4 Trading Fears and How to Overcome Them
แปลจาก moneyshow.com
สำหรับในโลกของการเทรด, ไม่ว่าจะเป็น นักเทรด, นักลงทุน, คนทำราคา มักจะมีความกลัวอยู่ในใจไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะมาจากการอ่านข่าว สภาพตลาดที่เจอการขายหนักๆ เหล่านี้ล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความกลัวขึ้นมาในใจของพวกเรา
แต่กุญแจไปสู่ความสำเร็จ, ให้ได้กำไรอย่างสม่ำเสมอ ในทุกๆตลาด ทุกการเทรด เราต้องกล้าเผชิญหน้ากับความกลัว แม้จะเทรดด้วยความกลัวก็ต้องกล้าทำ ซึ่งถ้าอยากให้การเทรดที่มีประสิทธิภาพ สิ่งที่มืออาชีพเขาทำกันก็คือ เตรียมตัวเพื่อรับมือกับความกลัว ไม่ใช่หลบหนีไปให้ไกล
Mark Douglas ผู้เขียนหนังสือ Trading in the zone ได้ระบุความเห็นเกี่ยวกับความกลัวไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า "นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่าพวกเขารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต ตรงนี้แหละที่มันเป็นสาเหตุให้พวกเขากล้าทุ่มกับการเทรดครั้งล่าสุดเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองถูก
ในขณะเดียวกันนั้น พวกเขาก็มองข้ามการประเมินประสิทธิผลของตัวเองผ่านรูปแบบของเกมของความน่าจะเป็น(คือเชื่อว่าตัวเองต้องชนะ โดยไม่ได้เผื่อใจว่าอะไนก็เกิดขึ้นได้) ซึ่งพวกเขาทำมาโดยตลอดแท้ๆ เมื่อพวกเขาไม่อยู่ในเกมที่ควรจะเป็น หากเกิดความผิดพลาดไปจากที่คาดหวังไว้ มันก็จะทำให้พวกเขาตัดสินใจด้วยอารมณ์(เพราะทุ่มเยอะ คาดหวังสูงเกินไป) ผสมไปด้วยความกลัว แต่ถ้าพวกเขาชนะ ก็จะสร้างความโลภให้พวกเขาอยากได้มากขึ้น
เมื่อพวกเขาได้ทุ่มเงินมากขึ้น สภาพจิตที่ใช้มองกระบวนการเทรดและการตามความเคลื่อนไหวของราคาจะเปลี่ยนไป ระดับของความกลัวจะเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ เกิดความลังเลและระมัดระวังมากขึ้น ความกดดันก็เพิ่มขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองต้องเกิดความผิดพลาด
อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นว่า เทรดเดอร์ทุกคนล้วนมีความกลัว เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่อาจเป็นอันตราย, โดยปกติแล้วสัญชาติญาณตอบโต้คือ สู้ หรือไม่ก็ หนี ซึ่งถ้าหากเรามีการเตรียมตัวที่ดี ก็สามารถรับมือกับการคุกคามนั้นว่าจะเลือกสู้หรือหนีจากอันตรายนั้น
เมื่อนักเทรดตีความสถานะที่กำลังปลุกเร้าอารมณ์ในเชิงลบ เช่น กลัว หรือ เครียด ประสิทธิภาพของการทำงานจะลดลงทันที และในที่สุดมันก็จะส่งผลให้เกิดการชะงักหรือสตันท์ไปชั่วขณะ
ความหวาดกลัวในการเทรด มีอยู่ ๔ เรื่องใหญ่ๆ เดี๋ยวเรามาดูและหาทางแก้ไขไปด้วยกัน
๑) กลัวขาดทุน
ถ้าเกิดความกลัวขาดทุนขึ้นแล้ว มันจะส่งผลกระทบต่อเนื่องหลายอย่าง หากคุณกลัวขาดทุนก็จะมีแนวโน้มที่จะมีความลังเลในการลงมือกระทำตามกลยุทธ์ที่ตัวเองได้วางไว้ ในที่สุดมันก็จะผลักดันให้คุณไม่กล้าเข้าซื้อหรือขายออกตามแผน ซึ่งมันเกิดจากความไม่มั่นใจในกลยุทธ์, หรือที่สำคัญกว่านั้นคือความสามารถในหารตัดสินใจลงมือทำตามแผนในอนาคตจะไม่มั่นคงเหมือนเดิมอีกต่อไป
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณสงสัยว่าตัวเองจะยังสามารถขายหุ้นออกเมื่อราคาวิ่งไปถึงโซนที่กำนดไว้ในแผนได้หรือไม่, แต่ในขณะเดียวกัน-กลไกการปกป้องตัวเองมันกลับแย้งว่าคุณไม่ควรทำตาม ช่วงนี้แหละที่จะทำให้คุณเกิดอาการชะงักชั่วขณะ ส่งผลให้ไม่สามารถลงมือทำได้ทันท่วงที สิ่งที่จะตามมาก็คือความเสียหายที่รุนแรงมากกว่าเดิม
ทำไมกลไกการป้องกันตัว มันออกโรงมาขัดขวางการขายหุ้นออกเพื่อลดความสูญเสีย? นั่นเป็นเพราะว่ามันรู้สึกว่า ไม่อาจทนรับความเจ็บปวดจากการขาดทุนครั้งนี้ได้ จึงอยากจะประวิงเวลาให้ยอมทนขาดทุนไปก่อน โดยคาดหวังว่าในอนาคตราคาจะดีดกลับไปคืนทุนแล้วค่อยขาย
ไม่มีใครชอบการขาดทุน แต่ความจริงก็คือ แม้แต่มืออาชีพที่เก่งที่สุดก็ยังขาดทุน แต่ที่พวกเขายังสามารถยืนหยัดในตลาด ทำเงินได้อย่างสม่ำเสมอก็เพราะเขารีบตัดขาดทุนให้ไวที่สุด ทำให้เกิดการสูญเสียน้อยมาก ซึ่งมันจะช่วยให้เงินทุนของพวกเขายังอยู่ สภาพจิตก็ยังสมบูรณ์ สามารถอยู่ในเกมได้ยาวนาน
คือนักเทคนิคอลอย่างพวกเรา มักจะโฟกัสไปที่จังหวะการเข้าซื้อที่ดี เราต้องการเป็น market timer แต่ปัญหาคือความรู้ในเชิงการระบุจังหวะมันไม่พอ ถ้าหากคุณไม่สามารถควบคุมสภาพจิตใจของตัวเองไม่ให้กลัวขาดทุนได้ ดังนั้นมันจึงต้องอาศัยประสบการณ์จากการเรียนรู้ เมื่อคุณมีทั้งความสามารถในการจับจังหวะตลาดได้โดยปราศจากความกลัวได้ ผลการเทรดของคุณก็จะดีขึ้นแน่นอน
ดังนั้น ถ้าคุณพบว่าตัวเองมีปัญหาในการลงมือทำตามแผน ก็ให้กลับมาทบทวนตัวเองดูอีกทีว่า คุณกำลังกังวลเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการเทรดมากเกินกว่าการลงมือทำตามระบบหรือไม่
ด้วยการทำตามกลยุทธ์โดยปราศจากความรู้สึกได้ ไม่ว่าจะต้องซื้อหรือขาย คุณก็ทำตามได้แบบไม่มีข้อโต้แย้ง มันก็จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่เกิดจากความกลัวได้
นักเทรดผู้มั่งคั่งได้เรียนรู้มานานแล้วว่า การดำเนินการตามกลยุทธ์โดยปราศจากอารมณ์นั้น มันสามารถช่วยป้องกันการขาดทุนอันเกิดจากการใช้อารมณ์ในขณะเทรดได้ เพราะเขารู้กว่ากลยุทธ์มันใช้การได้ดีอยู่แล้ว พวกเขาก็แค่กันไม่ให้ความกลัวเข้ามารบกวนการเทรดของตัวเองเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
และต้องจำไว้ว่า คุณสามารถขาดทุนได้ พิจารณาให้มันเป็นส่วนหนึ่งของการเทรด ถ้าคุณไม่สามารถทำได้, คุณก็ไม่อาจได้กำไรก้อนใหญ่เนื่องจากคุณจะมัวกังวลแต่เรื่องของการตั้งการ์ดวิตกว่าตัวเองต้องขาดทุนอยู่ตลอดเวลา
และโปรดจำไว้ว่า กลยุทธ์การเทรดที่ดีต้องออกมาเพื่อป้องกันการขาดทุนเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว (คงไม่มีใครตั้งจุด stop loss ที่ 50% หรอกนะ ส่วนใหญ่ก็แค่ 5%-10% เท่านั้น) ท่านก็ต้องยอมรับว่าในทุกการเทรดล้วนแต่มีโกาสขาดทุน จงทำใจให้ชินกับมัน ขาดทุนก็ตัดขายตามระบบไป รักษาเงินก้อนใหญ่เอาไว้เทรดในโอกาสใหม่ต่อไป เมื่อทุกอย่างเป็นใจ คุณสามารถเกาะแนวโน้มรอบใหญ่ได้ เมื่อนั้นคุณก็สามารถทำเงินก้อนใหญ่มาคืนส่วนที่ต้องตัดขาดทุนเล็กๆน้อยๆได้หมด
๒) กลัวตกรถ(FOMO)
ทุกๆการเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้ม มักจะต้องมีคนระแวง ในช่วงที่แนวโน้มกำลังก่อตัวจนเริ่มมีความชัดเจ คนที่เคยระแวงก็เริ่มมีการเปลี่ยนใจกลับเข้ามาไล่ซื้อ(เกิดอาการ FOMO หรือ Fear of Missing Out) กลัวตกรถ กลัวไม่ได้กำไร หรือแม้กระทั่งกลัวเจ็บปวดจากการขาดทุนจากการเดิมพันกับแนวโน้มดังกล่าว
ความกลัวตกรถยังสามารถแสดงออกผ่านคาแร็คเตอร์ของความโลภที่แปลก นั่นคือ มันทำให้นักลงทุนที่ไม่เคยให้ความสนใจ ไม่เคยทำการวิเคราะห์ หรือทำการบ้านหุ้นตัวนั้นเลย มาให้ความสนใจและไล่ซื้ออย่างไม่น่าเชื่อ
โดยอาการ FOMO ที่เป็นกับนักลงทุนจำนวนมากโดยเฉพาะหน้าใหม่ก็มักจะเกิดในช่วงที่ตลาดอยู่ในช่วงฟองสบู่สุดขีด เนื่องจากพวกเขาได้ยินเพื่อนๆพูดถึงกำไรที่ได้มาหมาดๆ จึงทำให้คนนั้นต้องรีบตาลีตาเหลือกไล่ซื้อตาม เพื่อให้ตัวเองได้ประสบกับความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจแบบนั้นบ้าง
เมื่อใดก็ตามที่คุณตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ก็จงระลึกเอาไว้ว่านั่นเป็นสถานการณ์อันตรายมาก ยิ่งถ้าคุณพูดกับตัวเองว่า "อยากได้มาก ขอราคาเท่าไหร่ก็ได้ ฉันยอมจ่าย" แบบนี้ล่ะก็ แววขาดทุนหนักมันชัดเจนมาก
ผลกระทบของ FOMO คือมันทำให้ท่านไม่สนใจความเสี่ยงอีกต่อไป คุณโฟกัสไปที่กำไรเท่านั้น เมื่อคุณโอหังถึงขนาดคิดได้ว่าไม่มีเหตุผลที่คุณจะไม่ได้กำไร นั่นแหละครับ แววเจ๊งเด่นชัดเอามากๆ
๓) กลัวปล่อยกำไรให้กลายเป็นขาดทุน
ไม่น่าเชื่อว่านักเทรดส่วนมากชอบทำสิ่งที่ตรงข้ามกับการเทรดที่ถูกต้องคือ "รีบตัดขาดทุนให้ไว และ ปล่อยตัวกำไรให้เติบโต" โดยพวกเขากลับชอบ "รีบขายตัวที่กำไร ปล่อยให้ขาดทุนลุกลาม"
ทำไมมันเป็นเช่นนั้น? เพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากกว่ามูลค่าน่ะสิ พูดง่ายคือการที่เขารีบขายตัวที่กำไรออกก็เพราะว่าต้องการรับประกันว่าตัวเองเป็นผู้ชนะบ้าง
พอจะมีวิธีแก้บ้างมั้ย?
คุณต้องเทรดตามแนวโน้มสิ เมื่อได้หุ้นที่มีแนวโน้มขาขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นเทรนด์ คุณก็ทนรวยต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีหลักฐานที่ชัดเจนว่าแนวโน้มมันจบแล้ว จึงค่อยขายออก
แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่า แนวคิดนี้ไม่ได้การันตีว่าคุณจะกำไรทุกครั้งหรอกนะ มันก็มีสัญญาณผิดพลาดในช่วงที่เราคิดว่ามันเป็นต้นเทรนด์แล้วเข้าซื้อตามระบบ แต่เมื่อมันเป็นสัญญาณหลอก ท่านก็แค่ขายออกมา ให้ขาดทุนน้อยที่สุด
นั่นหมายความว่า การเทรดแนวนี้มันมีทั้งสำเร็จและล้มเหลวปะปนกัน แต่ถ้าท่านเจอหุ้นที่เป็นขาขึ้นแข็งแรงจริง ท่านก็จะได้กินกำไรคำใหญ่(หากท่านสนใจแนวทางนี้ สามารถซื้อหนังสือ หุ้นขาขึ้นรอบใหญ่ กับ หุ้นซิ่งสวิงเทรด มาอ่านได้ครับ ติดต่อเพจ zyobooks : facebook.com/zyobooks) แต่เนื่องจากเราก็ไม่รู้ว่าตัวไหมันจะขึ้นจริงหรือแค่หลอก(เราเดาอนาคตไม่ได้) ก็ต้องเทรดทุกตัวที่คิดว่าน่าจะใช่ แล้วค่อยๆคัดตัวที่ล้มเหลวออก
ในการเทรดแนวทางนี้, คุณต้องอนุญาติและยอมรับว่ามันต้องมีการพักตัวในช่วงสั้นๆ เพราะเป้าหมายของเราคือหวังกำไรก้อนใหญ่ ตราบใดที่มันยังแกว่งในแนวโน้มขาขึ้นก็ต้องทนถือต่อไปเรื่อยๆ เราจะไม่พยายามรีบขายไวจนเกินไป แต่จะรอให้มันแสดงออกว่าไปไม่ไหวจึงขายออก
ด้วยวิธีนี้ เราจะได้ผลประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของราคาอย่างเป็นกอบเป็นกำตามที่ตลาดเขามอบให้ และเราก็ไม่ต้องไปมัวกังวลกับการที่ต้องคอยล็อกกำไร รอขายครั้งเดียวเมื่อตลาดส่งสัญญาณว่าไปต่อไม่ได้อีก
๔) กลัวเป็นคนผิด
มีนักเทรดจำนวนมากที่ให้ความสำคัญต่อการพิสูจน์ว่าตัวเองวิเคราะห์ตลาดได้ถูกต้องในทุกๆการเทรด ซึ่งมันเป็นสิ่งตรงข้ามกับการเทรดที่แท้จริง เพราะมันคือการซื้อขายในเกมของความน่าจะเป็น โดยผลของการเทรดจะมีทั้งถูกและผิด กำไรและขาดทุนปะปนกันไป
การให้ความปรารถนาที่จะเป็นฝ่ายถูกมีอำนาจเหนือความต้องการทำเงินถือเป็นอีโก้ของเทรดเดอร์คนนั้น ซึ่งผลของการคิดแบบนี้มักจะต้องลงเอยด้วยการขาดทุนเงินก้อนใหญ่
ถ้าหากท่านอยากประสบความสำเร็จในการเทรด ก็ต้องละทิ้งอีโก้ไว้ข้างหลังเสีย
อีโก้จะทำให้คุณรีบขายไวเกินไปเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ แต่จะไม่ยอมขายขาดทุน ยอมทนรอให้ราคากลับขึ้นมาเท่าทุนก่อนค่อยขายออก
เมื่อใดก็ตามที่คุณพยายามทำให้ตัวเองสมบูรณ์แบบในธุรกิจการเทรด คุณจะต้องเผชิญกับความเครียดอย่างเหลือประมาณ และในที่สุดมันต้องมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
อีโก้มีหน้าที่ปกป้องความรู้สึกของคุณเอง แต่มันใช้ไม่ได้ในโลกของการเทรดแม้แต่นิดเดียว
หากคุณเอาความเชื่อในเรื่องของความสมบูรณ์แบบมาใช้ร่วมกับการเทรดแล้ว คุณได้ตั้งเวลาขาดทุนให้กับตัวเองแบบไม่ได้ตั้งใจ เพราะคุณจะไม่ยอมเป็นฝ่ายผิด หรือไม่ยอมรับว่าตัวเองขาดทุน จึงไม่ขายไม่ขาดทุน ทนดูยอดขาดทุนที่เพิ่มขึ้นได้โดยไม่ยอมทำอะไรเลย เพราะไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าตัวเองไม่สมบูรณ์แบบ
ในโลกของการเป็นนักเทรด คุณไม่สามารถเป็นมิสเตอร์เพอร์เฟคท์ได้หรอก ถ้าไม่รีบยอมรับความตัวเองเป็นฝ่ายผิด ไม่รีบตัดขาดทุนตั้งแต่มันยังเสียหายน้อย ยิ่งปล่อยไว้ก็ยิ่งลุกลาม ในที่สุดพอร์ตก็จะพังทลายจนแทบไม่เหลือชิ้นดี
วัตถุประสงค์ของความเป็นเลิศในอาชีพเทรดเดอร์ - ไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบหรอก คุณควรที่จะมุ่งมั่นเป็นเลิศในความยั่งยืนระยะยาวมากกว่าการต้องนั่งจ้องพิสูจน์ตัวเองว่าต้องเทรดชนะทุกตา
สรุป
ในฐานะที่เราเป็นนักเทรด คุณต้องเปลี่ยนจากจิตใจที่เต็มไปด้วยความรู้สึกกลัวให้เป็นจิตใจที่เปี่ยใไปด้วยความมั่นใจ คุณจำเป็นต้องเชื่อมั่นในความสามารถลงมือทำตามระบบในทุกๆการเทรดโดยไม่ต้องคำนึงถึงสภาวะ/อารมณ์ตลาดในช่วงนั้น(ซึ่งมักจะขัดแย้งกับระบบการเทรดของคุณเสมอ)
จงตระหนักรู้ว่า ถ้าคุณมีความมั่นใจมันก็จะส่งผลให้ผลงานการเทรดของคุณดีขึ้นตาม นอกจากนี้มันยังช่วยให้คุณไม่สะทกสะท้านกับการจำต้องตัดขาดทุนก้อนเล็กๆ เพื่อที่จะรักษาเงินต้นเอาไปเริ่มต้นกับโอกาสที่ดีครั้งใหม่
ในทางจิตวิทยานั้น ความกลัวมันกลายเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นักเทรดเลิกล้มความตั้งใจกลางคัน ทั้งๆที่ความสามารถในการทำกำไรของหุ้นตัวนั้นยังดีอยู่ มีแนวโน้มไปต่อได้อีกแท้ๆ
นักเทรดจำนวนมากมักจะมีความคิดในแบบ "ถ้าไม่ได้ก็เสียไปทั้งหมด(all-ar-nothing)" เนื่องจากพวกเขาปรารถนาที่จะเป็นคนรวยให้ไวหรือไม่ก็หมดตัวไปเลย ถ้าคุณไม่อยากเป็นแบบนั้นก็จงทำตัวให้ตรงกันข้าม ด้วยการมองภาพในระยะยาว อย่าเพิ่งอยากรวยด่วน
ให้คุณมุ่งเน้นไปที่การดำเนินการตามกลยุทธ์ของตนเอง , ขณะเดียวกันก็คอยจัดการกับความกลัว, ไม่เลิกล้มความตั้งใจง่ายๆแม้จะต้องเจอการขาดทุน ท่านจะเป็นผู้ชนะได้เมื่อสามารถสยบความกลัวทั้งสี่อย่างที่ว่ามาแล้วข้างต้น, สร้างความมั่นใจในกลยุทธ์ของตน และในที่สุดคุณก็จะเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จได้ครับ