7 นิสัย ของนักเทรดมืออาชีพ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง
แปลจากหนังสือ
7 Habits of a Highly Successful Trader
โดย Mark Crisp
นิสัยที่ 1. มีความรับผิดชอบที่สมบูรณ์
นิสัยที่ 2. มีระบบที่เหมาะกับตนเอง
นิสัยที่ 3. วางแผนการเทรดและเทรดตามแผน
นิสัยที่ 4. ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อเรียนรู้วิธีการเทรดที่ถูกต้อง และไม่หยุดศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
นิสัยที่ 5. มีความเชื่อทางบวกต่อตนเอง
นิสัยที่ 6. มองการเทรดให้เป็นการทำคะแนนไม่ใช่ทำเงิน
นิสัยที่ 7. ให้การเทรดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่สมดุล
สรุป
VIDEO
นิสัยที่ 1:
มีความรับผิดชอบที่สมบูรณ์
เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จจะรู้ทุกการกระทำของตัวเอง, ทุกการตัดสินใจ, และมีเพียงเขาที่เป็นผู้รับผิดชอบต่อการกระทำนั้น
คุณจะไม่เคยพบเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จหาเรื่องตำหนิคนอื่นหรือสิ่งอื่นที่มีผลกระทบต่อของผลการเทรดของเขา - มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นแน่
คุณจะเห็นชัดก็ต่อเมื่อคุณยอมรับมัน 100%, ไม่มีคำถามที่ต้องการความรับผิดชอบในการกระทำของคุณ ไม่มีแม้แต่ "ข้อแก้ตัว" เพื่อซ่อนความผิดนั้น
เมื่ออะไรผิดพลาด, แทนที่จะมองหาคนอื่นมารับคำตำหนิ, คุณจะยอมรับความรับผิดชอบนั้น, บันทึกมันลงไปและสาบานว่าจะไม่ทำผิดซ้ำอีก
ผลที่ได้คือมันไม่เพียงแค่คุณมีความเต็มใจที่จะยอมรับความผิดพลาด, แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือคุณกำลังจะเรียนรู้และจะไม่ยอมทำความผิดพลาดเหล่านั้นซ้ำ
นี่เป็นองค์ประกอบสำคัญของเทรดเดอร์ที่เป็นผู้ชนะ
ลองคิดดูนะ ว่าตอนที่ Warren Buffet สูญเงินเป็นล้านเหรียญ จากการการลงทุน, เขาจะโทษเงื่อนไขทั่วไปของตลาด หรือโทษนายหน้าของเขาที่ให้คำแนะนำสุดโง่ต่อเขามั้ย? ไม่มีทาง! มันไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด
ผมกล้ารับประกันว่า-เมื่อเทรดเดอร์ระดับท็อปขาดทุน สิ่งแรกที่พวกเขาจะถามตัวเองคือ "ฉันยังทำตามกฎที่ตั้งไว้หรือเปล่า?"
ถ้าคำตอบคือใช่, แล้วพวกเขาก็จะกลับไปดูที่กฎของพวกเขา มีบางสิ่งบางอย่างที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียแบบนี้อีกครั้งหรือไม่
ในทางตรงกันข้าม, ถ้าหลังจากที่ถามตัวเองว่า "ฉันได้ทำตามกฎที่ตั้งไว้หรือไม่?" ถ้าคำตอบคือ "ฉันไม่ได้ทำตามกฎเลย" แล้วล่ะก็
มันก็ต้องมีการเรียกร้องให้หาคำอธิบายตนเองที่ลึกขึ้น
ทำไมไม่ยอมตามกฎ?
ฉันสามารถหยุดตัวเองจากการทำกำไรนั้นได้อย่างไร?
ฉันมีแนวโน้มที่จะทำกำไรนั้นได้มั้ย? ฯลฯ ..
คุณได้สังเกตุคำถามเหล่านั้นบ้างมั้ย? ฉันจะสามารถ, ทำไมฉันจะ, ทำไมฉันจึง, ฉัน, ฉัน, ฉัน และฉัน...
เพราะเทรดเดอร์รู้ว่าเขาจะต้องแสดงความรับผิดชอบในทุกการเทรดและกำลังหาความเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่ทำลายกฎอีกครั้ง
คุณเคยได้ยินคำพูดเก่าๆ เกี่ยวกับการเทรดที่ว่า: "ถ้าคุณเกิดคำถาม, คุณก็ไม่ควรจะเข้าเทรด" ("If you have to ask you shouldn't be trading") บ้างมั้ย?
ลองคิดต่อไปหน่อยสิ, หากคุณมีระบบที่ผ่านการทดสอบและพิสูจน์แล้วว่าในระยะยาวว่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่าตลาด และมันก็เป็นระบบที่เหมาะกับคุณ, ทำไมคุณจะต้องตั้งคำถามเกี่ยวกับมัน?
แล้ว...., ความเห็นพิเศษของคนอื่นๆ คืออะไร?
นอกจากมันจะทำให้เกิดความสับสนและทำให้ขุ่นมัวต่อความคิดเห็นของคุณ?
หากคุณเป็น Trend follower ระยะยาว แล้วทำไมต้องไปถามคนเล่น day trade?
หากคุณเป็นวีไอ,แล้วการไปขอคำแนะนำจากโมเมนตัมเทรดเดอร์ก็จะเป็นการเปล่าประโยชน์ยิ่ง
สิ่งที่ผมต้องการพูดคือ, มันไม่มีทางที่คนสองคนจะมีความเห็นเหมือนกันอยู่แล้ว....ทำไมคุณต้องเชื่อคนอื่นมากกว่ากฎการซื้อขายของตัวคุณเองด้วยล่ะ?
มันเป็นความจริงของชีวิต, และจริงยิ่งกว่าในทางด้านการเทรด, ที่ว่าคนส่วนใหญ่ต้องการที่จะบอกให้คนอื่นลงมือทำมากกว่าลงมือเอง
ซึ่งนี่แหละคือสาเหตุหลักที่ทำให้คนส่วนใหญ่ล้มเหลวในการลงทุนหุ้น
หากไม่สามารถยอมรับผิดชอบในการเทรดของตัวเอง ก็อย่าเทรดมันเลย
ถ้ากฎเบอร์หนึ่งของคุณคือ........"ต้องปฏิบัติตามกฎ"
ทำไมคุณจะต้องถามกูรูในสิ่งที่พวกเขาคิดเกี่ยวกับโพสิชั่นของคุณล่ะ?
หากคุณพบว่าตัวเองรู้สึกอยากจะขอความเห็นของคนอื่นเกี่ยวกับโพสิชั่นของคุณเอง ให้ทำเช่นนี้:
* ปิดโพสิชั่นออกมาก่อน
* ทบทวนแผนและกฎของคุณ
* ค้นหาออกมาว่าทำไมคุณไม่มีความรับผิดชอบในการปฏิบัติตามแผนการที่ตั้งไว้
* จากนั้นเมื่อคุณมีความมั่นใจแล้ว ไม่อยากจะขอความเห็นของบุคคลที่สาม, ก็สามารถเริ่มต้นการเทรดอีกครั้งได้เลย
เทรดเดอร์จะเรียนรู้ที่จะยอมรับความรับผิดชอบทั้งหมดได้อย่างไร?
คำตอบก็คือ, คุณต้องมีชุดของกฎ, และตระหนักว่าจุดที่สำคัญที่สุดในซื้อขายก็คือการทำตามกฎเหล่านั้น
เมื่อคุณมีชุดของกฎที่ถูกจัดตั้งอย่างมั่นคง, คุณจะพบว่าตัวเองไม่อาจที่จะปฏิบัติตามความเห็นของคนอื่นเลย ซึ่งในความจริงแล้ว, ผมอยากจะขยายให้ไปถึงการไม่ต้องไปรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นเลยด้วยซ้ำไป
เพียงเพราะผมรู้ว่า, โดยการทำตามกฎของตัวเอง - ผมจะอยู่ในด้านที่ถูกต้องของตลาดถึง 95% ของช่วงเวลาทั้งหมด และผมจะไม่พลาดรอบใหญ่ของตลาด
ดังนั้นจากวันนี้ไป, ให้คุณพยายามเรียนรู้ที่จะแสดงความรับผิดชอบทั้งหมดต่อทุกๆการตัดสินใจในการซื้อขายของคุณ
มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาแล้วก็เคร่งครัดปฏิบัติตามกฎการเทรดของตัวเอง ตระหนักรู้ว่าการปฏิบัติตามกฎมันมีความสำคัญต่ออนาคตว่าคุณว่าจะชนะหรือแพ้ในระยะยาว
เริ่มยอมรับมันทั้งหมด และแสดงความรับผิดชอบต่อทุกการเทรดตั้งแต่วันนี้ แล้วคุณจะประหลาดใจที่พบว่าการเทรดนั้นมันช่างง่ายจริงๆ
VIDEO
นิสัยที่ 2:
มีระบบเทรดที่เหมาะกับตัวเอง
"ฉันจะหาระบบที่เหมาะกับตัวฉันเอง และจะเป็นเทรดเดอร์สไตล์นี้ ที่ดีที่สุดในโลก"
เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ, นักลงทุน, ผู้จัดการเงิน ฯลฯ ทุกคนล้วนมีระบบที่เหมาะกับพวกเขา บ้างก็เป็นระยะยาว, บ้างก็สามารถปรับเปลี่ยนไปตามสภาพ, บ้างก็ใช้งานง่าย, เดย์เทรด, scalpers, arbitrage, value, momentum
โดยคำว่าระบบ, ในตัวมันเองนั้น, ก็ไม่ได้เป็นปัจจัยที่สำคัญนักหรอก
แต่จริงๆแล้วมันคืออะไร?.... มันก็คือระบบที่เหมาะกับบุคลิกของเทรดเดอร์แต่ละคนซึ่งมันไม่ซ้ำกันนั่นเอง
ระบบการเทรดไม่สำคัญจริงหรือ?,
ผมเคยได้ยินของนักลงทุนมูลค่า (เช่น วอร์เรน บัฟเฟตต์) สามารถทำเงินนับไม่ถ้วนจากการลงทุนในตลาดหุ้น
มีเดย์เทรดเดอร์ทำเงินมากกว่า $2 ล้านบาทต่อปี
มีนักเต้นที่ทำเงินใด้ 2.5 ล้านเหรียญจากการซื้อขายแบบโมเมนตัม
สิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันคืออะไร?
อย่างที่คุณเห็น, แม้พวกเขาจะไม่เรียกมันว่าเป็นระบบ แต่พวกเขาก็ทำงานในรูปแบบของการเทรดที่พวกเขามีทั้งความสุขกับและสันทัดในสิ่งนั้น พวกเขาจะไม่ฝักไฝ่ในการเทรดด้วยวิธีอื่นๆ ไม่มีใครบอกพวกเขาให้ใช้แนวทางนี้, แต่มันก็แค่เกิดขึ้นตามแนวทางนั้นไปเอง
มีเทรดเดอร์จำนวนมากมาย พยายามที่จะคัดลอกแฟชั่นการเทรดล่าสุด (ตอนนี้ก็น่าจะเป็นการเล่นเดย์เทรด) แต่ผมเชื่อว่ารูปแบบของการเทรดแบบนั้นก็ไม่เหมาะทุกคนหรอก การจะเป็นเดย์เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ, คุณต้องรักในการจับจังหวะการเคลื่อนไหวขึ้นและลงของตลาดที่มันแกว่งขึ้นลงในวัน มีสติอยู่ในภาวะของการเสนอซื้อ-ขายรายนาที-ชั่วโมง
ใช่, มีเทรดเดอร์จำนวนมากที่ทำรายได้จากการซื้อขายวัน แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่หมดตัวภายในไม่กี่เดือน สุดท้ายจึงรู้ตัวว่าการเดย์เทรดนั้นไม่เหมาะกับนิสัยของพวกเขาเลย
สำหรับผู้ค้าหุ้นบางส่วน,การซื้อหุ้นและถือครองมันยาวนานเป็นปี - เพื่อที่จะได้ราคาเป็นเด้ง, ถือเป็นความทรมานยิ่ง
ถึงแม้ว่าการลงทุนระยะยาวจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมเมื่อเทียบกับกับเวลาการทำงานที่น้อยมาก (ยกเว้นกรณีที่คุณมีความอดทนและมีระเบียบวินัยที่จะนั่งชื่นชมผลกำไรของคุณที่นับวันจะเพิ่มขึ้นๆ) บอกเลยว่าคุณจะไม่ประสบความสำเร็จด้วยวิธีนี้(คือซื้อแล้วถือ)
มันก็คล้ายกับการเลือกอาชีพเหมือนกันนะ ผมจำได้ว่าเคยอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับผู้จัดการที่ดีที่สุดของโลก มีหนึ่งคาแร็คเตอร์ที่ผู้เขียนเน้นย้ำว่า, สิ่งที่ผู้ประสบความสำเร็จในระดับชั้นนำเหล่านั้นมีกันทุกคนก็คือ "ความรัก(Passion)" ต่อสิ่งที่พวกเขาเลือกประกอบอาชีพ
เกือบทั้งหมดของพวกเขากล่าวว่า, พวกเขาไม่สามารถจะเชื่อได้ว่าจะถูกจ้างให้ทำบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขารักมาก
ซึ่งมันก็ไม่มีความแตกต่างกันกับการเทรด, คุณจะเป็นเทรดเดอร์ระดับท็อปได้เลย-ถ้าคุณเทรดในระบบที่คุณมีความรักที่จะเทรดนั้น และคุณจะไม่สลับเปลี่ยนวิธีการเทรดเพื่ออะไรอื่น
คุณจะพบระบบที่คุณมีความสุขด้วยได้ยังไง? ก็ต้องมองย้อนกลับไปที่ต้นตอ, เริ่มต้นที่เป้าหมายของคุณในครั้งแรก
โดยการตอบคำถามเหล่านี้:
* ฉันต้องการผลตอบแทนรายปีเท่าไหร่?
* ฉันต้องการเทรดเต็มเวลา, Part time, หรือแทบจะตลอดเวลา?
* ฉันสามารถจัดการกับความเครียดของการซื้อขายรายวัน และการเทรดระยะสั้นได้แค่ไหน?
* ฉันมีความอดทนต่อการเทรดในระยะยาวหรือไม่?
* บุคลิกภาพของฉันเป็นคนยังไง? ชอบใช้กำลัง หรือ ใช้ความคิด?
* ฉันเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเทรดเล่มไหนมาบ้าง เทรดเดอร์คนไหนที่ชื่นชม, ทำไมถึงชอบ? สามารถคัดลอกรูปแบบของการเทรดของเขาได้มั้ย?
กระนั้น, สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งก็คือ, อย่าไปอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับเดย์เทรดเดอร์ดาวรุ่ง, แล้วพยายามที่จะเลียนแบบเขา – เพราะถ้าการเล่นเดย์เทรดไม่ได้เหมาะสำหรับคุณแล้ว คุณจะเสียหายหนัก
ให้พยายามที่จะหาวิธีการในการเทรดที่คุณจะมีความสะดวกสบายและมีจุดมุ่งหมายที่จะกลายเป็นสุดยอดของโลกในรูปแบบของการเทรดที่ว่านั้น
สำหรับตัวผมเอง, ผมชอบความคิดของการซื้อหุ้นที่ $30 และขายมันในอีก 9 เดือนต่อมาที่ราคา $130
แน่ใจว่ามันจะไม่เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่มันใช้เวลาเพียงหนึ่งหรือสองของการเคลื่อนไหวเหล่านี้ต่อปีเพื่อให้ผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยม
ผมเป็นคนที่อึดมาก, ไม่เพียงแต่ในขณะที่ทำการเทรด แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติถ้าต้องนั่งดูหุ้นอยู่เฉยๆเป็นเวลาหลายเดือน หากเงื่อนไขไม่เหมาะสำหรับผม, ผมก็จะไม่เทรด
ผมรักความคิดของการใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีต่อวันในการตรวจสอบชาร์ตและใช้เวลาส่วนที่เหลือเพื่อศึกษาและเขียน ฯลฯ
.. สำหรับผมแล้ว, เงินก้อนใหญ่จะได้จากในการเคลื่อนไหวรอบใหญ่, ไม่ใช่ความผันผวนระยะสั้น
แน่นอนว่ารูปแบบของการซื้อขายแบบนี้จะไม่เหมาะสำหรับทุกคน
แต่ประเด็นก็คือ, หลังจากการทดลองและเจอข้อข้อผิดพลาดมาหลายปี ผมก็ได้พบระบบที่เหมาะกับตัวเอง และผมก็มุ่งมั่นที่จะกลายเป็นเทรดเดอร์ที่ดีที่สุดของโลกที่ใช้ระบบนี้
คุณต้องทำเช่นเดียวกัน หากคุณมีระบบเทรดที่ไม่เหมาะกับบุคลิกภาพของคุณ คุณก็ไม่สามารถจะมีความเชื่อมั่น และไม่อาจทำกำไรก้อนใหญ่ได้
หากคุณเป็นเทรดเดอร์มือใหม่หรือไม่เคยประสบความสำเร็จอย่างใดอย่างหนึ่งเลย, ผมขอแนะนำให้คุณเริ่มต้นด้วยการถามตัวเองก่อนว่า
"การเทรดแบบไหนที่เหมาะสำหรับบุคลิกภาพของฉัน?"
แล้วใช้เวลาให้มากๆเพื่อค้นหาสิ่งที่ใช่ให้เจอ เพราะมันจะเป็นรากฐานของคุณ
หากคุณสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง - ระบบการซื้อขายก็จะมีความแข็งแรงด้วย และสามารถทนต่อการทดสอบของเวลาได้ยาวนาน
แต่หากรากฐานนั้นอ่อนแอ -- ระบบการซื้อขายของคุณก็จะล่มสลายไปพร้อมๆกับเงินของคุณ
สาเหตุที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ยังขาดทุนก็เพราะพวกเขาเคยไม่รู้ว่ารูปแบบของการเทรดแบบไหนที่เหมาะกับเขา พวกเขาจะรอซื้อซอฟต์แวร์เกี่ยวกับการเทรดใหม่สุดหรือฟังกูรูคนใหม่ๆ, หวังว่าสิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนผลการเทรดของพวกเขา
คนส่วนใหญ่มองว่าเขาสามารถประสบความสำเร็จในการเทรดได้ภายในเวลาหกเดือนเท่านั้น แต่ผมเชื่อว่าเทรดเดอร์คนใดก็ตามสามารถยืนระยะการเทรดต่อเนื่องได้มากกว่าสองปีได้ เขาจะกลายเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่หายาก และมีโอกาสที่จะเป็นผู้ชนะในตลาดหลักทรัพย์
ทำไมน่ะหรือ? เพราะหลังจากสองปีไปแล้ว, พวกเขาถึงจะมีความพร้อมที่จะเริ่มต้นในการพัฒนาชุดของกฎที่เหมาะกับพวกเขา เริ่มต้นการซื้อขายในแนวทางที่จะสร้างความสะดวกสบายให้กับตัวเอง
แต่น่าเสียดาย, ที่เหล่าเทรดเดอร์มือใหม่อยากรีบรวยไวๆ - ทำให้เงินต้นของพวกเขาหมดไปก่อนถึงเวลาสองปี หรือไม่ก็เลิกล้มความสนไปก่อนหน้านั้น
ดังนั้น.....ให้บอกตัวเองในวันนี้ว่า
"ฉันจะหาระบบที่เหมาะกับตัวฉัน
และฉันจะกลายเป็นเทรดเดอร์ที่ดีที่สุดในโลกของสไตล์นี้"
VIDEO
นิสัยที่ 3:
วางแผนการเทรด และเทรดตามแผน
ไม่ต้องสงสัยเลย, ไม่มีเทรดเดอร์คนใดที่อยู่ในตลาดได้นานถ้าเขาไม่ได้วางแผนการเทรดทุกครั้ง
แต่ก็ไม่มีเหตุผลในการทำแผนสำหรับการเทรด-ถ้าคุณไม่มีระเบียบวินัยพอที่จะปฏิบัติตามนั้น
แผนควรให้ความสำคัญสำหรับทุกเหตุการณ์ อย่างที่ Richard Dennis (Turtles fame) กล่าวว่า "ไม่ต้องกังวลว่าราคาจะไปทางไหน ให้กังวลเกี่ยวกับสิ่งที่คุณกำลังจะทำ และเมื่อไรที่พวกมันจะไปถึง"
ลองคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาพูดให้ดี, เมื่อคุณวางเงินลงในการเทรดไปแล้ว, คุณจะไม่สามารถควบคุมราคาได้เลย ดังนั้นหยุดกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นและมีสมาธิในช่วงราคาคุณตั้งลิมิตเอาไว้ จากนั้นก็คิดต่อไปว่าคุณจะทำอย่างไรเมื่อจุดเหล่านี้มีการละเมิด โดยการทำเช่นนี้, การเทรดของคุณจะไม่มีอารมณ์มาเกี่ยวข้อง มันจะกลายเป็นระบบและปราศจากความเครียด
ดูตัวอย่างนี้นะ
1) คุณชอบทรงการฟหุ้น XYZ ที่ในปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ $40 และคุณซื้อไป 100 หุ้น วาง stop loss ที่ $42
นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น คุณต้องถามและตอบคำถามต่อไปนี้:
* ถ้าซื้อไปแล้ว จุด stop แรกอยู่ตรงไหน นั่นคือ "เงินทุนที่ฉันจะยอมเสียได้เท่าไหร่?"
* ถ้าซื้อไปแล้ว, ฉันจะทำกำไรอย่างไร? ราคาเท่าไหร่ที่ฉันจะยก Trailing stop ขึ้นตามไป , กลยุทธ์ exit แบบไหนที่จะเอามาใช้
* ถ้าซื้อไปแล้ว, จะซื้อเพิ่มอีกมั้ย
* ถ้าซื้อไปแล้ว หุ้นไม่วิ่งภายใน x สัปดาห์ ฉันจะขายออกมั้ย
* ถ้าขายหุ้นออกมาแล้ว, จะกลับเข้าไปใหม่อีกมั้ย หรือมองหาตัวอื่นไปเลย
2) เพื่อให้มีการทำแผนเสร็จสมบูรณ์, ก่อนที่จะเข้าเทรดคุณอยากได้ หุ้น XYZ Corp ที่: 42$ จำนวน 100 หุ้น
3) คุณจะได้หุ้นที่ราคา $42 1/4 โดยอัตโนมัติ, โดยวางคำสั่งหยุดขาดทุนที่
$39 อย่างไม่มีข้อสงสัย, คุณตั้งให้มันทำโดยอัตโนมัติ
4) หากการเทรดไปถูกทาง, คุณจะส่งคำสั่งซื้อที่สองที่ $50
5) ซื้อ 100 หุ้น เพิ่มเติมได้ที่ $50 และจุดล็อกกำไรจะถูกยกขึ้นไปที่ 45$
6) ราคาวิ่งขึ้นไปตามทิศทางที่คุณมองไว้ และคุณก็ซื้อเพิ่ม และยกระดับจุดล็อกกำไรตามไปทุกครั้ง
7) จุดขายเอากำไรของคุณจะถูกตั้งไว้ที่ $130 เมื่อถึงเวลานั้นคุณก็ออกจากการ
เทรดด้วยกำไรก้อนใหญ่
คุณจะเห็นเลยว่าตอนนี้, โดยการที่คุณมีแผนทุกอย่างเป็นอัตโนมัติ
คุณจะรู้ว่าตอนไหนควรเข้าซื้อ, หยุด, ซื้อเพิ่ม และขายออก
ตอนนี้คุณอยู่ในกระบวนของการซื้อขายอย่างมืออาชีพและไม่ได้มาจากอารมณ์ความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น
ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่คุณจะต้องขอความเห็นจากใคร ไม่แม้แต่จะกลัวในเรื่องของการปล่อยให้ผลกำไรเติบโต, หรือปล่อยให้การขาดทุนลุกลาม
แค่ตัดสินใจเข้าซื้อ, ถ้าคุณทำแผนการเทรดและมีวินัยในการปฏิบัติตามนั้น
การเทรดจะกลายเป็นเรื่องง่ายมากและไม่เครียดเลย
ในหลายปีของการเทรดที่ผ่านมา, ตลาดมักจะพยามอย่างเต็มที่เพื่อจะกดดันให้คุณหมดความอดทน ทั้งวิ่งขึ้นหรือลงอย่างรุนแรง หากเทรดเดอร์ใช้แต่อารมณ์ในการเทรดก็จะพ่ายแพ้ต่อเกมส์
แต่ใครก็ตามที่เทรดอย่างมีวินัย, เขาแค่ทำตามแผนและจะได้รับประโยชน์จากการเคลื่อนที่รอบใหญ่นั้น
หากคุณเคยพบว่าตัวเองต้องถามใครสักคนสำหรับความเห็นในหุ้นที่คุณถืออยู่, นั่นอาจเป็นเพราะคุณไม่ได้ทำแผนการเทรด, หรือคุณมีความสงสัยในแผนแรกของตัวเองก็ได้
การวางแผนเทรดนั้น, มันควรจะไม่แตกต่างจากการวางแผนการเดินทาง
คุณต้องวางแผนสำหรับทุกชนิดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะสิ่งที่ไม่คาดฝัน
หากหุ้นวิ่งไปตามทิศทางที่คุณต้องการ-คุณแทบจะไม่จะต้องให้ความสนใจในแผนเลย แต่ถ้ามันเปิด gap ลงล่ะ? หรือกระชากขึ้นอย่างรุนแรง? หรือไซด์เวย์ไปด้านข้างเป็นเวลาหกสัปดาห์, ตลาดถล่ม, บริษัทออกข่าวสุดเซอร์ไพรซ์จนทำให้ราคาวิ่งบวก $30 ในหนึ่งวัน?
ถ้าคุณไม่ได้เตรียมแผนไว้สำหรับความผิดปกติเหล่านี้แล้ว, เมื่อบางอย่างเกิดขึ้น คุณจะพบว่าตัวเองมึนงงทำอะไรไม่ถูก ดังนั้น,เมื่อคุณเริ่มเทรดโดยไม่มีแผน ก็คาดหวังได้เลยว่าผลงานของคุณก็มีแต่จะจะเลวลง
การมีแผน, สามารถขจัดความคิดเห็น
และอารมณ์ออกจากการเทรดได้หมดจด
ในการสัมมนาและการประชุมครั้งแล้วครั้งเล่า, ผมมักได้ยินคำถามเดียวกันนี้:
"ฉันซื้อหุ้น ABC ที่ $25 ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา, คุณคิดว่าฉันยังควรถือมันต่อมั้ย?"
เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว, ผมได้แต่ขย่าหัวตัวเอง(อย่างสุขุม) คนพวกนี้เขา
เทรดในแนวทางนี้ได้ยังไงกันนะ? แผนของเขาอยู่ไหน? พวกเขาซื้อกันตอนไหนและขายกันเมื่อไหร่?
พูดแบบหงุดหงิดก็คือ, พวกมันเทรดกันยังไงวะน่ะ? เขายังคาดหวังผลที่จะชนะตลาดได้อยู่อีกหรือ ในเมื่อยังมัวแต่ถามคนอื่นอยู่อย่างนี้?
ถ้าผู้ชายคนนี้มีแผนการเทรด แถมมีวินัยที่จะทำตามแผนนั้น,เขาจะไม่มีวันตั้งคำถามแบบนี้
นี่อาจจะเป็นเหตุผลเดียวที่คนส่วนใหญ่ชอบทำตามความเห็นของคนอื่น คนเรารักที่จะบอกให้คนอื่นทำบางสิ่งบางอย่างมากกว่าจะปล่อยให้คิดเอง
ผมได้อ่านนิตยสารออนไลน์ล่าสุด, ก็ประหลาดใจกับจำนวนผู้ติดตามกูรูชื่อดังที่โชว์ตรงหัวมุม คนที่อยู่ระดับท็อปจะมีผู้ติดตามตั้งแต่ 15,000 ถึง 80,000 คน ผมแค่สงสัยว่าสาวกเหล่านี้มีการเทรดของตัวเองดีขึ้นบ้างมั้ย
บอกได้เลยว่า “มีน้อยมาก” , แล้วทำไมส่วนใหญ่ทำไม่ได้ เพราะอะไร?
เพราะการที่ต้องไปฟอลโลว์ใครสักคนนั้น, พวกเขาได้ละทิ้งหลักการเหล็กที่วางไว้ในหนังสือเล่มนี้ไปแล้ว
เมื่อไม่มีระบบ, คุณไม่มีทางผลักความรับผิดชอบไปให้กูรูได้หรอก(เพื่อให้มีข้อแก้ตัวสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นไง) เมื่อไม่ได้มีการวางแผนที่จริงจัง ผลที่ได้รับก็มีแต่ความเลวร้าย
เมื่อคุณเริ่มต้นที่จะทำตามแผนของคุณเอง ก็จะพบว่าตัวเองไม่ต้องการที่จะรับฟังความคิดเห็นจากคนอื่น
ถ้าคุณถือหุ้น ADF โดยซื้อที่ $60 และ initial stop เอาไว้ที่ $56 แล้วคุณก็อย่าไปแคร์ถ้าเกิดกูรูออกมาพูดว่า "ขายหุ้น ADF ออกซะ มันเกินมูลค่าแล้ว และจะลดลงได้ถึง $20"
เหตุผลแรก, เขาอาจจะมองผิดหรืออาจจะถูกก็ได้
และประการที่สอง, ถ้า stop ของคุณอยู่ที่ $56 ก็รอให้มันลงมาถึงก่อนก็ได้ ระบบก็จะเตะคุณออกไปเอง
อย่างน้อย, เมื่อคุณถามตัวเองว่า "ฉันทำตามกฎมั้ยวันนี้?" คุณจะได้ตอบอย่างเต็มปากว่า "ใช่"
ผมการันตีได้เลยว่า, ก่อนที่ Warren Buffet หรือจอร์จ โซรอส จะซื้อหุ้นมูลค่า $50,000,000 พวกเขารู้ก่อนซื้อแล้วว่าควรจะทำอะไรต่อจากนั้นหากราคาแกว่งตัวไปทางใดทางหนึ่ง
คุณคิดเหรอว่า Warren Buffet จะอุทาน "พระเจ้า! ฉันซื้อหุ้น DFG ไปถึงยี่สิบล้านเหรียญ แล้วตอนนี้มันลดลง 15% ต่อไปฉันจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย?"
ไม่มีทาง! และมันไม่ควรเกิดขึ้นกับการเทรดของคุณด้วย!
ประเด็นก็คือว่า, มันไม่สำคัญหรอกว่าคุณซื้อหุ้นด้วยเงิน ห้าพัน หรือ ห้าสิบล้าน แต่หลักการก็ไม่ควรต่างกัน เพราะสิ่งที่ต้องทำคือ,คุณต้องขจัดอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมด และปฏิบัติตามแผนของคุณ
การจะเป็นผู้ชนะในตลาดหุ้น, คุณต้องไม่เทรดด้วยอารมณ์และความรู้สึก และวิธีเดียวที่จะกำจัดอารมณ์คือการมีระเบียบวินัยอย่างหนาแน่นในการปฏิบัติตามแผนของคุณเอง
VIDEO
นิสัยที่ 4:
ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อเรียนรู้วิธีการเทรดที่ถูกต้อง
และไม่หยุดศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
การเทรดหุ้นนั้นไม่แตกต่างจากการค้าแบบอื่นๆ คุณคงไม่คาดหวังว่าจะกลายเป็นศัลยแพทย์ทางสมองหลังจากที่เข้าร่วมการสัมมนาในวันหยุดสุดสัปดาห์และอ่านหนังสือจบไปไม่กี่เล่มหรอกนะ?
แต่ทำไมคนจำนวนมากคาดหวังให้ตัวเองกลายเป็นพ่อมดทางการเงิน ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ กันทั้งนั้นเลยล่ะ?
หากคุณเคยมีโอกาสถามเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ คุณจะเข้าใจถึงความพยายาม, การให้เวลา, ความมุ่งมั่น และการขาดทุน ที่เขาต้องจ่ายไปจนกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ การเป็นผู้ชนะในการลงทุนในตลาดหุ้นก็ไม่แตกต่างจากการเป็นทนายความระดับท็อป นายแพทย์ หรือนักธุรกิจ เลยล่ะ
แล้วถ้าอยากจะเป็นเทรดเดอร์ระดับท็อบควรทำยังไงบ้าง?
อันดับแรกเลย, คือคุณจะต้องตัดสินใจว่าคุณต้องการที่จะเทรดเสียก่อน
ถามตัวเองว่า: “ฉันสนใจการซื้อขายบางสิ่งบางอย่างในตลาดหุ้นอย่างแท้จริง หรือฉันกำลังถูกล่อด้วยจำนวนเงินที่มีศักยภาพที่ตลาดมีให้?”
ผมยังจำเนื้อความในหนังสือ "Grow Rich with Peace of Mind"
ของ นโปเลียน ฮิลล์ ที่เขาสัมภาษณ์คนระดับท็อปของอาชีพต่างๆ และได้ข้อสรุปว่าคนเหล่านี้รักงานของพวกเขา และจะทำมันโดยไม่หวังในตัวเงิน
การเทรดก็เป็นเหมือนกันนะ, ถ้าเป้าหมายอันดับหนึ่งในการเทรดของคุณคือแค่อยากทำเงินให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วผมจะไม่สงสัยเลยว่า ถ้าคุณมุ่งมั่นทำมันจริงๆ คุณสามารถเป็นคนในสถานะซุปเปอร์เทรดเดอร์ได้เช่นกัน
คุณก็แค่เริ่มต้นด้วยการไล่ตามเงินที่จะสามารถสร้างแรงจูงใจให้ ตราบเท่าที่คุณมีตัวกระตุ้น ก็ให้หมั่นเรียนรู้และลงมือทำจริงๆในตลาด โดยไม่ต้องวิ่งไล่ตามไอเดีย(ระบบการเทรด, อินดิเคเตอร์ ซอฟท์แวร์)เพื่อการเทรดตัวใหม่ล่าสุดให้เสียเวลา
ผมรู้สึกประหลาดใจที่พบว่ามีเทรดเดอร์จำนวนมากไม่ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับตลาดหุ้นระดับพื้นฐานกันเลย มันดูเป็นความพยายามที่มากเกินไปสำหรับพวกเขาที่จะอ่านหนังสือและเรียนรู้หลักการพื้นฐานบางอย่าง
แต่คนเหล่านี้พร้อมที่จะใช้เงิน $10,000 ในเวลาน้อยกว่า 6 เดือน เพื่อไล่ล่าความฝันที่จะรวยเป็นล้านในระยะเวลาสั้นๆ ที่สุดเลื่อนลอยนี้
ยอมรับความเป็นจริงกันเสียเถิด! การเทรดที่ประสบความสำเร็จนั้น, ไม่เพียงแค่การสร้างฐานให้แน่น คุณยังต้องพยายามเต็มกำลังเพื่อประคองตัวให้อยู่ด้านบนสุดของเกมด้วย
ในหนังสือ Market Wizards I และ II, คุณจะพบว่าเทรดเดอร์เกือบทั้งหมดต้องผ่านกระบวนการลองผิดลองถูกเป็นปีๆ, นี่ยังไม่รวมถึงความพยายามแล้วพยายามอีกจนกว่าพวกเขาจะเจอสิ่งที่สอดคล้องกับตัวเอง, กระทั่งพัฒนาเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ
เราก็ไม่ต่างกันหรอก, เพราะไม่ได้มีดีกว่าพวกเขาตรงไหนเลย
คุณต้องลงแรง, เหมือนการใช้เวลาหลายปีในการมุมานะศึกษาอย่างคร่ำเครียดเพื่อเป็นทนายความชั้นนำ, การจะเป็นผู้เทรดเดอร์ชั้นนำก็ไม่แตกต่างกัน
หากคุณเป็นมือใหม่, ก็อย่าเพิ่งคาดหวังที่จะเทรดให้ได้ผลตอบแทน 80% เป็นอย่างน้อยนับตั้งแต่วันที่คุณเริ่มต้น ให้พิจารณาสามปีแรกของการเทรด, เป็นการไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ตลาดหุ้นจะเป็นครูผู้สอน และบัญชีเงินทุนเริ่มต้นของคุณนั่นแหละคือค่าใช้จ่าย (ดังนั้นควรเริ่มต้นลงเงินแต่น้อยๆ)
แล้ว,... การทำงานอย่างหนักทางการเทรดหมายถึงอะไรกันแน่?
ผมจะแตกประเด็นนี้ออกเป็นสองส่วน
ประการแรก, คุณจะต้องใช้เวลาให้มากในการวิเคราะห์ตัวคุณเอง, บุคลิกของคุณ, หารูปแบบการเทรดที่คุณมีความสะดวกสบายมากที่สุด, เรียนรู้วิธีการ
เทรดอย่างถูกต้อง, อ่านหนังสือ, ลงมือศึกษา, ถามผู้รู้
โดยทั่วไปแล้ว, คุณจะต้องเริ่มต้นจากบาดแผล และสร้างระบบที่เหมาะกับคุณเอง มันจะใช้เวลาสองสามปีที่เป็นอย่างน้อย ถ้าคุณยอมรับในจุดนี้ได้, คุณต้องรักษาเงินในพอร์ตไม่ให้เสียหายเยอะเพื่อยืนระยะให้ได้
แต่ถ้าเงินหมดพอร์ตไปเสียก่อน, ก็ให้ลืมการเทรดและย้ายไปทำสิ่งที่คุณสนใจอย่างแท้จริงดีกว่า
เมื่อคุณได้มีการพัฒนาระบบการซื้อขายที่เหมาะกับตัวเองและมีวินัยเหล็กในการปฏิบัติตามแผนอย่างเคร่งครัด หลังจากนั้น,มันก็เป็นการสู้รบอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เทรดแล้วมีกำไรสม่ำเสมอ
คุณต้องมุ่งมั่นที่จะมีการปรับปรุงตัวเองตลอด อย่าพอใจกับระบบการเทรด
แต่ผมไม่ได้บอกว่า "ให้มองหาข้อผิดพลาดจากระบบ" ผมแค่อยากสื่อว่า....ทุกระบบและเทรดเดอร์สามารถปรับปรุงกันได้ ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด คุณต้องหมั่นพัฒนาตัวเองเพื่อที่จะตามมันให้ทัน, มุ่งมั่นที่จะมีระเบียบวินัยมากขึ้นและเรียนรู้จากความผิดพลาดของคุณ
ใช่, แม้แต่เทรดเดอร์ผู้เก๋าเกมส์ก็ยังคงทำผิดพลาดสุดโง่ ดู Jesse Livermore สิ (และผมขอแนะนำให้คุณอย่าเพียงแค่อ่านหนังสือของเขา, แต่ให้ศึกษาและหวาดกลัวต่อวิธีการที่ผู้ชายคนนี้ทำลงไป)
Livermore เป็นนักค้าหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ในช่วงต้นปี 1900 เขาเริ่มต้นด้วยเงินน้อยนิดและเทรดจนทำเงินได้หลายล้าน แต่ยังคงสูญเสียมันในบั้นปลาย
ในอีกมุม, เขาเป็นหนึ่งในเทรดเดอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่
แต่ในอีกด้าน, เขาเป็นคนที่อันตรายในแง่ที่เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
การมีเงินในบัญชีเป็นล้านแล้วทำให้มันสูญเสียไปหมดได้นี่, คนทั่วไปต้องได้คิดแล้วว่า, ประสบการณ์นี้มันเจ็บปวดมากพอแล้ว และต้องไม่ทำผิดซ้ำอีก?
แต่เมื่อความเจ็บปวดของเขาเริ่มต้นจากรอยขีดข่วน, ก็กลับไปทำเงินล้านได้อีกครั้ง, แต่มันน่าเศร้า, เขาทำตัวเองให้หมดตัวอีกครั้ง โดยที่เขาไม่สามารถกลับมาเอาชนะตลาดได้อีกแล้ว
ปกติแล้ว, การขาดทุนหนักจนหมดตัวจากการเทรดที่ไม่ดีครั้งเดียว, คุณก็ต้องรู้สึกตัวจากสัญญาณเตือนนั้นแล้ว ถ้าสามารถกลับมาได้, คุณต้องพยายามรักษาเงินก้อนใหม่นั้นให้อยู่นานที่สุด เพราะคุณต้องรู้สึกเข็ดขยาด
ทุกคนสามารถทำผิดพลาด,
แต่การที่ไม่ได้เรียนรู้จากมันนั้น-ถือเป็นอันตรายถึงชีวิต
ดังนั้นในขณะที่ลิเวอร์มอร์เป็นคนชั้นหัวกระทิ, เป็นเทรดเดอร์ระดับท็อปที่ไม่เคยให้เวลามากพอกับจิตวิทยาของตัวเอง หากเขาได้ใส่ใจทำงานในการวางแผนจัดการเงินทุนและปฏิบัติตามแผนอย่างเคร่งครัดในทุกการเทรด เขาจะไม่มีจุดจบไม่สวยแบบนี้แน่
บทเรียนที่ได้จากลิเวอร์มอร์คืออะไร? ถึงแม้คุณจะกลายเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ, แต่ก็มีสักวันหนึ่งแน่ๆที่ความผิดพลาดอย่างร้ายแรง-ก้าวออกมาทำร้ายคุณ
ดังนั้นให้เพียรรักษาระดับอารมณ์ให้อยู่ในระดับสูงและตั้งใจเทรดแต่ละครั้งให้เนียนที่สุด, คุณก็สามารถหลีกเลี่ยงการทำความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงได้
กว่าจะกลายเป็นเทรดเดอร์ที่รอบรู้, ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กันนะ? มันก็ไม่ได้เป็นเวลาที่ระบุตายตัวหรอก, แต่ผมจะบอกเป็นกฎทั่วไป, ดังนี้:
0-1 ปี:
* ทำงาน(เทรด+หาความรู้)เพื่อหาว่าคุณมีความยินดีที่จะใช้เวลาและพยายามในการหาระบบที่ใช้งานได้และยังเหมาะกับบุคลิกภาพคุณด้วย
* อ่านหนังสือพื้นฐานเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น แต่อย่าเพิ่งคิดว่า "มันช่างน่าสนใจจริงๆ, เดี๋ยวลองทำดูพรุ่งนี้เลย" แต่ให้พยายามเข้าถึงจิตใจของเทรดเดอร์ ให้รับความรู้สึกในถึงการใช้เวลาและความพยายามของพวกเขา, ก่อนที่จะกลายเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ, กี่ครั้งที่พวกเขาเจออุปสรรค? คาแรคเตอร์แบบไหนที่ทำให้พวกเขากลายเป็นเทรดเดอร์ที่ดี?
* เข้าร่วมฟังสัมนาบ้าง แต่อย่าไปฟังหัวข้อประเภท "ความลับของตลาดหลักทรัพย์จะถูกเปิดเผย" เพราะการเผยความลับก็คือมันไม่ใช่ความลับอีกต่อไป, ให้เข้าร่วมสัมมนาเกี่ยวกับทักษะการอ่านกราฟหุ้นขั้นพื้นฐาน, จิตวิทยาการเทรด, money management ฯลฯ .. และให้บันทึกข้อมูลการติดต่อของผู้บรรยายไว้เพื่อสอบถามความรู้เพิ่มเติม
* ฝึกดูกราฟตามเว็บฟรี, หาจุดร่วม-จุดต่างจากทั้งกราฟหุ้นและดัชนี ช่วงนี้ไม่ต้องทำอะไร(อย่าเพิ่งซื้อขาย) แค่สังเกตก็พอ
* ซื้อหนังสือพัฒนาตัวเอง อาจจะเป็นหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจหรืองานที่คล้ายกันและปฏิบิตตามมัน
บอกได้เลยว่า, ชีวิตและการเทรดของผมดีขึ้นมากตั้งแต่ผมเริ่มใส่ใจตั้งแต่วิธีคิดของตัวเอง เพราะสิ่งนี้จะช่วยในการหาระบบที่เหมาะกับตัวผมเอง
ในตอนท้ายของปีที่ 1, คุณควรรู้ว่าการซื้อขายแบบไหนที่เหมาะสำหรับคุณ และเทคนิคการซื้อขายแบบไหนที่ควรให้ความสนใจมากที่สุด
ทำมันอย่างเป็นธรรมชาติ, เพราะมันต้องเหมาะกับบุคลิกภาพของคุณ
แต่ถ้าหากในที่สุด,คุณพบว่าการเทรดนั้นไม่เหมาะกับตัวคุณเลย! ถือเป็นเรื่องที่ดีสุดๆ! คุณจะประหยัดเวลาและเงินได้เป็นจำนวนมาก เพราะการเทรดมันไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคนหรอกนะ
ผมเองก็รู้ว่ามีเทรดเดอร์บางส่วนต้องกลับไปที่จุดเริ่มต้นหากพวกเขาต้องการที่จะประสบความสำเร็จ มันน่าเศร้าเพราะพวกเขาเทรดมาก็หลายปีแล้ว ก่อนหน้านั้นเขาเป็นคนแจกเงินให้กับตลาดมาโดยตลอด
ปีที่ 2:
* เปิดบัญชีเงินสด(cash balance)ด้วยจำนวนเงินน้อยๆ นี่คือค่าธรรมเนียมเพื่อการเรียนรู้ คิดไว้เลยว่าคุณจะไม่เสียดายถ้าคุณขาดทุนมันไปหมดเกลี่ยง
* ให้อ่าน, ศึกษา, เข้าร่วมการสัมมนาและสอบถามเทรดเดอร์ผู้ประสบความสำเร็จ
* พัฒนารูปแบบของการซื้อขายที่คุณมีความสะดวกสบาย ทดสอบย้อนกลับด้วยตนเองและรับความรู้สึกที่มีต่อจำนวนเงินที่เข้าเทรด, ความสม่ำเสมอและจำนวนของการซื้อขายที่ระบบของคุณกำหนด
พยายามหาวิธีการที่ให้ความคุ้มค่าสุด คือดูอัตราการชนะต่อการเทรดใน 10 ครั้งเป็นอย่างน้อย คิดเป็นสัดส่วนได้เท่าไหร่ ถ้าแพ้ครึ่งชนะครึ่ง, คุณจะต้องรู้ว่ามีอะไรผิดปกติอยู่ตรงไหน
พยายามทดสอบให้ครบทุกจุดของรอบการขึ้นลงของตลาด เพราะระบบที่ดีที่สุดต้องชนะทุกสภาวะ
* พัฒนาแผนการเทรด (อ่านบทที่ 2 อีกครั้ง) โดยหาแนวทางที่มันอำนวยความสะดวกให้ตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
* พยายามจับสังเกตกราฟหุ้น ว่ามีจุดร่มอะไรบ้าง
* ถ้าคุณรู้สึกสะดวกสบายในการเทรดก็ให้ลงมือ แต่ใช้เงินน้อยๆก่อน ผมไม่เชื่อมั่นในการซื้อขายบนกระดาษ(paper trade)เลยนะ เหตุผลง่ายๆก็คือ, คุณไม่มีมีอารมณ์ร่วมขณะที่เล่นเกม ดังนั้นใช้เงินจริงดีกว่า
หัวใจหลักของการเทรดก็คือการทำตามกฎ, การได้กำไรหรือขาดทุนนั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
แม้การเทรดด้วยเงินจำนวนน้อยๆ มันดูเหมือนว่าไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็ทำให้เรารู้ว่า
- ฉันจะตอบสนองอย่างไรเมื่อขาดทุน?
- ฉันสามารถทำตามกฎได้อย่างไร?
- ระบบของฉันทำงานได้ดีในระยะยาวหรือไม่?
ปีที่ 3:
คุณควรจะมีระบบที่เหมาะกับคุณ และเริ่มต้นที่จะทำกำไรก้อนเล็กๆ จากตลาดให้ได้ก่อน
หากคุณยังคงพบว่าตัวเองยังขาดระเบียบวินัยในการปฏิบัติตามสัญญาณ, ก็ให้ตั้งคำถามว่าทำไม แล้วกลับไปฝึกให้ตัวเองมีระเบียบวินัยมากขึ้น
คุณจะพบว่าการขาดทุนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ตราบเท่าที่คุณสามารถจัดการความเสี่ยงนั้นให้อยู่มือ
ปีที่ 4:
ถึงตอนนี้, ถ้าคุณยังคงมีเงินเหลือและยังเทรดในตลาดได้, คุณควรจะมีกำไรที่สม่ำเสมอและรู้จักตัวเองดีพอที่จะทำการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
ให้มองการเรียนรู้เพื่อการเทรด, เป็นเรื่องเดียวกันกับการศึกษาในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยตลาดหุ้น
คุณยินดีที่จะเสียสละ 4 ปีเพื่อที่จะเรียนรู้การเทรดหรือไม่?
ถ้าไม่ยินดี, ก็ให้เดินออกไปตั้งแต่ตอนนี้
แต่หากคุณยอมรับว่าสละได้, ก็ลงมือทำได้เลย
หากคุณต้องการเป็นเทรดเดอร์ระดับท็อป, ยังมีงานอีกมากที่ต้องทำ
VIDEO
นิสัยที่ 5:
มีความเชื่อทางบวกต่อตัวเอง
ควรมีความเชื่อที่แข็งแกร่งไม่เพียงแต่ในระบบที่คุณเทรด, แต่ต้องรวมถึงวินัยของคุณเพื่อดำเนินการซื้อและขายให้เนียนที่สุด, เพราะมันคือความจำเป็นที่จะไปสู่ความสำเร็จในการเทรด
เทรดเดอร์ระดับท็อปรู้ว่าวินัยจะถูกแสดงออกในรูปแบบของการทำตามกฎ, ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญในการเทรด และผลตอบแทนในตัวเงินเงินถือเป็นเรื่องรอง เพราะถ้าคุณไม่สามารถทำตามสัญญาณทั้งเข้าและออกโดยปราศจากคำถาม หากคุณมีความผิดพลาดแค่ครั้งเดียว-คุณจะคืนกำไรที่เคยได้ ให้กับตลาดไปจนหมด
การมีความเชื่อทางบวกต่อตัวเอง, มันเกิดจากจากการทำตามกฎซ้ำๆ จนเป็นนิสัย ใช้ระบบการเทรดของคุณในการทดสอบย้อนหลังไปแบบยาวๆ และหมั่นวิเคราะห์ตนเองอย่างต่อเนื่อง
คุณจะไม่สามารถทำตามระบบถ้าคุณมีข้อสงสัยในใจ นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้คนจำนวนมากที่ซื้อระบบเทรดจากคนอื่น ประสบความล้มเหลว
เมื่อระบบที่เขาซื้อมาทำให้เขาขาดทุน, มันก็จะถูกโยนทิ้ง และเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาค้นหาระบบใหม่ไปเรื่อยๆ
แต่หากเทรดเดอร์ที่มีความเชื่ออย่างมั่นคง จะทราบว่าระบบมันก็มีบางจังหวะที่ขาดทุนอยู่ เขารู้มาก่อนและนั่งรอเล่นในจังหวะที่เขาชอบและแม่นที่สุด ก็สามารถทำเงินได้มากมายจากจังหวะนั้น
เพียงแค่การทำฐานให้แน่นตามบทที่ 4,เทรดเดอร์จะมีความมั่นใจในระบบของตัวเอง ว่ามันจะต้องรองรับข้อมูลของตลาดได้ในทุกกรณี นี่คือเหตุผลที่แม้แต่เทรดเดอร์ที่มีชื่อเสียงก็ยังมีการขาดทุน
ส่วนใหญน่าจะเคยทราบว่า George Soros ตำนานยิ่งใหญ่ที่มีชีวิตอยู่, ชายผู้ที่ทำเงินเป็นพันล้านในปี 1980 และปี 1990, แต่ก็มีบางช่วงเวลาที่เขาขาดทุนมหาศาลเช่นกัน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของเขาสูญเงินเป็นพันล้าน สิ่งเหล่านี้ไม่สร้างความรำคาญให้กับเขาหรอก เพราะเขารู้ว่าสไตล์การเทรดของเขาจะต้องผ่านช่วงเวลาที่กำไรและขาดทุน
เช่นเดียวกับโลกของเราที่มีกลางคืนและกลางวัน เมื่อมีช่วงเวลาสูญเสียก็มักจะตามมาด้วยช่วงเวลาที่กำไร แต่ก็ยังมีเทรดเดอร์จำนวนมากที่โยนในผ้ายอมแพ้หลังจากขาดทุนไปแค่สองสามครั้ง ส่งผลให้พลาดจังหวะที่ระบบนั้นทำกำไรก้อนใหญ่ให้
คุณเชื่อสิ่งใดก็จะได้รับสิ่งนั้น ถ้าคุณมองแต่ปัญหาของตัวเอง, คุณก็จะพบว่ามันมีรากของความเชื่อที่ผิดพลาดและข้อจำกัด ดังนั้นหากคุณมีปัญหาเกี่ยวกับผลการเทรดของตัวเอง, ก็ให้ทดสอบความเชื่อของคุณเกี่ยวกับการซื้อขายนั้น ถ้าลึกลงไปคุณจะมีความรู้สึกเชิงลบเกี่ยวกับการซื้อขาย, หรือการทำเงิน, หรือคุณขาดความมั่นใจในระบบที่คุณกำลังติดตาม, หรือแม้แต่ตัวของคุณเอง ก็ให้หยุดการเทรดและกลับไปสืบหาว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ผมแน่ใจว่าใครก็ตามที่ถูกบังคับให้เทรดแบบการพนัน หากขาดทุนเป็นจำนวนมาก ก็จะกล่าวโทษตลาดและคนอื่นที่แนะนำหุ้นให้เขา, แต่ลึกลงไปถ้าพวกเขาวิเคราะห์ความเชื่อของตัวเองเกี่ยวกับการซื้อขาย ก็อาจจะยอมรับว่าพวกเขาเห็นว่าตลาดหุ้นเป็นคาสิโนขนาดใหญ่
หากความเชื่อของคุณเกี่ยวกับการทำเงินเป็นเชิงลบแล้ว, มันยังจะมีวิธีที่คุณสามารถคาดหวังที่จะทำเงินในหุ้นได้อีกหรือ?
ผมเคยได้ยินเรื่องของเทรดเดอร์เรียกใช้บัญชีในวงเงินสูงสุด เช่น $1 ล้าน, จากนั้นก็สูญเสียมันทั้งหมด พวกเขาได้ทำซ้ำหลายๆ ครั้งก่อนที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้รู้
โดยส่วนใหญ่, มักจะพบว่าบางคนฝังใจ+มีความเชื่อในเชิงลบเกี่ยวกับการทำเงินให้ได้มากๆ - ซึ่งส่งผลให้พวกเขากดปุ่มทำลายตัวเองไปโดยไม่รุ้ตัว
ดังนั้นคุณควรถามตัวเองว่า
ความเชื่อเกี่ยวกับการเทรดของคุณคืออะไร?
คุณได้พร่ำบอกว่าการเทรดเป็นเกมที่ไม่มีทางชนะใช่หรือไม่?
มันเป็นการพนันหรือเปล่า?
คุณไม่สามารถเอาชนะมันได้จริงหรือ?
การเกาะติดแนวโน้มไม่เวิร์คจริงหรือ ฯลฯ ...
คุณเชื่อสิ่งเหล่านี้มั้ย? ให้เขียนลงไปในสิ่งที่คุณเชื่อเกี่ยวกับการเทรด
ผลตอบแทนแบบไหนที่คุณคิดว่าเป็นไปได้?
เวลาและความพยายามมากแค่ไหนที่คุณเชื่อว่าต้องทุ่มเทไปในแต่ละวันเพื่อที่จะได้รับค่าใช้จ่ายรายวัน?
ตอนที่ผมเริ่มเทรดครั้งแรก, ผมรู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องทำงานชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าทุกวัน เพื่อตรวจสอบราคาอย่างต่อเนื่อง, โทรหาโบรคเกอร์, อ่านรายงาน, ฟังข่าว ฯลฯ .. ทำไม? เพราะผมเชื่อว่าผมต้องทำงานอย่างหนักเพื่อได้รับค่าจ้าง
มันใช้เวลานานที่จะสลัดความเชื่อที่ว่านั้นออกไปได้
หากคุณเชื่อว่ามันค่อนข้างง่ายที่จะทำกำไร 50% จากการลงทุนในตลาดหุ้นปีแล้วปีเล่าด้วยความเสี่ยงที่ต่ำมาก และใช้เวลาเพียงสิบนาทีต่อการทำงานหนึ่งวันเท่านั้น-มันสามารถเป็นไปได้ สิ่งที่คุณจะต้องทำงานต่อคือ-หาวิธีให้ได้ว่ามันควรจะทำแบบไหน
ในทางกลับกัน, หากคุณเชื่อว่าเพียงแค่การทำงานสิบนาทีต่อวันเพื่อค่าจ้าง. มันก็เป็นวิธีที่ขี้เกียจเกินที่จะประสบความสำเร็จ และคุณรู้สึกอึดอัดกับเรื่องนี้ แล้วคุณจะต้องคิดหาคำตอบในความขัดแย้งนี้ก่อนที่คุณจะสามารถได้รับการแก้โจทย์เหล่านั้น
ผมแนะนำให้คุณเลือกความเชื่อของคุณอย่างชาญฉลาด ในทุกปัญหาเกี่ยวกับการซื้อขายของคุณเป็นทั้งปัญหาและวิธีการแก้อยู่ในตัวของมันเอง เทรดเดอร์ระดับท็อปรู้เรื่องนี้ดีที่สุด
หากพวกเขาผ่านระยะเวลาของการขาดทุนที่ยาวนานได้, ก็จะเริ่มการวิเคราะห์ความเชื่อของตัวเอง เข้าไปสำรวจภายในใจ(ไม่ใช่นอกกาย)เพื่อหาคำตอบนั้น
คุณจะทำอย่างไรเพื่อพัฒนาความเชื่อในเชิงบวกของตัวเอง?
สำคัญที่สุดคือ คุณต้องใช้เวลาเพื่อกระบวนการนี้ให้มากที่สุด (โปรดดูบทก่อนหน้า.)
คุณจะต้องเริ่มต้นด้วยการยอมรับความรับผิดชอบทั้งหมดสำหรับทุกการเทรด
ต้องยินดีที่จะสละเวลาจำนวนมากเพื่อหาและการทดสอบระบบการเทรด
ส่วนที่เหลือจะมาจากประสบการณ์ คุณต้องใช้ประสบการณ์เป็นปีๆเพื่อที่จะพัฒนาความเชื่อ แต่ทำอย่างไรคุณถึงจะได้รับประสบการณ์การจากการเทรดล่ะ? ก็โดยการอยู่ในเกม การเทรดด้วยวงเงินที่เสี่ยงน้อยในช่วงเริ่มต้น-มันดูเหมือนว่าแทบจะไม่คุ้มค่าสำหรับเวลาเป็นปีเลยใช่มั้ย แต่ให้มองการเทรดเป็นงานที่คุณต้องทำต่อเนื่องไปถึง 20 ปี สิ กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียวหรอกนะ
VIDEO
นิสัยที่ 6:
มองการเทรดเป็นการทำคะแนน, ไม่ใช่การทำเงิน
ลืมเรื่องจำนวนเงินไปซะ มันดูแลตัวมันเองได้ สิ่งที่ต้องกังวลที่สุดก็คือ "คุณทำตามกฎได้ดีแค่ไหน"
จริงๆแล้ว, สิ่งที่ผมอยากบอกมากที่สุดก็คือ "แค่ทำตามกฎที่คุณมีความเชื่ออย่างสุดใจและลืมสิ่งอื่นให้หมด"
คุณจะทำเช่นนั้นได้ยังไง-ในเมื่อเราต้องใช้เงินในการซื้อขาย?
ลองจินตนาการดูสักนิดนะ, ลองแสร้งทำเป็นว่ามันไม่ได้เป็นเงิน มันเป็นเพียงแค่การเล่นเกม และยอดเงินในบัญชีของคุณหมายถึงคะแนน หยุดนับยอดเงินทุกๆเวลาที่ตลาดเคลื่อนที่ และไปโฟกัสที่การปฏิบัติตามกฎของคุณให้ราบรื่นที่สุด
เมื่อคุณสามารถทำงานในระดับนี้ได้, ไม่เพียงแต่ผลกำไรของคุณจะทะยานขึ้นไปในระยะยาว ความเครียดในขณะเทรดก็หมดไปด้วย
ถ้าทำแบบนี้ได้, คุณจะไม่มีความคิดที่ว่า "ว้าววว..ฉันทำเงินได้ขนาดซื้อรถใหม่ได้คันนึงเลยนะเนี่ย" หรือ "อ๊ากกซ์...เงินสำหรับเที่ยววันหยุดของฉันหมดไปแล้ว" ในขณะที่ราคากำลังแกว่ง
แต่เชื่อเถอะ-ไม่มีใครทำแบบนี้ได้สำเร็จหรอก
ผมเคยเป็นแบบนี้ในช่วงวันแรกๆ ผมจะจิตตกเมื่อเห็นตัวเองขาดทุน $500 และวันต่อมาผมกำไร $500 ก็จะมีชีวิตชีวาขึ้นมา แม้ว่าผมจะประสบความสำเร็จจากการเทรดด้วยวิธีนี้ก็ตาม, แต่ผมก็ไม่ได้มีความสุขกับมันนัก และจำเป็นต้องเลิกทำแบบนั้นไปในที่สุด
มาถึงตอนนี้, ด้วยระบบการซื้อขายที่มีความเสี่ยงต่ำแต่ผลตอบแทนสูงของผม, ผมจะใช้เวลาเพียง 5 นาทีเพื่อเช็คกราฟตอนสิ้นวัน และผมจะถามตัวเองว่า "ฉันควรจะซื้อ, ขายหรือถือ ตามกฎของฉัน" และผมจะให้เวลาตัวเอง 10 วินาทีเพื่อทำในสิ่งที่ควรทำ ผมไม่ได้เป็นเทรดเดอร์อีกต่อไป - แต่เป็นแค่ผู้ทำตามกฎ นั่นเป็นวิธีที่ผมรู้สึก (นี่คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงมีเวลาเขียนหนังสือได้อย่างมากมาย)
จากการได้อ่านหนังสือ Market Wizards I และ II, มีคุณลักษณะที่โดดเด่นที่ผมสังเกตเห็นในเทรดเดอร์ระดับท็อปทั้งหลายก็คือ พวกเขาไม่เคยเห็นตลาดหุ้นเป็นกล่องเงินสด แต่มันเป็นเพียงวิธีการทำธุรกิจเท่านั้น ชื่อของธุรกิจคือการปฏิบัติตามกฎและทำแต้ม
คุณจะกลายเป็นเทรดเดอร์ระดับท็อปไปไม่ได้, หากคุณมองทุกติ๊กเกอร์ในกระดานหุ้นเป็นยอดกำไรและขาดทุนในทุกๆช็อต
หากกำไรและขาดทุนทำให้คุณมีทุกข์และสุข อารมณ์ความรู้สึกก็เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือทำลายการเทรดของคุณให้ล้มไม่เป็นท่า ดังนั้นถ้าคุณอยากจะเป็นผู้ชนะ, คุณก็ต้องกำจัดอารมณ์จากการเทรดให้ได้
แล้วจะทำยังไงล่ะ? มันง่ายมาก, คุณก็แค่ "ทำตามกฎ"
แล้วจะทำตามกฎได้ยังไง?
ก็ทำให้มันเป็นองค์ประกอบที่สำคัญสุดของการเทรดของคุณน่ะสิ
จงลืมเรื่องจำนวนเงินไปซะ มันดูแลตัวมันเองได้ สิ่งที่ต้องกังวลที่สุดก็คือ "คุณทำตามกฎได้ดีแค่ไหน"
ถ้าคุณอยากอ่านหนังสือสักเล่มเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นแล้ว ผมอยากให้คุณอ่าน: "How I Made $2 million" โดย Nicolas Darvas
ผมรักหนังสือเล่มนี้มาก, เพราะเมื่อคุณอ่านมันหลายๆครั้งอย่างผม (50 ครั้งเป็นอย่างน้อย) คุณจะเริ่มตระหนักถึงวิธีการที่ดีผู้ชายคนนี้เปลี่ยนการเทรดของเขา, จากเทรดเดอร์ที่จิดตกเพราะขาดทุน ไปเป็น หุ่นยนต์, ระเบียบวินัย, เครื่องทำเงิน, การแพร่พันธุ์, หุ่นยนต์
อะไรที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ นอกเหนือไปจากการรับผิดชอบอย่างเต็มเปี่ยม, พัฒนาระบบที่เหมาะกับแผนของเขา, การวางแผนการเทรดและวางรากฐานทางความรู้อย่างแน่นหนา
เหตุผลที่แท้จริงที่เขาทำเงินได้อย่างมากมาย-ก็คือเขาไม่เคยมองเงินในความหมายแบบคนทั่วไป เขามีชุดของกฎและเมื่อมันส่งสัญญาณซื้อ, เขาก็วางเงินไปตามสัดส่วนที่แผนเอาไว้
มันจึงไม่แตกต่างระหว่าง $5,000 หรือ $500,000 มันเหมือนกันทั้งหมดสำหรับเขา เขาแค่หยุดนับเงินและปฏิบัติตามกฎของเขาอย่างไม่มีข้อแม้
ผมอยากอธิบายเนื้อหาที่มีผลกระทบอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการซื้อขายของผม
....มีครั้งหนึ่ง Darvas ใช้เงิน $350,000 ซื้อหุ้นตัวนึงที่ราคา $53 1/2 จากนั้นมันก็วิ่งขึ้นไปสูงกว่า $100 และนายหน้าของเขา ก็ส่งโทรเลขมาหาด้วยข้อความว่า: "ตอนนี้คุณทำกำไรได้ $250,000 แล้วนะ" ตอนนั้น Darvas เริ่มตระหนักว่าในขณะนั้นเขาเริ่มยุ่งเกินกว่าที่จะทำตามกฎของเขาแล้ว เริ่มลืมทุกอย่างเกี่ยวกับแผนการสร้างผลกำไรที่เคยเขียนเอาไว้ก่อนหน้านี้ ตอนที่ได้รับโทรเลข, ก็รู้ว่าถ้าขายหุ้นออกมาในทันทีนั้น เขาก็จะกลายเป็นเศรษฐีทันที (ตอนนั้นคือปี 1950) ดังนั้น, ทุกส่วนร่างกายของเขาบอกว่า "ขายมันซะ! ทิ้งกฎ และเอากำไรออกมา"
โชคดีที่ก่อนจะตัดสินใจ, เขาใช้เวลาเดินไปรอบๆ ปารีส เพื่อคิดหาข้อสรุปว่าจะทำอย่างไร ขณะนั้นก็ผุดคำถามเหล่านี้วนเวียนขึ้นมาในหัว เช่น ถ้าหุ้นตกจะทำยังไง? ฉันควรจะขายเพื่อให้แน่ใจว่าได้กำไรที่แน่นอนดีกว่ามั้ย? ฉันจะทำลายกฎครั้งนี้เพียงครั้งเดียวได้มั้ย?
แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ขาย และยึดติดกับกฎของตัวเอง ซึ่งมันทำได้ง่ายมาก และเขาก็พิสูจน์ได้ว่าคิดถูก ในสัปดาห์ถัดๆไปราคาหุ้นยังคงเพิ่มขึ้น นั่นทำให้เขามั่นใจในการยึดมั่นต่อกฎ อันจะช่วยให้เขาทำกำไรได้มากขึ้น.......
ถ้าเขามัวแต่เช็คยอดเงินที่ได้จากการเทรดทุกๆวัน, ผมเดาได้เลยว่า Darvas จะไม่มีทางถือหุ้นได้ยาวนานขนาดนี้
การได้อ่านเรื่องราวแบบนี้ถือเป็นสิ่งที่เลอค่ามากสำหรับผม
จากวันนั้นถึงวันนี้, เมื่อผมเข้าเทรดและรู้สึกอยากเลี่ยงกฎ โดยบอกตัวเองว่า "แค่ครั้งเดียวเองน่า" แต่เพราะผมได้รับบทเรียนมามากพอที่จะเข้าใจว่า ผมไม่ควรแหกกฎแม้แต่ครั้งเดียว ผมได้เรียนรู้สิ่งนี้จากการเปลี่ยนมุมมองจากตัวเงินให้เห็นในรูปของแต้มคะแนนแทน
อะไรที่แยกว่าใครเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้?
มันไม่ใช่ความรู้อย่างแน่นอน
ผมเชื่อว่าสิ่งที่แยกผู้ชนะออกจากผู้แพ้อย่างแท้จริงก็คือ
ความสามารถในการปฏิบัติตามกฎของคุณ โดยไม่มีข้อยกเว้น,
โดยไม่คำนึงถึงสภาพการณ์
.............แต่ก็มีเทรดเดอร์น้อยคนมากที่มีวินัยในการทำเช่นนี้
VIDEO
นิสัยที่ 7
ให้การเทรดให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่สมดุล
การเทรดเป็นอาชีพที่เครียดมาก, ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ตาม เมื่อใครสักคนต้องเผชิญกับการได้กำไรและขาดทุน ด้วยการรับรู้ของเขาเองจะทำให้เกิดความเครียดได้อย่างมหาศาล คุณต้องทำทุกอย่างเพื่อขจัดความเครียดอย่างสุดความสามารถ
ผมไม่เคยพบหรือได้ยินว่าเทรดเดอร์ประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ด้วยความเครียดสูง ในความเป็นจริงมันตรงข้ามกันเลย ส่วนใหญ่ที่ผมได้พูดคุยด้วย,
จะเป็นคนที่ผ่อนคลายและมั่นใจ ผมคิดว่านี่คือสิ่งแรกที่ทำให้พวกเขาประสบความ สำเร็จได้
จากที่ผมอ่าน Market Wizards' (เขียนโดย Jack Swager) เขาบอกว่า หนึ่งในปัจจัยร่วมที่เทรดเดอร์ชั้นยอดมี, ก็คือความสามารถในการตัดการเชื่อมโยงระหว่างตัวเองกับตลาด พวกเขาเหมือนจะไม่ค่อยแยแสกับหุ้นที่เขาถืออยู่เลยด้วยซ้ำ คิดดูสิว่า, พวกเขาเหล่านี้เทรดด้วยเงินนับร้อยล้านเหรียญในแต่ละครั้งเลยนะ ขณะที่เทรดเดอร์ที่ผมรู้จักเป็นส่วนใหญ่จะตื่นเต้นมากเมื่อต้องถือหุ้นแค่เพียงสองสามร้อยดอลลาร์
ผมรู้ว่าผลการเทรดของตัวเองจะได้กำไรมหาศาล เมื่อผมไม่เสียเวลาไปกับ ความพยายามที่จะควบคุมตลาด
การควบคุมตลาดที่ว่านี้, มันหมายถึงการจ้องมองราคาและดูกราฟตลอดเวลานั่นแหละครับ ผมเอาเวลาไปเรียนเทนนิส, วิ่ง, อ่านหนังสือ, เขียนหนังสือ กระทั่งทำธุรกิจอื่น ๆ เพียงเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องใช้เวลาไปโฟกัสตลาดทั้งวัน เหล่านี้ไม่เพียงแต่ปรับปรุงผลการเทรดได้อย่างมาก แต่มันยังยกระดับคุณภาพชีวิตของผมด้วย
เทรดเดอร์ระดับท็อปสามารถทำใจให้เย็นในสถานการณ์ที่เสี่ยงสูงได้ยังไง?
ลองทบทวนหนังสือเล่มนี้อีกครั้ง:
1) พวกเขาตัดสินใจมานานแล้วที่จะรับผิดชอบและรู้ว่าจะทำยังไง
2) พวกเขามีระบบที่เหมาะกับพวกเขา
3) พวกเขาวางแผนการเทรดด้วยรายละเอียดที่ชัดเจนกันทุกคน (แต่คุณจะไม่ทำมันเหรอ, ถ้าคุณต้องถือหุ้นมูลค่า $50 ล้าน?) ที่สำคัญกว่านั้นคือ, เมื่อมีเหตุการณ์ที่ต้องตัดสินใจเกิดขึ้นมา, พวกเขาต้องทำปฏิบัติตามกฎ
4) พวกเขาได้วางรากฐานอย่างเป็นระบบและทำอย่าต่อเนื่อง
5) พวกเขามีความมั่นใจทั้งในระบบที่ต้องทำตามและทักษะของตนเองในการดำเนินการได้อย่างไม่มีที่ติ
6) พวกเขามองการเทรดเป็นเกมในที่ใช้การนับคะแนนและหยุดนับเงินมานานแล้ว เทรดเดอร์ชั้นนำส่วนใหญ่จะรวยมาก ดังนั้นหากพวกเขาเทรดแล้วไม่รู้สึกสนุก (และชนะ) พวกเขาก็แค่ออกจากการเทรดนั้น
7) ในที่สุดพวกเขาเรียนรู้มานานแล้วว่า พวกเขาไม่สามารถควบคุมตลาดได้ การนั่งเฝ้าจอราคาและซื้อหุ้นตามคำแนะนำของ "กูรู" เป็นระบบที่มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง
ท็อปเทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะไม่ให้ชีวิตยุ่งเกี่ยวกับการเทรดมากนัก พวกเขาจะคิดถึงความสมดุลของชีวิตเป็นหลัก
การเทรดก็ไม่แตกต่างจากด้านอื่น ๆ ของชีวิต ถ้าคุณโฟกัสอยู่กับการเทรดมากเกินไป คุณก็จะเกิดอารมณ์ความเครียด ซึ่งนอกจากจะทำร้ายผลการเทรดแล้ว มันอาจจะเข้ามาทำลายตัวคุณได้เช่นกัน
แม้ว่าเส้นทางของคุณคือการทำเงินล้านจากตลาด, แต่จะมันคุ้มค่ากับทุกสิ่งที่คุณจ่ายไปหรือเปล่า? แน่นอนมันเป็นการเดินทางที่มีความสำคัญและมันก็ไม่ไช่แค่เรื่องของการเดินทางไปให้ถึงจุดหมายเท่านั้น, ยังมีอะไรอยู่ในระหว่างการเดินทางอีกเยอะที่คุณต้องใส่ใจ
เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในการเทรด, คุณต้องการจะมีเวลาพักเพื่อชาร์ตแบตเตอรี่และได้รับมุมมองบางอย่างเพิ่มเติม
ผมจำได้ว่าช่วงปีแรกๆ ในการเล่นหุ้นในตลาด ผมจะใช้เวลาทุกวัน, ทุกคืน, วันหยุดสุดสัปดาห์เพื่ออ่าน, ศึกษา, ดูกราฟ, พยายามหาระบบใหม่ๆ ฯลฯ ....
…..พูดตรงๆเลยนะ, ผมไม่ต้องการให้ทุกคนทำแบบนี้
ใช่, ผมได้เรียนรู้มาก, แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมประสบความสำเร็จได้เร็วอย่างใจ (ผมใช้เวลาถึง 5 ปี)
แต่ถ้าผมสามารถย้อนเวลากลับไปได้ หรือให้คำแนะนำกับเทรดเดอร์มือใหม่, ผมจะทำให้ชีวิตของผมสมดุลมากขึ้น และบอกกับพวกเขาว่า
"เวลาทำงานก็ทำให้เต็มที่ เวลาพักก็สนุกให้สุดเหวี่ยง"
ปฏิบัติต่อการเทรดให้เหมือนธุรกิจอื่น ๆ ควรทำงานอย่างหนัก ตั้งแต่ 9 โมงเช้า -5 โมงเย็นก็พอ จากนั้นก็ปิดจอและมีชีวิตตามแบบของคุณ
บางส่วนของการเทรดที่ดีที่สุดของผมมาจากการวางคำสั่งซื้อในตลาดและการตั้งค่า Stop loss ไว้กับโบรกเกอร์ ออกไปเที่ยวเป็นเดือน โดยไม่มองราคาหุ้นเลย พอกลับบ้านก็พบว่ามันมีกำไรเพิ่มขึ้น 40% คุณเชื่อมั้ย, ว่าวิธีการเทรดที่ง่ายแบบนี้มันสร้างความประหลาดใจให้ผมมาโดยตลอด
การเทรดสามารถทำลายคุณ, ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองสามารถควบคุมตลาดได้ การตรวจสอบราคาแค่สี่ครั้งต่อวันจะทำให้คุณทำงานได้ดีขึ้น แต่การเฝ้าจอตลอดเวลา-เป็นการเสียเวลาอย่างแท้จริง และมันจะพาคุณไปทำอะไรโง่ ๆ ได้อีกด้วย
ตราบใดที่คุณวางแผนระบบของคุณและปฏิบัติตามกฎเหล่านั้น, ทำไมคุณจะเคยต้องคอยเช็คราคาระหว่างวัน ใช้เวลาอย่างชาญฉลาดบ้างสิ และการทำแบบนี้,คุณจะมีเวลาว่างมากขึ้น
การซื้อขายหุ้นเป็นวิธีการทำเงินให้ได้เป็นจำนวนมากด้วยกระบวนการที่แปลกๆ เราถูกทำให้เชื่อว่าหากต้องการเงินใช้ในแต่ละวัน คุณต้องตั้งใจทำงานให้สมกัน แต่ถ้าคุณซื้อหุ้นด้วยเงิน $50,000 ในราคาหุ้นละ $ 50 และขายมันในอีก 1 ปีต่อมาที่ $200 คุณทำกำไรได้ถึง $150,000 ซึ่งน่าอัศจรรย์มาก เพราะคุณแค่ใช้เวลาเพียง 30 นาทีในกระบวนการเตรียมและเทรด จากนั้นก็หมั่นตรวจสอบราคาโดยใช้เวลาแค่ 1 นาทีทุกวันและทำตามกฎของคุณ
ยังจะมีอะไรที่ต้องทำนอกจากนี้อีกหรือ? แต่คนส่วนใหญ่จะมีปัญหา-คือคิดว่าต้องทำงานให้หนักเท่านั้นถึงจะได้เงินเยอะๆ ผมมั่นใจว่าเมื่อหุ้นวิ่งขึ้นไปถึง $70 เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ก็แย่งกันขายเอากำไรมากอดกันหมดแล้ว เมื่อได้กำไรตัวนี้-พวกเขาก็เอากำไรที่เพิ่งได้-ไปขาดทุนกับตัวอื่น ดังนั้น, จะมีแต่เทรดเดอร์ที่มีการจัดสมดุลทางชีวิตและเวลาที่ฉลาดเท่านั้นที่จะทำเงินก้อนใหญ่ได้อย่างสม่ำเสมอ
จึงอยากให้มองภาพรวมเอาไว้ ตระหนักว่าคุณไม่สามารถควบคุมราคาได้
หากคุณพบว่าตัวเอง "คันไม้คันมือ" อยากทำงานมากขึ้น ก็ให้ไปทำเรื่องที่ห่างๆจากตลาดหุ้นไปเลย อย่าพยายามเทรดเพื่อให้ได้เงินและความตื่นเต้นที่มากขึ้น ถ้าคุณทำเช่นนี้, แสดงว่าคุณกำลังบังคับให้ตลาดทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
การเทรดที่ประสบความสำเร็จและทำกำไร ก็คือ:
* น่าเบื่อ
* ไม่ต้องพยายามมาก
* ง่าย
* ปราศจากความเครียด
(บทสรุป)
ผมวางโครงสร้างหนังสือในลักษณะนี้เพื่อให้เทรดเดอร์ (หรือคนที่ต้องการจะเป็นเทรดเดอร์) ได้รับพื้นฐานทั้งหมดสำหรับการเทรดที่ประสบความสำเร็จ
ผมหมายถึงว่ามันยังมีข้อมูลที่เป็นเท็จอื่นๆอีกมาก เกิดขึ้นทุกวัน จึงยากที่จะเชื่อใครหรือสิ่งไหนดี
ก่อนอื่นต้องถามตัวคุณเอง
คำถามที่ 1) "ฉันจะกลายเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ ที่มีเวลาว่างมาก และมีชีวิตที่สมดุลมากขึ้น ได้อย่างไร? "
ตอบ: มองการเทรดให้เป็นเกมการแข่งขัน ในรูปแบบของแต้ม และไม่ได้มุ่งเน้นไปที่จำนวนเงิน
คำถามที่ 2) "ฉันจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร? "
ตอบ: มีความเชื่อในตัวเองอย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่แค่ระบบของตนเท่านั้น แต่ต้องเชื่อในตัวคุณเองด้วย
คำถามที่ 3) "ฉันจะไปถึงจุดนี้ได้อย่างไร? "
ตอบ: สร้างพื้นฐานบนระบบของคุณและตัวคุณเอง พัฒนาไปเรื่อยๆเพื่อให้เข้าไกล้ความสมบูรณ์แบบ
คำถามที่ 4) "ฉันควรจะทำงานแบบไหน? "
ตอบ: วางแผนสำหรับทุกเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอนในทุกการเทรด และที่สำคัญกว่านั้นคือมีวินัยในการปฏิบัติตามแผนโดยไม่มีข้อแม้
คำถามที่ 5) "ฉันจะวางแผนการเทรดและพัฒนาความเชื่อมั่นในแผนนั้นได้อย่างไร? "
ตอบ: เริ่มต้นจากความผิดพลาดของคุณ แล้วสร้างระบบที่ปิดข้อผิดพลาดนั้นและมันต้องเหมาะกับบุคลิกคุณด้วย หรืออาจจะหาระบบที่ประสบความสำเร็จแล้วแถมยังเหมาะสมกับบุคลิกของคุณด้วย ก็ได้
ผมหวังว่าจากการอ่าน "7 Habits of a Highly Successful Trader" คุณจะเห็นอะไรที่มากกว่า "ประโยคน่าเบื่อ" ที่ว่า:
"Let your profits run"
"ตัดขาดทุน"
"ปฏิบัติตามกฎของคุณ"
ถึงกระนั้น,......
ผมก็เชื่อว่าผู้อ่านส่วนใหญ่ที่อ่านมาจนถึงหน้านี้ ก็ยังมิวายมีความคิดแบบนี้อยู่:
“การเทรดให้ได้กำไรมันดูเหมือนง่ายมาก แต่ก็มีความยากมากกว่านะ”
ผมอยากจะอธิบายให้เข้าใจแบบนี้:
มันจะเป็นเรื่องที่ง่ายมาก, ในกรณีที่คุณสามารถพัฒนาระบบที่เหมาะกับบุคลิกภาพของคุณ และมีวินัยในการปฏิบัติตามมัน นั่นคือทั้งหมดที่คุณต้องการเพื่อที่จะเป็นผู้ชนะ
แต่กระนั้นคุณก็อยากจะแย้งว่า, “ยังมีคนอีก 95% ที่พยายามเทรดให้ตายยังไงก็ยังขาดทุน! ดังนั้นจึงไม่อาจบอกได้ว่ามันง่ายได้หรอก!”
ผมขอตอบว่า, ที่คนส่วนใหญ่ขาดทุนก็เพราะพวกเขาทำสิ่ง(ที่ผมว่ามันง่ายนั้น)ไม่ถูกต้อง คือ....พวกเขาไม่ได้มีการวางแผน, ไม่มีระบบ, คิดแต่จะขอเคล็ดลับจากคนอื่น และไม่เคยไฝ่รู้วิธีการที่จะเทรดให้ประสบความสำเร็จเลย
เช่นเดียวกับอาชีพอื่นๆ เทรดเดอร์บางคนสามารถปรับตัวได้เร็วกว่าเพื่อนก็สามารถสำเร็จได้ไวกว่า แต่ผมมั่นใจว่า ใครก็ตามที่ "กระสันอยาก" จะเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จจริงๆ ในที่สุดแล้วเขาจะสามารถทำมันได้แน่นอน
ถ้าคุณมีความอดทนในการอ่านหนังสือของผมได้จนจบ แล้วไปเทรดตามแนวทางนี้ อีกทั้งสามารถทนรวยได้ ผมขอแสดงความยินดีที่คุณมีความพยายามมากกว่าคนอีก 95% ที่เหลือ และจะกลายเป็นหนึ่งใน “เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง” ได้แน่นอน