเทเวลาคิดทบทวนสักแค่ไหน ไม่ว่าจะพยายามและอดทนรอสักเท่าไร เราก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าสิ่งที่เราทำอาจไม่ประสบความสำเร็จ
เมื่อเรายอมรับข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ โลกใบนี้อาจทำให้เรารู้สึกทุกข์ทรมานน้อยลง
เราทุกคนล้วนมีคุณสมบัติที่จะเป็นคนที่พยายามทำทุกอย่างให้สุดความสามารถด้วยพละกำลังที่มีอยู่ และพร้อมที่จะยอมรับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้ในทันทีแล้วก้าวต่อไป
พลังใจคืออะไร?
พลังใจคืออำนาจภายในตัวเรา ที่ปัจจัยภายนอกไม่สามารถเข้ามาบั่นทอนได้ มันคือไพ่ตายใบสุดท้ายของเรา
หากการลงมือทำคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเรายังพอสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
พลังใจก็จะเป็นสิ่งที่เราต้องพึ่งพาในยามที่สถานการณ์อยู่เหนือการควบคุม เมื่อเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดๆและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ สิ่งที่เราพอทำได้ก็คือการเปลี่ยนมันให้เป็นบทเรียน สิ่งเตือนใจ และโอกาสในการช่วยเหลือผู้อื่น
นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าพลังใจ
แต่มันต้องอาศัยการฝึกฝนเพื่อสร้างขึ้นมา เราต้องรู้จักเตรียมพร้อมรับมือกับความทุกข์ยากและความสับสนวุ่นวาย เราต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับความจริงและหัดสร้างความสุขให้กับตัวเองแม้ในยามที่ชีวิตมืดมน
หลายคนเข้าใจผิดว่าพลังใจหมายถึงความตั้งใจที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จหรือไขว่คว้าในสิ่งที่ต้องการให้ได้ แต่ความจริงแล้วพลังใจเป็นเรื่องของการยอมจำนนมากกว่าการเอาชนะ พลังใจที่แท้จริงนั้นต้องอาศัยความสงบนิ่งได้ยืดหยุ่น
พลังใจคือความเข้มแข็ง และเป็นปรัชญาชีวิต มันไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการรับมือกับอุปสรรคเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตด้วย
พลังใจจะมอบความเข้มแข็งให้กับเรา เช่น ความเข้มแข็งที่จะอดทน ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ และค้นหาความหมายของอุปสรรคที่ไม่สามารถเอาชนะได้
ด้วยเหตุนี้พลังใจจึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากในการรับมือกับอุปสรรค มันทำให้เราสามารถคิด ลงมือทำ และปรับตัวให้เข้ากับโลกใบนี้ที่หาความแน่นอนใดๆไม่ได้
พลังใจเป็นสิ่งที่เราทำให้เราพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอน ทั้งยังปกป้องเราและช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
การสร้างพลังใจนั้นถือเป็นขั้นตอนที่ทำได้ยากที่สุดเมื่อเทียบกับขั้นตอนอื่นๆ แต่มันจะช่วยให้เรายืนหยัดได้อย่างมั่นคงขณะที่คนอื่นอ่อนแรงและยอมรับความพ่ายแพ้
เราจะมั่นใจ สุขุม และพร้อมทำสิ่งที่ต้องทำไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม เราจะมุ่งมั่นและพร้อมก้าวต่อไปแม้ในยามที่มืดแปดด้าน หรือแม้แต่ในยามที่ฝันร้ายกลายเป็นจริง
การควบคุมมุมมองและอารมณ์ของตัวเองนั้นทำได้ง่ายกว่าการยอมแพ้และละทิ้งความปรารถนาที่จะควบคุมทุกอย่างให้เป็นดั่งใจเรา ส่วนการพยายามต่อไปก็ง่ายกว่าการอดทนต่อความอึดอัดใจและความเจ็บปวดมากนัก เช่นเดียวกับการคิดและลงมือทำซึ่งง่ายกว่าการฝึกฝนสติปัญญา
.
เราทุกคนล้วนสามารถ...
- เตรียมพร้อมสำหรับช่วงเวลาที่ยากลำบาก
- ยอมรับว่ามีหลายสิ่งที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
- จัดการและควบคุมความคาดหวังของตัวเอง
- มีความมุ่งมั่นเรียนรู้ที่จะยอมรับโชคชะตาและสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา
- ปกป้องตัวตนของเราและรักษาบาดแผลในจิตใจ
- ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม
- เตือนตัวเองให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง
- และเตรียมพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมแพ้และยอมรับในข้อด้อยที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด คนบางกลุ่มจึงกำหนดชะตาชีวิตตัวเองและการออกกำลังกายและทำกิจกรรมดีๆ พวกเขาเตรียมความพร้อมให้ตัวเองก่อนจะออกไปเผชิญกับอุปสรรค
ถ้าถามว่าคนเหล่านี้เคยแอบหวังไหมว่าตัวเองจะไม่ต้องเผชิญกับอุปสรรคนั้น
แน่นอนอยู่แล้วครับ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังเลือกที่จะฝึกฝนและเตรียมพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์
ไม่มีใครเกิดมาพร้อมกับชุดเกราะเหล็กหรอกนะครับ เราต้องหลอมและตีมันขึ้นมาเอง
- คุณคิดว่าตัวเองใช้ชีวิตตามลำพังได้หรือไม่?
- คุณเข้มแข็งพอที่จะล้มแล้วลุกขึ้นมาต่อสู้อีกสักรอบหรือเปล่า?
- คุณพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาหรือไม่?
- ความไม่แน่นอนทำให้คุณรู้สึกแย่หรือเปล่า?
- คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อต้องเจอกับแรงกดดัน?
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นกับคุณในไม่ช้า ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่หรือเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่มันจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
และเมื่อมันเกิดขึ้น คุณก็ต้องหาทางรับมือ คุณคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์เลือกว่าจะทำอย่างไรต่อไป
หากเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลยก็จงเตรียมตัวใจรับผลลัพธ์ที่จะตามมา
การเตรียมความพร้อมคือการสร้างป้อมปราการให้กับตัวเอง ถึงแม้มันจะไม่ได้ทำให้คุณไร้เทียมทาน แต่มันก็ช่วยให้คุณพร้อมรับมือเวลาที่โชคชะตาพลิกผัน
จงเตรียมพร้อมรับมือกับอุปสรรคอยู่เสมอ และทำให้มันสอดคล้องกับแผนการของเรา
อย่างที่มีคนเคยกล่าวว่า "
จงปรับตัวให้ได้ ไม่ว่าจะเจอกับความพ่ายแพ้หรือชนะ" และหากจะพูดตามตรง เรื่องเลวร้ายที่เราคาดการณ์ไว้แล้ว ย่อมดีกว่าเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดแน่นอน
คุณต้องพยายามฝึกฝนในสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักทำไม่สำเร็จ นั่นคือ "การรับมือกับความผิดหวัง"
การคาดการณ์ถึงสิ่งเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นจะไม่ส่งผลเสียต่อเรา
มีแต่จะทำให้เราไม่หวาดกลัวต่อปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
เพราะเราได้เตรียมพร้อมรับมือกับมันไว้แล้ว ในขณะที่คนอื่นไม่เตรียมพร้อมอะไรเลย
หากมองในแง่นี้ อุปสรรคก็คือโอกาสที่เราจะได้แซงหน้าคนอื่นในการแข่งขัน เราเปรียบเหมือนนักวิ่งที่ยอมฝึกวิ่งขึ้นเขาเพื่อที่จะเอาชนะนักวิ่งคนอื่นที่คิดว่าเส้นทางในการแข่งขันจะเป็นทางราบ
หากเปรียบชีวิตเป็นดั่งเกม มันย่อมเหมือนเกมทอยลูกเต๋าที่เราต้องยอมรับผลที่ออกมา
หรืออย่างที่เหล่านักกอล์ฟมักจะพูดว่า "ลูกตกที่ไหนก็ต้องเล่นที่นั่น"
คุณมีภาระหน้าที่มากมายที่ต้องจัดการในชีวิต
แค่ยอมรับและปรับตัวตามสิ่งที่เกิดขึ้นก็เพียงพอแล้ว
จงทำตัวเหมือนน้ําที่ไหลไปตามกระแส เพราะอย่างไรเสียมันย่อมพาคุณไปถึงปลายน้ำแน่นอน
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ...
1) คุณเข้มแข็งและสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้
2) คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขสถานการณ์ใดๆก็ได้
และ 3) คุณได้พิจารณาภาพรวมและผลกระทบในระยะยาวแล้วว่าสิ่งที่ต้องยอมรับแทบไม่ส่งผลเสียใดๆต่อเป้าหมายของคุณเลย
บางครั้งคนเราก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และนั่นไม่ถือเป็นความล้มเหลวแต่อย่างใด
ดังที่ฟรานซิส เบคอน เคยกล่าวไว้ว่า "
หากเราต้องการเรียนรู้วิธีควบคุมธรรมชาติ ก็จงหัดเชื่อฟังและยอมรับมันเสียก่อน"
เมื่อเราสามารถเลิกคาดหวัง ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น และเข้าใจว่าบางสิ่งโดยเฉพาะสิ่งที่เลวร้ายนั้นอยู่เหนือการควบคุมแล้ว ขั้นตอนถัดไปจะเป็นการฝึกตัวเองให้รักในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและเผชิญหน้ากับมันอย่างมีความสุข
หากความมุ่งมั่นคือการแก้ปัญหาด้วยความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าจนสำเร็จ
ก็หมายความว่ามีคนจำนวนมากที่มีความมุ่งมั่น แต่ความอุตสาหะนั้นยิ่งใหญ่กว่าและเป็นบททดสอบที่ยาวนานกว่ามากนัก หากคุณเป็นนักมวย บททดสอบความอุตสาหะของคุณจะไม่อยู่แค่ไนยกแรกที่ขึ้นชก แต่มันกินเวลาต่อเนื่องไปจนถึงชอบที่ 2 ยกที่ 3 และยกต่อๆไป อีกทั้งยังยืดเยื้อไปจนถึงการต่อสู้ครั้งถัดๆไปด้วย
คนเราไม่ได้เจออุปสรรคแค่ครั้งเดียวในชีวิต แต่ต้องเจอมันนับครั้งไม่ถ้วน
สิ่งที่เราต้องการจึงไม่ใช่แค่การมองอะไรสั้นๆอย่างการแก้ปัญหาเพียงจุดเดียว
แต่เป็นความมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจด้วยวิธีการและเส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง
และไม่ปล่อยให้อุปสรรคใดมาขัดขวางเราได้
เราจะต้องก้าวผ่านอุปสรรคและปัญหาจำนวนมากมายจนกว่าจะถึงปลายทาง ความมุ่งมั่นมักสะท้อนออกมาในรูปของการลงมือทำ แต่ความอุตสาหะนั้นเป็นเรื่องของพลังใจ ถ้าจะเปรียบเทียบ ความมุ่งมั่นก็เปรียบเสมือนพละกำลัง ส่วนความอุตสาหะคือความอึด
"เมื่อเรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง พลังที่คุณไม่คิดว่าตัวเองมีก็จะปรากฏให้เห็น" ข้อดีของความอุตสาหะก็คือ ไม่มีอะไรสามารถหยุดมันได้นอกจากความตาย
เราสามารถเดินอ้อมปัญหาหรือถอยหลังกลับได้ อย่าลืมว่าความพ่ายแพ้ไม่สามารถขัดขวางความก้าวหน้าของเราได้อย่างสิ้นเชิง เพราะต่อให้เราล้มลุกคลุกคลานแค่ไหน เราก็ยังสามารถลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างหน้าต่อได้อยู่ดี
- จบ -
ยังมีรายละเอียดอีกเยอะนะครับ ถ้าชอบก็ลองหาอ่านดู
ร้านหนังสือซีเอ็ด นายอินทร์ น่าจะยังมีขาย