หุ้นจบรอบ
พอดีมีสมาชิกสอบถามมาว่า "หุ้นจบรอบดูยังไง?"
ด้วยความที่เห็นว่ามันมีรายละเอียดเยอะมาก ผมเลยขอแปะโป้งไว้ก่อน
เดี๋ยวจะเขียนบทความตอบทีหลัง
ก็ตอนนี้แหละครับ เริ่มเขียนแล้ว
รายละเอียดคำตอบที่ผมจะเฉลยคือ...
เราจะรู้ก็เมื่อ "มันจบรอบไปแล้ว" นั่นเองครับ
ง่ายไปมั้ยครับ?
ผมไม่กล้าตอบในตอนนั้น เพราะกลัวท่านจะหาว่าผม "กวนxx" ท่าน
แต่ผมตั้งใจว่าจะตอบแบบนี้จริงๆ
ก็ต้องขออภัยที่ผมก้าวร้าว แต่ผมตอบเป็นอื่นไปไม่ได้ ถ้ามันจบก็คือจบ แต่ถ้ายังมีแรงอยู่มันก็เด้งกลับ
ไม่ได้รวนนะครับ ผมเจอกับตัวเลย เห็นหลุดแนวรับชัดเจน ขายออก วันพรุ่งพี่เค้าดีดกลับเฉย
ก็ต้องปล่อยเลยตามเลยล่ะครับ ถือว่าเราทำบุญร่วมกันมาได้เท่านี้
ดังนั้นสิ่งที่ผมได้เป็นบทเรียนก็คือ อย่าไปจริงจังอะไรมาก
ถ้าเราเห็นว่ามันจบ ก็คือจบ ทำตามแผนของตัวเอง
อย่าได้ริอ่านไปต่อราคาเด็ดขาด ประเภทรอดูอีกนิดน่า
พออีกวัน SET แดงเถือก หุ้นที่ "ต่อราคา" ก็ "ลดราคา" ให้ซะกำไรหด หรือไม่ก็ขาดทุนไปเลยก็มี
เคสแบบนี้ก็เจอบ่อย
คือครั้งที่แล้วเราขายหมูไง เลยเก็บกด
พอได้อีกตัว ไม่กล้าขายเพราะกลัวหมู
ที่ไหนได้ พอเค้าหลุด ก็ panic แรงเลย ซวยไปสิ
นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า "อะไรก็เกิดขึ้นได้ในตลาดหุ้น"
เมื่อเราไม่สามารถเดาอนาคตได้ ควบคุมการเคลื่อนไหวของราคาได้
ทำไมไม่โฟกัสไปที่การควบคุมการทำตามแผนของตัวเองล่ะ?
สิ่งนี้คือเรื่องเดียวที่เรามีอำนาจสูงสุด
ใครทำได้ทำได้แบบนี้ ชีวิตดี๊ดี สบายใจสุดครับ
หุ้นจบรอบ ดูยังไง?
แล้วผมมีวิธีดูว่าหุ้นตัวนั้นจบรอบยังไง?
ขอไล่เรียงจากแนวทางง่ายไปยากนะครับ
๑) ถ้ามันทำให้ผมขาดทุน
แน่นอนครับ ว่าผมซื้อหุ้นเพราะอยากให้มันกำไร ก่อนซื้อก็ดูแล้วว่ามันเป็นจังหวะที่มีโอกาสไปต่อหรือเด้งสูง ไม่ว่าจะเป็นการ buying strength หรือ buying weakness ก็ตามที
แต่ถ้าซื้อไปแล้ว ราคาดันไม่ดีดขึ้นไป แต่วิ่งสวนทางทำให้ผมขาดทุน
ผมถือว่ามันแสดงความอ่อนแอให้เห็นแล้ว จำเป็นต้องขาย
สาเหตุที่อยู่เบื้องหลังของการขายแบบจำเป็นเพราะว่า
- ถ้าซื้อตอน breakout แล้วราคายืนไม่อยู่ ก็มีโอกาส false breakout เสี่ยงโดนเทสูง
- ถ้าซื้อที่แนวรับ แล้วดันไม่เด้ง ร่วงลงไปหลุดแนวรับ ก็ชัดว่าลงต่อ
แบบนี้จะทนถือทำไม?
๒) ถ้ามันเปลี่ยนพฤติกรรม
ดูยังไงว่ามันเปลี่ยนพฤติกรรม?
ผมใช้เส้นค่าเฉลี่ยเป็นตัวช่วยครับ
ดูเคส SUPER กันครับ
- ช่วงที่มันเริ่มขึ้นนั้น ราคาเกาะ EMA10 แล้วเด้งขึ้นได้ตลอด ราคายกไฮยกโลว์ แท่งราคาก็ค่อนข้างสม่ำเสมอ ช่วงนี้คือพฤติกรรมปกติของมันครับ
- แต่มีวันหนึ่ง ราคาร่วงแรงแดงยาว แท่งเดียวกลืนกินแท่งเขียวก่อนหน้านั้นได้ในแท่งเดียว ราคาหลุดเส้นค่าเฉลี่ยที่มันเคยเคารพมาหลายเดือน วอลุ่มก็สูงปร๊ด แบบนี้พฤติกรรมเปลี่ยนแล้วครับ
KCM พฤติกรรมเปลี่ยนตั้งแต่ราคาหลุด EMA10 แล้วครับ เพราะก่อนหน้านี้ร่วมๆ ๔ เดือน ราคาวิ่งเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 10 วันมาได้อย่างต่อเนื่อง แล้วจู่ๆเกิด big black แท่งแดงยาวหลุด EMA10 ก็ชัดเจนว่าเกมเปลี่ยนไปแล้ว
จากนั้นแม้จะไปเด้งที่ EMA50 ก็ขึ้นไปอย่างกังวลและอ่อนแรง
ในที่สุดก็ยืนไม่ไหว ดิ่งนรก จบรอบ
แต่ไอเดียนี้ก็ไม่สมบูรณ์แบบนะครับ
เคส SGP ถ้าเรายึดการหลุด EMA10 ด้วยแท่งแดงยาวเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรม แล้วตัดสินว่ามันจบรอบเลยก็ถือว่าขายหมูทั้งเล้า เพราะหุ้นตัวนี้มันเด้งที่ EMA50 รับอยู่ สร้างฐานแล้วดีดขึ้นไปทำนิวไฮ
จากนั้นก็โดนขายให้หลุดอีกเป็นครั้งที่สอง และ EMA50 ก็ยังมีนัยยะรับไว้ได้อีก
แต่ทว่า คราวนี้การดีดขึ้นไม่มีแรงเหมือนเดิมแล้ว มันซึมออกข้างไปพักใหญ่
แล้วก็เปิด breakaway gap ลงไปครับ
จบรอบเลย ใครที่ยังงึกๆงักๆ ไม่กล้าขาย ก็ต้องคืนกำไรให้กับตลาดไป
ดังนั้นจึงต้องมีวิธีแก้ ดูข้อถัดไปครับ
๓) ถ้ามันยืนยันขาลง
"หุ้นจบรอบ" ในการตีความของผมก็คือ มัน "ยืนยันขาลง" อย่างชัดเจน
อาการยืนยันขาลงมันเป็นยังไง?
ต้องอ้างอิงจาก "กระบวนท่าขายสลายอีโก้" จากหนังสือ "หุ้นขาขึ้นรอบใหญ่" แล้วล่ะครับ
คืองี้ครับ ต้องออกตัวก่อนว่าเราไม่รู้อนาคต ว่ามันจะไปยังไง จบรอบจริงหรือเปล่า ดังนั้นเราจึงต้อง action ตามสิ่งที่เราเห็นก่อนเป็นดีที่สุด โดยสังเกตการ "การเปลี่ยนพฤติกรรม"
ถ้ามันแสดงอาการแบบนี้ให้เห็น ควรเริ่มขายได้แล้ว
ผมชอบประโยคที่ทวดเจสซี ลิเวอร์มอร์ บอกไว้ว่า “คุณไม่มีทางขายได้ที่จุดสูงสุดหรอก เพราะว่าเวลาหุ้นขึ้นแรงๆ คุณจะยังไม่อยากขาย เนื่องจากมันยังแสดงออกว่าแข็งแกร่ง
แต่เมื่อหุ้นเริ่มไปไม่ไหว และร่วงลงมานั่นแหละ ก็ได้แสดงออกว่ามันไม่แข็งแกร่งเหมือนเดิมแล้ว คุณค่อยรู้สึกว่าควรขาย
วิธีนี้, คุณจะต้องยอมกำไรลดลงบ้าง เพื่อดูว่าหุ้นได้เปลี่ยนพฤติกรรมไปแล้ว แต่กระนั้น, คุณก็ขายในราคาที่ต่ำกว่าจุดสูงสุดไม่มากนัก ซึ่งมันจะช่วยให้คุณไม่ต้องขายเร็ว เกินไปได้ค่อนข้างมาก”
แล้ว “การเปลี่ยนพฤติกรรม” นั้น, มันเป็นอย่างไร?
เล่มนี้เราเน้นหุ้นขาขึ้นกันนะครับ, ดังนั้นการเปลี่ยนนิสัยของมันก็คือมันไม่ยอมขึ้นต่อ และยังกลับตัวเป็นขาลงในที่สุด ซึ่งเราสามารถใช้แนวทางต่อไปนี้เป็นตัวช่วยครับ
1) หลุด trendline หรือเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น(ถ้าราคาวิ่งแรงเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 10 วันที่เฉียงชันติดต่อกันหลายสัปดาห์-ลากเทรนด์ไลน์ยาก ก็ให้ใช้ EMA10) สื่อว่า ขาขึ้นที่รุนแรงเริ่มหมดกำลัง เข้าสู่ช่วง sideway เพื่อเลือกทาง
2) หลุด neckline กับ ยืนยันการกลับตัว สื่อว่าหลุดกรอบ sideway อาจไปสู่ขาลง
3) หลุดเส้นค่าเฉลี่ยที่เป็น magic line (ผมใช้ EMA50) สื่อว่า มีโอกาสวิ่งไปสู่ขาลงสูง ต้องรีบหนีให้ไว
4) หลุด trailing stop มันจบแล้วครับ เก็บกำไรมาอยูกับตัวเถอะ
นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าราคาหุ้นมันจบรอบ แบบที่ผมใช้ครับ
แนวทางการขายคือแบ่งทีละ 25% ขายสี่ครั้งก็หมดหุ้นพอดี
มาดูตัวอย่างกัน
MALEE มี magic line คือ EMA50 ซึ่งเป็นเส้นมาตรฐานของหุ้นเติบโตส่วนใหญ่
(1) ถ้าเราลาก trendline สีขาว ก็จะได้ขายออกไม้แรกตรงที่ราคาหลุดเส้นขาวนั้น เพราะมันส่อว่า มีโอกาสจบรอบ เนื่องจากราคาหลุด trendline ที่ต้องขายก็อยากให้ท่านนึกถึงตอนหน้างานไว้ครับ เวลานั้นท่านไม่รู้ว่ากราฟทางขวามือจะเป็นยังไง เมื่อเห็นทรแบบนี้ท่านก็ต้องกลัวไว้ก่อน จึงต้องขายออกส่วนหนึ่งเพื่อเก็บกำไรไว้
แต่ต่อมา ราคาไปเด้งที่เส้น EMA50 ไม่หลุด ก็ถือว่า ไม่มีสัญญาณขายไม้ที่สองท่านก็ถือต่อไป
ปล. ช่วงที่ราคาร่วง SET Panic ก็ไม่นับนะครับ เพราะมันไม่เกี่ยวกับธุรกิจอะไร
(2) กับ (3) เป็นช่วงที่ราคาหลุด neck line ของรูปแบบราคา double top ลงไป
พร้อมกันนั้นก็ยืนยันการกลับตัวไปในเวลาเดียวกัน ก็ขายออกอีกสองไม้
(4) ในช่วงเดียวกัน ราคาก็หลุดเส้นค่าเฉลี่ย EMA50 ก็ปล่อยออกที่เหลือ
ท่านจะสังเกตได้ว่าจากนั้น ราคาลงแรง แม้จะมีดีด ก็ขึ้นได้ไม่แรงนัก เจอขาย ทำ Lower low และ Higher low ต่ำลงไปเรื่อยๆ แบบนี้คือลักษณะของขาลง
ถ้าเราขายออกตามหลักการนี้ ก็ถือว่าได้ปล่อยของในราคาดีที่สุด
อีกตัว
หุ้น M ครับ
หุ้นตัวนี้วิ่งแรงมาก เส้น trend line ชันสุดๆ
(1) เมื่อราคาหลุด trendline ก็ส่งสัญญาณว่า พฤติกรรมเริ่มเปลี่ยน ท่านก็ปล่อยไปก่อนไม้แรก
(2), (3), (4) จากนั้นมันก็แกว่งในโซนบนทำเป็นรูปแบบ triple top ท่านก็ลาก neckline รอไว้เลย เมื่อเห็นราคาหลุด neckline กับ EMA50 ก็ยืนยันว่า "ยืนไม่อยู่" แน่แล้ว ก็ขายที่เหลือออก
จากนั้นท่านก็เห็นตรงกันว่า ราคาเป๋ไปเลย ไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้อีก
BANPU นี่ผมใช้สูตรของเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นแบบที่นำเสนอในหนังสือ "หุ้นขาขึ้นรอบใหญ่" คือใช้เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นเป็นเหมือน trendline
(1) ที่ใช้เส้น EMA10 เพราะเห็นว่ามันวิ่งแรงมาก ส่วนใหญ่แล้วนะ ถ้าท่านสังเกตดีๆ หุ้นที่วิ่งแรงๆ ราคาวิ่งห่างเหนือ EMA10 ที่เฉียงชันเป็นเดือน ถ้าโดนขายหลุดเส้นค่าเฉลี่ยนี้ มันมีโอกาสเปลี่ยนพฤติกรรมสูงมาก ดังนั้นการตัดขายก่อน ถือเป็นเรื่องที่สมควรทำ
(2), (3), (4) ด้วยความที่ราคาวิ่งไปแกว่งในโซนบนด้วยคาบการแกว่งที่กว้างมาก แบบนี้มีแนวโน้มที่จะเป็น distribution หรือแจกจ่ายสูงมากครับ เมื่อเห็นหลุด neck line และ EMA50 ก็ขายส่วนที่เหลือ
AEONTS สำหรับมุมมองของผมแล้ว ถ้าเห็นราคาหลุด EMA10 ที่มันเคยเหินเหนือเส้นนี้เป็นเวลาเดือนกว่า ก็แสดงออกว่าอ่อนแอแล้วครับ ต้องปล่อย
จากนั้นเมื่อเห็นหลุด EMA50 ก็ถือว่าจบรอบ
(ตัวนี้เห็นชัดว่าเส้น EMA10 กับ EMA50 เป็นแนวรับที่สำคัญ ก็เลยใช้ดูเทรนด์ได้)
ไหนๆก็ให้ดูแบบที่ตรงสูตรแล้ว ขอเสริมตัวที่ไม่เป๊ะไปเลย ท่านจะได้เห็นอะไรรอบด้าน
WHA ผมได้ระบุ ท่าจบ ไปถึงสามครั้งด้วยกัน
ครั้งแรก มันหลุดทุกสูตรเลย แต่ฆ่าไม่ตาย ฟื้นตัวไว นี่คือความผิดพลาดของสูตรนี้
เพราะจากนั้นมันดีดขึ้นไปทำนิวไฮ
แต่จากนั้นมันก็ร่วงแรง ทำท่าจบ ที่ยืนยันเหมือนกันว่าใช่
อย่างไรก็ตาม, พอร่วงไปสักพักก็ดีดกลับขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่สามารถนิวไฮได้
ไม่เป๊ะ-มีจุดบกพร่อง
นี่แหละครับคือปัญหาที่ผมไม่อยากปกปิดท่าน มันก็ไม่เป๊ะหรอกว่าหลุดทั้งสี่จุดแล้วมันจบรอบไปเลย 100% ต้องพูดกันแบบเปิดอก แมนๆ แฟร์ๆ
ไม่ได้กั๊ก ก็บอกเท่าที่รู้นี่แหละครับ
ดังนั้นอย่าเชื่อผมมาก ผมไม่ได้เทพอะไรหรอก
คือถ้าท่านอยากได้วิธีดูแบบที่แม่นเป๊ะ อินดิเคเตอร์เทพสูตรสำเร็จ 1-2-3 แล้วจบชัวร์ ไม่มีทางเป็นอื่น
หากท่านอยากได้แนวทางอย่างที่ว่านี้ ผมต้องสารภาพว่า "ไม่มี"
ผมรู้แค่ว่าถ้าราคามันออกมาในทรงนี้ "มีโอกาสจบรอบสูง" เท่านั้นเองครับ
ตอนนี้ผมเลยยึดหลักอย่างเดียวว่า ผมเน้นกำไร + เสียหายน้อยไว้ก่อน คือเล่นแบบประคองตัว
ถ้าถือแล้วไม่สบายใจ ผมขายออกก่อน เพราะยังไงก็กำไร แม้ว่าขายไปแล้วมันจะดีดกลับไปทำนิวไฮ ผมก็ไม่เสียใจมาก เพราะอย่างน้อยเราก็ทำตามแผนที่ตัวเองวางไว้แล้ว
ผมว่าแนวทางนี้ happy นะ คือเราไม่เค้นที่จะเอากำไรแบบไม่ให้เล็ดรอดไปเลยแม้แต่บาทเดียว ซื้อก็ต้องได้ที่จุดต่ำสุด ขายก็ต้องได้ที่จุดสูงสุด ต้องชนะทุกครั้ง แบบนี้เครียดเกินไป ผมทำไม่ได้แน่
และผมก็คิดว่ามันไม่มีอยู่จริงด้วย
ก็มีไอเดียนำเสนอท่านเท่านี้ครับ ถ้าท่านคิดว่าเวิร์ค ก็รับไป
แต่ถ้าคิดว่าไม่ไหว น่าจะมีแนวทางที่ดีกว่านี้ ก็ขอให้หาความรู้เพิ่ม มีคนเก่งกว่าผมเพียบเลยครับในโลกออนไลน์ แอดมินเพจเก่งๆมีเป็นร้อย ท่านเข้าไปสอบถามพวกเขาได้ครับ
ต่อราคา
อีกปัญหาหนึ่งที่ผมเจอบ่อยก็คือ
ความลังเล และอยากต่อราคา
คือหุ้นมันหลุด trendline หรือเส้นค่าเฉลี่่ยระยะสั้นไปแล้ว ก็ยังไม่อยากขาย
จะขอรอดูอีกสักนิด ว่าแนวรับจะเอาอยู่มั้ย
พอราคาลงมาเจอแนวรับ ก็เห็นสิว่า gap จากยอดกับระดับแนวรับนั้นมันห่างกันมาก
เกิดความเสียดาย ไม่อยากขาย ...ลังเล
เปลี่ยนใจรอให้มันเด้งกลับไปไกล้ๆไฮแล้วค่อยขาย
แต่จากนั้นราคาไม่ยอมหยุดลง มันร่วงแรง
จากที่กำไรก้อนพอสมควรก็ต้องตกใจขายออกไปในระดับที่กำไรกะปริดกะปรอย
หรือบางทีก็ไปปล่อยเอาตอนที่ขาดทุนจนถึง limit loss
ทั้งที่ความจริงถ้าขายตามหลักนี้ ก็จะได้กำไรเป็นเนื้อเป็นหนังแท้ๆ
ดังนั้นปัจจัยในการขายหุ้นก็มีส่วนประกอบอยู่ ๒ ส่วน คือ
- เทคนิคอล ระบุจุดขายได้ ก็ยังไม่พอ
- ถ้าหากใจไม่นิ่ง ไม่ยอมทำตามระบบที่วางไว้ พอร์ตก็พังได้ง่ายๆเหมือนกัน
มันจึงเป็นความท้าทายว่าเราต้องทำการบ้าน ฝึก และเจอของจริง เพื่อปรับตัวให้เจอจังหวะที่เหมาะกับตัวเรา เวลาลงมือทำจะได้ไม่เกิดความขัดแย้งในใจตนเอง จนทำให้ไม่กล้าตัดสินใจ ลงเอยด้วยความเสียหายในแบบที่ต้องพูดว่า "รู้งี้" ทีหลัง
ก็หวังว่าบทความนี้จะสามารถตอบคำถามท่านได้บ้างนะครับ
(แนะนำเพิ่มเติม ของฟรี)
หากต้องการศึกษาวิธีเล่นหุ้น แนะนำให้ไปอ่านบทความฟรี คลิปฟรีที่นี่ก่อนก็ได้