When Not To Trade
https://www.investopedia.com/articles/trading/10/when-not-to-trade.asp
การรู้จักการละเทศะ ว่าตอนไหนควรเทรด ตอนไหนควรอยู่เฉยๆ คือหนึ่งคุณสมบัติที่เซียนหุ้นเขาบอกว่าสำคัญเป็นอันดับต้นๆเลย และมันเป็นสิ่งที่นักเทรดมือใหม่ทำไม่ได้ เพราะว่าพวกเขามีสายตาเอ็กซ์เรย์ เห็นโอกาสที่น่าทำเงินตลอดเวลา มันจึงเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการ overtrade ในที่สุด
นักเทรดส่วนใหญ่อุทิศเวลาเกือบทั้งหมดของเขาเพื่อค้นหาแนวทางการเทรดหรือระบบเทรดในฝัน แต่บางทีมันอาจจะไม่มีค่าเลยถ้าเขาไม่รู้จักว่าเวลาไหนควร/ไม่ควรเทรด เพราะในบางสภาวะตลาด-แม้ระบบจะดีแค่ไหนก็สามารถล้มเหลวได้ การรู้จักเทรดให้น้อยครั้งจึงเวิร์คสำหรับทุกสภาพแวดล้อมกว่า ดังนั้นการเก็บเงินสดมาอยู่กับตัวในช่วงเวลาที่เรามองเห็นว่าโอกาสได้กำไรต่ำเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการรักษาผลตอบแทนที่ดีเอาไว้ เพราะถ้าหากคุณยังคงเทรดต่อแม้สภาวะตลาดไม่อำนวย คุณก็มีโอกาสแพ้ และมีโอกาสเอากำไรที่เคยได้มา คืนให้ตลาดจนหมด
ทำไมการ "ไม่เทรด" จึงเป็นเรื่องสำคัญ
นักเทรดที่มีประสบการณ์รู้ว่าเมื่อใดควร "นั่งทับมือตัวเอง" พวกเขาตระหนักว่าการเทรดในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมกับรูปแบบการซื้อขายของพวกเขานั้นนอกจากจะไม่ได้ประโยชน์แล้วมันยังมีโอกาสกัดกินกำไรหรือสร้างการขาดทุนจำนวนมากกับพอร์ตของเขาได้
นักเทรดรายใหม่มักจะมีความกระตือรือร้นในการซื้อขายเป็นอย่างมาก แต่ยิ่งเทรดมากก็ยิ่งขาดทุนมากตาม แทนที่เขาจะถอยออกมานอกตลาดแล้วยืนดูอยู่ห่างๆ พวกเขากลับพยายามเข้าไปตะลุมบอนเพื่อให้ตัวเองต้องขาดทุนแบบไม่สมควร
ไม่มีใครห้ามให้คุณเทรดได้หรอกเพราะมันเป็นอาชีพของคุณ แต่มันจะกลายเป็นปัญหาก็ต่อเมื่อนักเทรดเริ่มขาดทุน จึงต้องพยายามหาหุ้นเล่นมากขึ้น เพื่อชดเชยกับการขาดทุนในครั้งก่อนหน้านั้น และบ่อยครั้งที่การเข้าเทรดหุ้นตัวเหล่านั้นมันจะอยู่นอกแผนการเทรดและมีความละเอียดในการคัดกรองต่ำ ผลที่เขาได้รับก็คือนอกจากจะไม่ได้กำไรแล้ว กลับต้องขาดทุนซ้ำเติมเพิ่มไปอีกแบบไม่จำเป็น
รู้จักระบบการเทรดของคุณ
ในแต่ละระบบเทรดมักจะถูกออกแบบมาให้ทำงานได้ดีในสภาพตลาดที่แตกต่างกันไป บางระบบอาจจะทำกำไรสูงสุดตอนที่ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่บางระบบอาจทำกำไรได้ดีในช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มชัดเจน ส่วนอีกระบบก็อาจจะใช้ได้ดีสำหรับแนวโน้มระยะยาว
ดังนั้นคุณต้องเข้าใจระบบของตัวเอง รู้ถึงข้อจำกัดของมัน ว่ามันไม่สามารถทำกำไรได้ดีในทุกสภาพตลาดหรอก
เมื่อคุณเข้าเทรดด้วยระบบที่ไม่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดสำหรับมัน ก็จะเจอสัญญาณหลอกให้คุณหลงเข้าไปซื้อขาย และในที่สุดคุณก็จำเป็นต้องตัดขาดทุนอยู่ดีเพราะอะไรๆก็ไม่เป็นใจ
นักเทรดจำเป็นต้องมีทักษะในการอ่านสถานการณ์ตลาดในแต่ละช่วง เพื่อที่จะวิเคราะห์ว่ามันเอื้ออำนวยต่อระบบของตัวเองให้มีความน่าจะเป็นว่าเทรดชนะหรือไม่
ถ้าคิดว่าสภาพแวดล้อมนั้นคุณเข้าไปซื้อขายแล้วความน่าจะเป็นในการชนะสูงก็เข้าเทรด แต่ถ้ามันยังไม่เหมาะคุณก็สามารถหลีกเลี่ยงมันได้ เพราะการอยู่เฉยๆในสภาพตลาดที่คุณไม่แน่ใจ อย่างน้อยก็สามารถรักษาเงินทุนของคุณเอาไว้ได้ เมื่อเทียบกับการเข้าไปเล่นโดยที่รู้ทั้งรู้ว่าโอกาสชนะมีน้อยเหลือเกิน คุณก็มีสิทธิ์ที่จะเสียเวลาเปล่าและที่สำคัญก็คือขาดทุนแบบที่ไม่สมควรทำ
Making Money By Trading Less – 10 Situations When Not To Trade
https://www.tradeciety.com/when-not-to-trade/
เมื่อคุณเริ่มต้นอาชีพนักเทรด คุณเชื่อว่าหน้าที่ของคุณก็คือคุณต้องซื้อขายทุกวัน ดังนั้นหน้าที่ของคุณก็คือการทำการบ้าน สแกนหาหุ้นที่น่าเล่นเตรียมเอาไว้ แล้วรอสัญญาณซื้อเพื่อที่จะเข้าซื้อทำกำไร เมื่อเห็นหุ้นที่ทำทรงดีกว่าเดิมคนก็ขายหุ้นตัวเก่า เปลี่ยนมาเข้าตัวใหม่ ทำกำไรเก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆเดี๋ยวอีกไม่นานคุณก็จะเป็นคนมั่งคั่งเหมือนกับไอดอลของคุณ
นี่คือจินตนาการของนักเทรดหน้าใหม่ผู้ยังไม่ประสีประสา และความเชื่อแบบนี้แหละที่ทำให้เทรดเดอร์จำนวนมากล้มเหลวเพราะการ overtrade แทนที่จะได้กำไรกลับต้องเสียเงินให้กับตลาดไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งพวกเขารู้สึกตัวว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมดนั้นมันไม่เวิร์คนั่นแหละ(คือยิ่งเทรดยิ่งขาดทุน) จึงสำนึกขึ้นได้ว่า บางครั้งการเทรดให้น้อยลง เอาเฉพาะที่ใช่จริงๆจึงเทรด กลับเป็นผลดีมากกว่าการเข้าซื้อขายทุกวันด้วยซ้ำไป
นี่คือ ๑๐ สิ่งแวดล้อมของตลาดที่คุณไม่ควรเทรด
๑) คุณเกิดความลังเล คิดมากก่อนเทรด
นักเทรดมือใหม่หลังจากที่เขาได้เรียนรู้วิธีการเทรดมาจากตำราหรือการเข้าสัมมนา พวกเขามักจะร้อนวิชาเห็นทุกการเคลื่อนไหวของราคาเป็นโอกาสไปเสียหมด จึงเกิดความฮึกเหิมและจินตนาการไปไกลว่าถ้าเขาสามารถจำ Pattern ราคาได้หมดก็จะทำเงินได้มากและรวยเร็วในเวลาไม่ช้า
แต่เขาไม่รู้เลยว่าความต่างระหว่าง แพทเทิร์นที่มีความน่าจะเป็นที่จะชนะสูง กับรูปแบบที่ไม่น่าจะเทรดมันเป็นยังไง ด้วยความที่พวกเขาเร่งรีบอยากรวยเร็วจึงมองข้ามความละเอียดในการทำการบ้านและคัดกรองไปอย่างสิ้นเชิงผลที่เกิดจากความเรียบร้อนอยากรวยเร็วจึงลงโทษพวกเขาให้ขาดทุนสะสมต่อเนื่องและต้องออกจากตลาดภายในเวลาไม่กี่ปี
แต่ถ้าเขารู้ตัวก่อนเขาควรที่จะหยุดพักการเทรดชั่วคราวนั่งบันทึกวิเคราะห์ผลงานและกระบวนการของตัวเองให้ดี เพื่อที่จะสร้างระบบและกลยุทธ์การคัดกรองที่มีศักยภาพ เพื่อที่จะเลือกเข้าเทรดในจังหวะที่มีความน่าจะเป็นที่จะชนะสูงเท่านั้น พอได้กำไรแล้วก็ทนรวยจนราคาถึงเป้า หรือจบแนวโน้มค่อยขาย แค่นี้ก็ทำกำไรให้เขาได้มากมาย สูงกว่าการที่จะต้องเข้าไปตะลุมบอนแย่งเศษกำไรทุกๆเช้าที่เปิดตลาด แถมต้องนั่งเฝ้าจออยู่ตลอดเพื่อที่จะหาโอกาสเข้าเล่นครั้งใหม่ให้เครียดและทำลายสุขภาพจิตไปแบบไม่สมควร
๒) เมื่อคุณไม่รู้ว่า stop loss อยู่ตรงไหน
แม้ว่าคุณจะเห็นจุดเข้าทำที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณสามารถกระโจนเข้าไปซื้อได้เลย โดยเฉพาะถ้าหากคุณไม่สามารถหาระดับราคาเหมาะสมสำหรับการ stop loss ของคุณได้ เพราะถ้ามันห่างเกินไปก็จะทำให้ reward : risk น้อยเกินไปไม่คุ้มต่อการเสียเวลาเทรด
นักเทรดมือสมัครเล่นส่วนใหญ่มักจะไม่ให้ความสนใจกับจุด stop loss เพราะเขามองเพียงแต่ว่า หุ้นตัวนั้นมันมีศักยภาพมากพอในการวิ่งขึ้น จึงทำให้หลอกตัวเองว่ามันไม่มีเหตุผลที่จะวิ่งสวนทางให้เขาขาดทุนได้ ในเมื่อไม่ให้ความสำคัญกับการระบุจุด stop loss ที่เหมาะสม หากราคาวิ่งสวนทางเขาไปในทันทีมันก็จะทำให้เขาต้องขาดทุนเป็นจำนวนมาก แทนที่จะได้กำไร
ดังนั้นถ้าหากคุณไม่สามารถระบุจุด stop loss ได้ หรือมองว่าระดับหยุดขาดทุนมันลึกเกินไปก็ไม่ควรเทรด
๓) เมื่อสภาพตลาดไม่สนับสนุนระบบของคุณ
นี่คือเหตุผลที่คน 99% ต้องขาดทุน เพราะว่าพวกเขาไม่ได้ตระหนักรู้ในเรื่องนี้เลย
ก่อนเข้าเทรดคุณต้องถามตัวเองว่า
- สภาพตลาดแบบนี้ ระบบเทรดของเราจะสามารถทำกำไรได้หรือไม่?
- เราได้มีระบบเทรดที่ซื้อขายตามแนวโน้ม และอาศัยการเคลื่อนไหวที่มีโมเมนตัมชัดเจนใช่หรือไม่?
- เราเทรดในกรอบ โดยที่ไม่ต้องอาศัยโมเมนตัมใช่หรือไม่?
- หรือคุณจะเทรดในตอนที่แนวโน้มกำลังอ่อนแรง และเริ่มสูญเสียโมเมนตัมแล้วใช่หรือไม่?
หากคุณสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้คุณจะรู้สภาพแวดล้อมของตลาดที่เหมาะสมกับระบบการเทรดของคุณ ดังนั้นถ้าหากสภาพแวดล้อมของตลาดในปัจจุบันไม่สนับสนุนให้ระบบของคุณทำงานได้ดี คุณก็ควรที่จะอยู่เฉยๆ
๔) เมื่อคุณต้องการที่จะเพิ่มเงินเดิมพัน
คุณผึ้งตัดขายขาดทุนไป และกำลังเห็นการเคลื่อนไหวแพทเทิร์นใหม่ที่คิดว่าน่าจะทำเงินได้ใช่หรือไม่?
และคุณก็มีความคิดที่จะใช้เงินซื้อตัวนั้นด้วยจำนวนที่มากกว่าเดิม เพื่อที่จะให้มันชดเชยกับการขาดทุนครั้งล่าสุดใช่หรือไม่?
ถ้าคุณพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ให้ถอนมือออกจากเมาส์ ลุกออกจากเก้าอี้ ละสายตาออกจากหน้าจอ และเดินออกไปสูดอากาศข้างนอกเสีย
แม้ว่าคุณจะคิดว่าหุ้นตัวใหม่มันมีส่งที่ดูดีมากแต่โปรดจงระมัดระวังเพราะว่าความคิดของคุณในตอนนั้นมันมีอคติที่ปรารถนาอยากจะแก้แค้นปกคลุมการตัดสินใจของคุณอยู่ให้อารมณ์เข้ามาเป็นใหญ่ การพยายามทำเงินคืนจากการขาดทุนโดยการเพิ่มวงเงินให้มากกว่าเดิม บอกเลยว่ามักจะไม่ได้ผลและนำซ้ำคุณยังมีแนวโน้มที่จะขาดทุนมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
๕) เมื่อคุณคิดว่าตลาดลงมากเกินไป หรือขึ้นสูงมากเกินไปแล้ว
คุณเคยคิดแบบนี้บ้างหรือไม่? ถ้าเริ่มคิดก็ขอให้รู้ตัวเองว่าตอนนั้นไม่สมควรเทรด เพราะว่าสิ่งที่คุณรับรู้มันเป็นเพียงการวิเคราะห์ย้อนหลังเท่านั้น แนวโน้มของตลาดมันมีแรงเฉื่อยเสมอ อะไรที่มันต่ำแล้วอาจจะต่ำได้อีก เช่นเดียวกันกับอะไรที่สูงแล้วมันก็ยังมีโอกาสสูงได้อีกเช่นกัน
โดยเฉพาะนักเทรดที่ใช้ oscillator เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจซื้อขายตามเงื่อนไข overbought หรือ oversold ก็น่าจะเจอปัญหาจุดบกพร่องของมันเป็นอย่างดี เพราะบ่อยครั้งแล้วที่สัญญาณมันบ่งบอกว่า overbought แล้วมันก็ยังมี super overbought ขณะเดียวกันตอนที่ oversold ก็ยังจะมี super oversold ได้อีกเช่นกัน
๖) เมื่อราคาวิ่งห่างจากจุดเข้าซื้อที่ดีไปไกลแล้ว
มีบ่อยครั้งที่เราตกรถไม่ทันเข้าซื้อหุ้นที่วิ่งสวยๆ โดยเฉพาะเป็นหุ้นคุณภาพดีที่คุณก็ชอบมันด้วย สิ่งที่คุณทำก็คือพยายามที่จะไล่ซื้อตามทั้งๆที่ราคามันวิ่งห่างจากจุดเข้าซื้อที่ดีไปไกลแล้ว
การไล่ซื้อแบบนี้มันทำให้จุดเข้าซื้อกับจุด stop loss มันอยู่ห่างมากเกินไปแบบที่ไม่สมเหตุสมผล และที่สำคัญคือการที่หุ้นตัวนั้นๆมันวิ่งแรงทำแท่งเขียวยาว ก็เป็นโอกาสดีที่คนทุนต่ำเริ่มทำการขายทำกำไรออกมาอย่างไม่คิดมาก ซึ่งจะส่งผลให้หุ้นตัวนั้นกลับตัวแรง ยิ่งคุณซื้อในจุดที่ได้ต้นทุนสูงด้วยแล้ว โอกาสที่จะกำไรมันน้อยกว่าการขาดทุนอย่างชัดเจนเลยนะ
ถ้าคุณซื้อไม่ทันก็ไม่เป็นไร อย่าเผลอไผลไปไล่ซื้อตาม เพราะมันยังมีโอกาสให้คุณได้เข้าซื้อใหม่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการพักตัวในขาขึ้น หรือแม้กระทั่งโอกาสจากตัวใหม่ที่คุณทำการบ้านมาก็ยังมีอีก การที่คุณเร่งร้อนไล่ซื้อหุ้นเพราะกลัวตกรถมันไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย โอกาสที่คุณจะขาดทุนสูงกว่าได้กำไรชัดเจนเลย
๗) เมื่อคุณไม่ได้ทำการวิเคราะห์หุ้นตัวนั้นมาก่อน หรือ เมื่อหุ้นตัวนั้นไม่ได้อยู่ในแผนการเข้าเทรดของคุณ
ทุกๆการเทรดของคุณมันควรอยู่ในแผนมาก่อนที่คุณจะลงมือด้วยซ้ำไป หากว่าหุ้นตัวนั้นมันอยู่นอกแผนอยู่นอกการบ้านของคุณ ทางที่ดีก็คืออย่าไปยุ่งกับมัน
นักเทรดผู้อ่อนประสบการณ์ส่วนมาก มักจะชอบหาหุ้นหน้างานด้วยการสแกนสัญญาณซื้อใน Time Frame ต่างๆกัน ผลก็คือเขาจะได้กำไรบ้างขาดทุนบ้างสลับกันไป ซึ่งถ้ามองผลลัพธ์โดยรวมแล้ว มันก็ไม่ได้มีประโยชน์และคุ้มค่าต่อการลงเงินและลงแรงสักเท่าไหร่นัก
ถ้าคุณยังไม่มีแผนการเทรด ไม่มีการทำการบ้านมาก่อนสำหรับหุ้นตัวใดๆก็ตาม ทางที่ดีก็อย่าไปเทรดมันเลย
๘) เมื่อคุณไม่มั่นใจเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้น ต้องถามคนอื่นเพื่อยืนยัน
การเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ คุณต้องตัดสินใจซื้อขายด้วยข้อมูลและการทำการบ้านของตัวเอง คุณต้องนับถือตัวเอง และมั่นใจในความสามารถของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง,คุณต้องกล้ารับผิดชอบต่อการขาดทุนที่เกิดจากการตัดสินใจของตัวเองด้วย
ถ้าคุณไม่สามารถยืนอยู่บนลำแข้งของตัวเองได้คุณก็ไม่สามารถที่จะเติบโตและพัฒนาให้เป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จได้
ดังนั้นถ้าคุณยังคิดเองไม่เป็นหาหุ้นเองไม่เป็น ต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นในการหาหุ้น ก็อย่าได้เทรดเลย
๙) เมื่อคุณต้องการเทรดให้ได้กำไรอีกตัวเพื่อที่ให้ทะลุเป้ารายสัปดาห์
คุณเคยมีความพยายามแบบนี้บ้างหรือไม่ ยิ่งคุณมีความกดดันตัวเองให้ต้องเทรดชนะเท่านั้น คุณก็ยิ่งมีอคติกับสิ่งที่คุณกำลังทำ และมันก็จะเป็นการใช้อารมณ์มากกว่าตรรกะที่เหมาะสม และถ้าหากราคาวิ่งสวนทาง คุณก็ไม่ยอม stop loss เพราะคุณมีความคาดหวังอย่างมากที่จะให้ราคาวิ่งทำกำไรให้คุณ เมื่อไม่ยอมตัดขาดทุนให้ไวตามระบบ มันก็มักจะลงเอยด้วยการขาดทุนที่มากยิ่งกว่าเดิม
อย่าตัดสินประสิทธิภาพของคุณในช่วงเวลาระยะสั้น เป็นรายสัปดาห์ หรือรายเดือน เนื่องจากสภาวะตลาดมันเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา และระบบของคุณก็ไม่สามารถที่จะใช้ได้ดีในทุกสภาพตลาดอยู่แล้ว ดังนั้นทำเท่าที่ได้ เอากำไรเท่าที่ระบบมันทำไหว เน้นไม่ขาดทุนไว้ก่อนดีที่สุด
๑๐) เมื่อคุณมีปัญหาส่วนตัว, การงาน หรือ สุขภาพ
การเทรดเป็นกิจกรรมที่ต้องการประสิทธิภาพในการลงมือทำระดับสูง และต้องการความเป็นมืออาชีพ คุณต้องใส่ใจกับงานที่คุณทำอย่างเต็มที่
หากคุณไม่สามารถโฟกัสกับกระบวนการได้ 100% หรือคุณมีความคิดขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงาน หรือคู่สมรสของคุณ โอกาสที่การเทรดครั้งนั้นจะขาดทุนมีสูงมาก
การเทรดที่ประสบความสำเร็จ จังหวะทำเงินไม่ได้มีแค่ครั้งเดียว ถ้าคุณยังไม่พร้อมก็อย่าเสียเวลาเทรดเลย โอกาสครั้งใหม่หาได้เรื่อยๆ ขอแค่คุณยังมีเงินทุนให้เทรดก็พอ
แถมอีกข้อ : เมื่อคุณไม่มีเหตุผลที่จะสนับสนุนให้ต้องเทรด
สิ่งที่สนับสนุนให้คุณต้องเทรดก็คือการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่คุณทำการบ้านมาอย่างดี กำลังวิ่งเข้าสู่โซนของการลงมือเทรด ในภาวะที่คุณมีอารมณ์และจิตใจที่โปร่งโล่งสบาย
แต่ถ้าคุณรู้สึกหงุดหงิดเกี่ยวกับการขาดทุนที่เพิ่งผ่านพ้นมา สภาพจิตใจของคุณไม่ได้ ก็ไม่ควรเทรด
ลองนึกภาพว่าคุณได้รับอนุญาตให้ทำการซื้อขายได้แค่เพียงหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ คุณจะหาหุ้นเพื่อทำการเทรดให้กำไรได้อย่างไร?
แนวคิดเทรด 1 ครั้งต่อสัปดาห์ มันเป็นคอนเซ็ปท์ที่ทรงพลังมากๆ ถ้าคุณทำมันได้ มันก็จะเป็นสุดยอดของการทำธุรกิจ ซึ่งมันจะเปลี่ยนโฉมประสิทธิภาพการเทรดของคุณไปเลย
เพียงแค่คิดว่าการเทรดนั้นมันก็คือการทำธุรกิจอย่างหนึ่ง ซึ่งคุณต้องอาศัยความละเอียดรอบคอบในการลงมือทำแต่ละครั้ง คุณไม่จำเป็นต้องซื้อขายทุกวันหรอก เพราะยิ่งคุณเทรดมากคุณก็ยิ่งมีความเสี่ยงมาก นักเทรดที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ถ้าหากเขามีการซื้อขายที่น้อยลง
ทำตัวเหมือนนักล่าที่เจนจัด รอให้ทุกอย่างมันเคลื่อนไหวตรงตามแผนการของคุณเท่านั้น จึงค่อยลงมือทำ ถ้ามันไม่ใช่ก็อยู่เฉยๆ เก็บแรง เก็บเงินไว้ใช้ในยามที่จำเป็นเท่านั้นพอ บางทีการรู้จักอยู่เฉยๆ มันก็ช่วยให้คุณประหยัดเงินได้ไม่น้อยเลย