"คนที่จะเป็นเศรษฐีต้องมีอะไรสักอย่างในตัวจริงๆ
แค่สายตาที่มองโลกก็ไม่เหมือนคนอื่นแล้ว"
.
หนังสือเล่มนี้เขียนถึงเรื่องราวและคำสอนของ "มหาเศรษฐีเมดิเตอเรเนียน" ผู้เป็นนักลงทุนหุ้น ซึ่งให้มุมมองทางด้านการลงทุน การใช้ชีวิตแบบเศรษฐี รวมถึงวิธีการเตรียมตัวเป็นคนรวยสำหรับหนุ่มสาวผู้มีความฝัน
มุมมองของนักลงทุนหุ้น
หุ้นน่ะไม่ได้ขึ้นว่าเล่นเก่งไม่เก่ง มันมีทั้งได้และเสีย แค่เธอต้องชัดเจนเป็นพอ
"มหาเศรษฐีฯ" ผู้เป็นนักลงทุนคนนี้ ออกไปทางวีไอสไตล์ ดร.นิเวศน์ คือชอบรอให้ตลาดลงหนักๆจากวิกฤติ เมื่อนักลงทุนหุ้นส่วนใหญ่ต่างเจ็บตัวกันระนาว ก็จะเป็นเวลาเข้ามาช้อนซื้อหุ้น โดยเน้นอันดับหนึ่งหรือสองเท่านั้น เพราะเวลา "โลกถูกพลิก" ราคาหุ้นกว่าครึ่ง ส่วนใหญ่บริษัทอันดับหนึ่งกับอันดับสองมักอยู่รอด เนื่องจากการเผชิญวิกฤติเท่ากับถูกเจียระนัยให้ยิ่งงาม เมื่อวิกฤติผ่านพ้นจึงยิ่งเปล่งประกาย เพราะบริษัทเล็กๆที่เคยแบ่งตลาดล้มตายไปหมด จึงยึดครองตลาดได้กว้างกว่าเก่า กลายเป็นกลุ่มธุรกิจแถวหน้าที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
คำว่า "
โลกถูกพลิก" หมายความว่ามันเกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกผันจากโลกสว่างเป็นโลกมืด (โลกมืดคือเศรษกิจมืด คนในโลกมืดนั้นมีเงินมากกว่าโลกสว่างเกิน 8 เท่าทีเดียว) เวลาคนโลกมืดจะหาเงินเขาจะพลิกโลกสว่างให้มืด(ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ) แล้วเข้าลงทุน ให้เงินต่อเงิน เพื่อสร้างเงิน
เวลาหุ้นตกลงครึ่งหนึ่ง มหาเศรษฐีท่านนี้จะซื้อหุ้นของธุรกิจอันดับหนึ่งหรือสอง(ตามเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น) แล้วถือรอไปอีก 2 หรือ 3 ปี เมื่อราคาหุ้นขึ้นเท่าเดิมก็ขายออก
การลงทุนระยะสั้น ต่อให้ได้กำไร 10 ครั้ง แต่หากพลาดเพียงครั้งเดียวมีสิทธิ์หมดตัว แต่การลงทุนระยะยาว ขอเพียง 2-3 ใน 10 ครั้งของการลงทุนนั้ไปได้ดี ย่อมมอบผลกำไรโต
เมกะเทรนด์
อนาคตจะเป็นสังคมผู้สูงอายุ ให้หาธุรกิจที่ได้กำไรจากการเพิ่มปริมาณประชากรประเภทนี้
โดยเอาตัวอย่างธุรกิจที่ญี่ปุ่น เพราะมีรูปแบบที่เอื้อต่อสภาพสังคมนั้นไปเรียบร้อยแล้ว
- คนอยู่ลำพังจะมีเพิ่มขึ้น จึงชอบซื้อของกินง่ายๆ เช่น บะหมี่ถ้วย ข้าวห่อสาหร่ายสำเร็จรูป กับข้าวสำเร็จรูป
- ผู้สูงอายุหันมาขี่จักรยานกันเยอะมาก จักรยานจึงขายดี
- คนอยู่ลำพังจะชอบซื้อของออนไลน์
- หญิงโสดอยู่คนเดียวมากขึ้น จึงต้องการความปลอดภัย
ความร่ำรวยเริ่มต้นที่อายุสี่สิบ
จงเตรียมตัว! โอกาสทองจะมาเยือนยามอายุ 40
เตรียมตัวตั้งแต่ช่วงอายุ 30 ปีจะดีมาก เพราะความสำเร็จในวัยนี้จะเว้าๆแหว่งๆ เพราะต้องแต่งงาน หาเลี้ยงลูกวุ่นวายกับการใช้ชีวิตชีวิตในสังคม ผลคือเราไม่อาจเพ่งสมาธิกับการงาน
เมื่อผ่าน 40 ไปได้ความสำเร็จถึงจะสมเป็นความสำเร็จ เพราะโอกาสดีมักจะมาหาเราช่วงก่อนหลังอายุ 40 ปีนี้แหละ 40-60 ปี ถือเป็นระยะเฟื่องฟูเจิดจ้า พรั่งพร้อมด้วยเงื่อนไขต่างๆที่สังคมยอมรับ
โอกาสแห่งความสำเร็จเธอต้องสร้างขึ้นเอง มัวแต่นิ่งเฉยรอให้โอกาสมาหา แบบนั้นคือนิสัยหัวขโมย อยากเป็นเศรษฐีไม่มีอะไรยากหรอก แค่เตรียมตัวให้พร้อม เมื่อเห็นโอกาสก็คว้ามันให้ได้เป็นพอ หากไม่เตรียมตัวเนิ่นๆ ย่อมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโอกาสมาถึงแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเตรียมตัวที่ว่านั้นต้องทำอะไรบ้าง
อยากรวยต้องมีสุขภาพดีและต้องโฟกัส
กว่าจะรวย ต้องใช้เวลา มีเรื่องให้ขบคิดตลอดเวลา ต้องมีพลังกายแข็งแรงพอให้รับมือไหว ถึงจะมีชีวิตแบบเศรษฐีได้
ไม่ว่าเรื่องอะไร เราทำให้ดีเกินกำลังกายตัวเองไม่ไหวหรอก คนเราหาเงินได้มากเท่าที่พลังกายตัวเองมี
โลกนี้มีตรรกะของมัน อยากมีเงินมากกว่าคนอื่นสองเท่า เราต้องพยายามเพิ่มสองเท่า อยากมีเงินมากกว่าสิบเท่า ต้องพยายามอีกสิบเท่า แต่ถ้าร่างกายอ่อนเพลียเสียก่อน เราจะไม่นึกพยายามเพราะเหนื่อยหน่ายกับทุกสิ่ง เมื่อมีงานเลยชอบผลัดวันประกันพรุ่ง หรือทำแบบขอไปที ทำแบบนี้ซ้ำซาก มันจึงไม่มีอะไรสำเร็จ สุดท้ายได้แต่แห้งเหี่ยวตายลง
คนรวยพิถีพิถันเรื่องดูแลสุขภาพเข้าขั้นเข้มงวด พวกเขาคิดว่า บนโลกนี้ไม่มีสิ่งไหนสำคัญเท่าสุขภาพอีกแล้ว แต่กระนั้น, วิธีการก็ไม่ได้เลิศเลออะไร-ก็แค่ตั้งกฎเรียบง่ายแล้วก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
กฎที่ว่านั้นก็มีอยู่แค่สองสามข้อ คือ
ควบคุมอาหาร เพื่อรักษาาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน, ตอนเช้าต้องกินผักสด, ออกกำลังกายวันละ 2 ชั่วโมง, ดื่มเหล้าแต่น้อยเอาให้บำรุงสุขภาพก็พอ
นิสัยรักษาสุขภาพคงความอ่อนเยาว์ฝังลึกในตัวของพวกเขาไปแล้ว
อยากเป็นเศรษฐี อย่ามัวอิจฉาพวกเขา เราต้องเรียนรู้วิธีใช้ชีวิตของพวกเขาด้วย
การโฟกัส
ถ้าจับฉ่ายเหมือนที่ทำตอนนี้ จะไม่มีอะไรสำเร็จสักอย่าง อย่าเสียพลังไปกับเรื่องโน้นเรื่องนี้ จงโฟกัสไปยังที่ใดที่หนึ่งหรือก็คือที่ที่มอบผลตอบแทนให้เธอ แล้วจะทำเงินได้มาก
อยากเป็นเศรษฐีต้องพัฒนาตัวเองเพื่อให้กลายเป็นคนชั้นบนของสังคม
ด้วยการเป็นผู้เชี่ยวชาญ
โลกเราแบ่งเป็น 3 ส่วน มีชั้นบน ชั้นกลาง ชั้นล่าง โดยแบ่งตามเกณฑ์ความสามารถหรือรายได้ว่าทรัพย์สมบัติมากน้อย คนที่ต้องกระเสือกกระสนที่สุดคือคนที่อยู่ตรงเส้นกั้นเขต เพราะต้องดิ้นรนเพื่อป่ายปีนสู่ด้านบน ขณะเดียวกันก็ต้องต่อสู้ไม่ให้ร่วงหล่นสู่เบื้องล่างด้วย
วิธีการคือเปลี่ยนแนวคิด แทนที่จะพยายามขายรถยนต์สักคัน จงทำตัวเองให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ที่ผู้คนต่างยอมรับ เพราะมันจะสร้างผลกำไรให้มหาศาลยิ่งกว่า
ใช่...การจะขึ้นไปอยู่ชั้นบนได้ ต้องได้รับการยอมรับจากคนอื่นๆจำนวนมากๆ คนเหล่านั้นจะช่วยผลักดันให้เราปีนป่ายสู่ชั้นบน ยิ่งพวกเขามีมาก เราก็จะยิ่งปีนสู่ชั้นบนได้เร็ว
ไม่ต้องไปเที่ยวไปหาใครๆบอกว่าตัวทำธุรกิจ #แต่จงทำให้คนเข้าหาเธอแทน ถ้าคนมาหา และถึงกับจ่ายเงินให้เธอแล้ว ก็เท่ากับเราขึ้นชั้นบนสำเร็จ