การบริหารความเสี่ยง: ไม่ใช่แค่การตั้ง Stop Loss แบบเดาสุ่ม

Image
การบริหารความเสี่ยง: ไม่ใช่แค่การตั้ง Stop Loss แบบเดาสุ่ม แปลจาก https://x.com/NickSchmidt_/status/1870997680513544635?t=v5ED4IJCHVAJTwaAGY3IqQ&s=19 หลายคนเข้าใจผิดว่า การตั้ง Stop Loss เป็นเพียงการกำหนดเปอร์เซ็นต์ขาดทุนแบบสุ่มเพื่อป้องกันความเสียหาย แต่ความจริงแล้ว การตั้ง Stop Loss ที่ถูกต้องต้องมีเหตุผลที่สอดคล้องกับโครงสร้างและแผนการเทรดของคุณ eBook "Risk Management: การบริหารจัดการความเสี่ยงเบื้องต้นสำหรับนักเทรด" มีจำหน่ายที่แอพ Meb เท่านั้น  https://www.mebmarket.com/?action=book_details&book_id=332340 สิ่งที่นักเทรดมือใหม่ควรรู้เกี่ยวกับ Stop Loss 1. Stop Loss ควรมีเหตุผล ไม่ใช่แค่เปอร์เซ็นต ตัวอย่าง: คุณอาจใช้กฎ 7% เป็นขีดจำกัดการขาดทุน แต่ไม่ใช่ว่าแค่ซื้อหุ้นแล้วตั้ง Stop Loss ไว้ที่ 7% โดยไม่มีการพิจารณาโครงสร้างของหุ้น นั่นไม่ใช่การบริหารความเสี่ยงที่ดี 2. Stop Loss ต้องเข้ากับลักษณะของการเทรด หุ้นที่ยังแข็งแรง: บางครั้งหุ้นอาจปรับฐาน 10% แต่ยังคงแนวโน้มที่แข็งแรงและโครงสร้างไม่เสียหาย ถ้า Stop Loss ของคุณตั้งไว้ต่ำเกินไป เช่น 7% โดยไม่สอดคล้องกับธรรมชาติ...

Mindset ใช้ความคิดเอาชนะโชคชะตา


Mindset = กรอบความคิด
เริ่มต้น, ผู้เขียนก็เริ่มเปิดประเด็นให้ผู้อ่านรู้ว่า คนเรา มีอยู่ ๒ ประเภท คือ
๑) สามารถรับมือกับความล้มเหลวได้
๒) ไม่สามารถรับมือกับความล้มเหลวได้



คนเรามี Mindset  ๒ แบบ
๑) กรอบคิดแบบตายตัว
เชื่อว่าคุณสมบัติของตนเอง เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โชคชะตาของเขาถูกลิขิตมาแล้วตั้งแต่เกิด
๒) กรอบคิดแบบพัฒนาได้
เชื่อว่าเขาสามารถพัฒนาได้ด้วยความพยายามทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลง และเติบโตได้ ด้วยความพยายามและประสบการณ์

จริงๆแล้ว ในสถานการณ์ปกติ เราไม่สามารถแยกแยะว่าใครมีกรอบแบบหนึ่งหรือสอง แต่เมื่อเผชิญกับความผิดพลาด ล้มเหลว นั้นและ
คนกรอบคิดแบบแรก รู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว ไม่มีค่า หนีปัญหา
แต่สำหรับคนที่คิดแบบหลัง พวกเขากล้าเผชิญหน้ากับปัญหา ไม่ก่นด่าตัวเอง และยอมแพ้ ถึงแม้จะรู้สึกเสียใจ พวกเขาก็พร้อมที่จะเสี่ยง เผชิญหน้ากับความท้าทาย ก้มหน้าก้มตาพยายามต่อไป

มาถึงตอนนี้เราก็รู้พอเลาๆและว่าใครคนที่มีกรอบความคิดแบบไหนสามารถพัฒนาตัวเองได้มากกว่ากัน

คนที่มีกรอบคิดแบบตายตัว แทบไม่สามารถประเมินตัวเองได้อย่างตรงไปตรงมาเลย
ส่วนคนที่มี mindset แบบพัฒนาได้ กลับประเมินตัวเองได้แม่นยำกว่าอย่างน่าทึ่ง

ข่าวดีคือ คุณมีทางเลือกกรอบคิดทั้งสองแบบ ที่ว่ามาก่อนนั้น มันเป็นแค่ความเชื่อ ถึงแม้ว่ามันจะทรงพลังมาก แต่มันก็เป็นเพียงสิ่งที่อยู่ในใจ แน่นอนว่าคุณสามารถเปลี่ยนใจได้
โดยให้ลองคิดดูว่า คุณต้องการก้าวไปยังจุดไหน แล้วกรอบคิดแบบไหนจะพาคุณไปถึงจุดหมายปลายทางนั้นได้



การเรียนรู้
เบนจามิน บาร์เบอร์ นักสังคมวิทยาชื่อดัง เคยกล่าวไว้ว่า "ผมไม่ได้แบ่งโลกออกเป็นโลกของคนอ่อนแอกับโลกของคนเข้มแข็ง หรือโลกของความสำเร็จกับโลกของความล้มเหลว แต่ผมแบ่งออกเป็น
- โลกของคนที่ชอบเรียนรู้
- กับโลกของคนที่ไม่ยอมเรียนรู้

อะไรคือปัจจัยที่ทำให้คนบางคนไม่ยอมเรียนรู้?
ทุกคนเกิดมาพร้อมแรงผลักดันอันแรงกล้าที่จะเรียนรู้ แต่เมื่อพวกเขาโตขึ้น, ความกระตือรือร้นของคนส่วนใหญ่เหล่านั้นจะหายไป 
เด็กที่มีกรอบคิดแบบตายตัว, เท่าที่เริ่มรู้จักประเมินตัวเอง ก็เริ่มกลัวความท้าทาย หรือกลัวว่าจะไม่ฉลาดพวกเขามักจะเลือกแนวทางปลอดภัยไว้ก่อน
พวกเขาเชื่อว่าความฉลาด ความสำเร็จ สติปัญญา ความร่ำรวย เป็นสิ่งที่ฟ้าประทานมาให้คนๆนั้นตั้งแต่เกิด จึงไม่ต้องการพยายามพัฒนาตนเอง

ส่วนเด็กที่มี mindset แบบพัฒนาได้ เชื่อว่าคนเราสามารถพัฒนาตัวเองให้ฉลาดขึ้น เขามองว่าความสำเร็จคือความท้าทายตัวเอง คิดว่าสติปัญญาเป็นสิ่งที่คุณต้องใช้ความพยายามเพื่อให้ได้มา มันไม่ใช่แค่สิ่งที่ฟ้าประทานมาให้

ผู้ที่มี mindset แบบพัฒนาได้ไม่ใช่แค่เสาะหาความท้าทาย แต่ยังใช้ความท้าทายเป็นปัจจัยในการพัฒนาตัวเอง ยิ่งท้าทายมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งเพิ่มศักยภาพของตัวเองให้ได้มากขึ้นเท่านั้น

บางครั้งคนที่มี mindset แบบพัฒนาได้สามารถเพิ่มศักยภาพของตัวเองจนประสบความสำเร็จในการทำสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ 

เช่น คริสโตเฟอร์ รีฟ เขาพลัดตกจากม้าคอหักเส้นประสาทเสียหายอย่างรุนแรงบรรดาแพทย์ทั้งหลายล้วนหมดหวัง แต่สำหรับรีฟแล้วเขายังมีความหวัง เพราะเขาบอกว่าจะให้เขาทำอะไรกับเวลาว่างที่มีอยู่ล่ะ? มีอะไรที่ดีกว่านี้ให้เขาทำหรือเปล่า?
เขาจึงพยายามที่จะฟื้นฟูตัวเองอย่างหนัก ในที่สุดเขาก็เริ่มขยับเขยื้อนได้อีกครั้ง สิ่งที่เขาทำมันสามารถเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆให้กับการวิจัย และเปิดเส้นทางแห่งความหวังครั้งใหม่ ให้กับผู้ป่วยทุกคนที่มีอาการบาดเจ็บเช่นเขา

เห็นได้ชัดว่าคนที่มีกรอบคิดแบบพัฒนาได้ จะรู้สึกตื่นเต้นเวลาได้เพิ่มศักยภาพของตัวเอง
นักศึกษาคนหนึ่งบอกว่า "ยิ่งวิชาเรียนยากขึ้นเท่าไหร่ผมก็ยิ่งต้องบังคับตัวเองให้อ่านหนังสือและเตรียมตัวสำหรับการสอบให้มากขึ้นเท่านั้น"
"วิชาเคมียากกว่าที่ผมเคยคิดไว้มาก แต่ก็เป็นสิ่งที่ผมอยากทำให้สำเร็จ ผมจึงยิ่งมีความมุ่งมั่นมากขึ้น ....ตอนที่เขาบอกผมว่าทำไม่ได้มันก็ยิ่งผลักดันให้ผมต้องทำให้ได้"
เห็นได้ชัดว่าความท้าทายกับความสนใจ มันไปด้วยกันได้สำหรับคนที่มีกรอบคิดแบบพัฒนาได้
พวกเขามีความกระตือรือร้นกับการพัฒนาและแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเองเพราะการแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเองถือเป็นเรื่องที่ยากมากและยากเกินทำใจสำหรับคนที่มีกรอบคิดแบบตายตัว
คำพูดติดปากของพวกเขาก็คือ "ยากนะ แต่ก็สนุกดี"

อันที่จริงแล้วคนที่มีกรอบคิดแบบตายตัว คาดหวังว่าความเก่งจะเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องมีการเรียนรู้ ถ้าคุณเก่งจริงคุณก็จะทำได้ ถ้าคุณไม่เก่งคุณก็จะทำไม่ได้ ซึ่งคนที่มีแนวคิดแบบนี้มีอยู่มากมายรายล้อมตัวเราไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็เจอ
พวกเขาเลือกความสำเร็จมากกว่าการเติบโต พวกเขาต้องการพิสูจน์ว่าตัวเองคือคนพิเศษ (born to be) และถึงขั้นเหนือกว่าคนอื่นด้วย การที่เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีแนวโน้มจะกลายเป็นคนธรรมดา มันทำให้พวกเขาต้องคอยพิสูจน์ตัวเองตลอดเวลา พยายามแสดงออกให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองมีความหมาย(คุ้นๆนะ เรามักจะเห็นคนพวกนี้ใน Facebook ตลอดเวลา) 

ถ้าคุณประสบความสำเร็จคุณก็จะคิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่นคุณก็จะเริ่มผมเห็นพวกเขาและบีบให้พวกเขาคอยพะเน้าพะนอคนที่มีกรอบคิดแบบแต่งตัวมองว่าสิ่งเหล่านี้คือความภูมิใจในตัวเอง

สรุปก็คือคนที่มีกรอบคิดแบบตายตัว เขาจะรู้สึกว่าตัวเองต้องประสบความสำเร็จให้ได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อประสบความสำเร็จ พวกเขาก็อาจจะเกิดความรู้สึกบางอย่างที่มากกว่าความภูมิใจ ด้วยอาจจะรู้สึกเหนือกว่าคนอื่น เพราะความสำเร็จที่เกิดขึ้นย่อมหมายความว่าพวกเขามีคุณสมบัติตายตัวที่วิเศษกว่าคนอื่น



ส่วนคนที่มี mindset ที่พัฒนาได้ พวกเขาเชื่อว่าการที่เขาประสบความสำเร็จได้มันมาจากการลงมือทำอย่างหนักของตัวเองเขาคิดว่าตัวเองก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาเหมือนคนอื่น
ไมเคิล จอร์แดน รู้ดีว่าเขาทุ่มเทกับการพัฒนาฝีมือมากแค่ไหน เขาเป็นคนที่ดิ้นรนต่อสู้จนเติบโต ไม่ใช่คนที่เกิดมาเก่งกว่าใคร

แต่ปัญหาของคนที่มีกรอบคิดแบบตายตัวก็คือ "ความล้มเหลว" เพราะเมื่อพวกเขาประสบกับความล้มเหลวแล้ว มันจะกลายเป็นปมด้อยกับเขาทันที  พวกเขาจะเริ่มโทษตัวเอง โทษคนอื่นและให้ความใส่ใจต่อคำพูดคนอื่น เพราะกลัวที่จะถูกครหาว่าเป็นคนขี้แพ้ จากนั้นเขาก็จะไม่พยายามทำอะไรหรือพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นไปกว่าเดิม จมปลักอยู่กับความพ่ายแพ้ และกลายเป็นภาระของคนรอบข้างไปในที่สุด


ข่าวดีก็คือคนเราสามารถเปลี่ยนกรอบคิดได้
เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจกรอบคิดทั้ง 2 แบบเช็คว่าตัวเองมีกรอบคิดเป็นแบบไหน เมื่อคุณเข้าใจมัน คุณก็สามารถเปลี่ยนวิธีคิดและการกระทำได้แล้ว  เช่น เมื่อคุณรู้สึกว่าตัวเองมีกรอบคิดแบบตายตัว(คือปฏิเสธโอกาสที่จะเรียนรู้ รู้สึกเหมือนถูกตราหน้าว่าล้มเหลว หรือท้อใจเวลาต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก) คุณก็สามารถเปลี่ยนมาใช้กรอบคิดแบบพัฒนาได้ทันที(คือทำให้แน่ใจว่าตัวเองพร้อมที่จะอ้าแขนรับความท้าทาย เรียนรู้จากความล้มเหลว และพยายามต่อไปเรื่อยๆ)

แต่อย่างไรก็ตามอยากให้พวกเราสร้างนิสัยให้มี mindset แบบพัฒนาได้ เพราะมันจะช่วยให้เรารักสิ่งที่ตัวเองทำ และยังคงรักมันในขณะที่ต้องเผชิญกับความยากลำบาก บรรดานักกีฬา ซีอีโอ นักดนตรี หรือนักวิทยาศาสตร์ที่มี mindset แบบพัฒนาได้ล้วนรักในสิ่งที่ตัวเองทำทั้งนั้น

ในกรอบความคิดแบบพัฒนาได้ คุณไม่จำเป็นต้องมีความมั่นใจตลอดเวลา แม้คุณจะคิดว่าตัวเองไม่เก่งเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่คุณก็สามารถทุ่มสุดตัวและพยายามพัฒนาตัวเองอย่างเต็มที่
 อันที่จริงแล้วการที่คุณทุ่มเทให้กับอะไรบางอย่าง เพราะคุณไม่ชำนาญเป็นคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมมากของ mindset แบบพัฒนาได้ คุณสามารถทําอะไรบางอย่างและสนุกไปกับมันได้ โดยไม่ต้องคิดว่าตัวเองเก่งอยู่แล้ว

เวลาที่คุณรู้สึกหดหู่ คุณพยายามอย่างมากที่จะจัดการกับสิ่งต่างๆในชีวิต แม้ว่าคุณจะรู้สึกแย่ แต่ก็ให้ลองใช้กรอบคิดแบบพัฒนาได้ดู คือลองนึกถึงการเรียนรู้ ความท้าทาย และการเผชิญหน้ากับอุปสรรค ให้มองว่าความพยายามเป็นแรงผลักดันที่ช่วยให้คุณสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ แทนที่จะมองว่ามันเป็นตัวถ่วง
.
คุณรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในอดีต คอยหลอกหลอนคอยตัดสินชีวิตคุณ เช่น ความล้มเหลว, การถูกปฏิเสธ ก็อยากให้คุณนึกถึงสิ่งนั้นไว้ แล้วรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างที่เกิดขึ้น
คราวนี้ให้ลองมองมันในมุมของกรอบคิดแบบพัฒนาได้ พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตรงไปตรงมา แต่อย่าลืมทำความเข้าใจว่า มันไม่ได้เป็นตัวกำหนดคุณลักษณะหรือสติปัญญาของคุณ ในทางกลับกันให้ถามตัวเองว่า "ฉันได้เรียนรู้อะไรจากประสบการณ์นั้นบ้าง ฉันจะใช้มันเป็นพื้นฐานสำหรับการเติบโตได้อย่างไร?" แล้วจดคำตอบเอาไว้ให้ดี

แค่เพราะคนบางคนทำอะไรบางอย่างได้โดยแทบไม่ต้องฝึกฝน หรือไม่ต้องฝึกฝนเลย ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำไม่ได้ แต่มันก็ต้องอาศัยการฝึกฝน แถมบางครั้งพวกเขายังทำได้ดีกว่าด้วย นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะคนจำนวนมากที่มีกรอบคิดแบบตายตัว มองว่าผลงานในอดีตของคนหนึ่งได้บอกทุกอย่างเกี่ยวกับพรสวรรค์และอนาคตของคนคนนั้นแล้ว



ลองนึกถึงคนที่เป็นฮีโร่ในสายตาคุณ
คุณคิดว่าคนคนนั้นมีความสามารถพิเศษและประสบความสำเร็จได้โดยแทบไม่ต้องพยายามหรือเปล่า? ทีนี้ลองค้นหาข้อมูลหรือว่าพวกเขาต้องพยายามมากแค่ไหนกว่าจะประสบความสำเร็จ จากนั้นก็ชื่นชมพวกเขาให้มากยิ่งขึ้น

เรานึกถึงตอนที่คนอื่นทำผลงานได้ดีกว่าคุณ และคุณทึกทักเอาเองว่าพวกเขาฉลาดกว่า หรือมีพรสวรรค์มากกว่า
ที่นี้ลองคิดว่า พวกเขาแค่มีกลยุทธ์ที่ดีกว่า เรียนรู้ด้วยตัวเองมากกว่า ฝึกฝนหนักกว่า และพยายามฝ่าฟันอุปสรรคด้วยตัวเอง จากนั้นก็บอกตัวเองว่าคุณก็ทำแบบนั้นได้เช่นกัน ถ้าต้องการ

มีสถานการณ์ที่คุณทำเรื่องโง่ๆเพราะไม่ได้ใช้สติปัญญาให้ดีหรือเปล่า? 
คราวหน้าถ้าคุณตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นอีก จงใช้ mindset แบบพัฒนาได้ โดยนึกถึงการเรียนรู้และพัฒนา ไม่ใช่คำตัดสิน จากนั้นก็ยึดมั่นในกรอบนี้เอาไว้

ผู้คนในสังคมจำนวนมากกว่าครึ่ง ถูกเหมารวมในเชิงลบ อันดับแรกคือพวกผู้หญิง นอกจากนั้นก็ยังมีกลุ่มคนอื่นที่ถูกเหมารวมว่าไม่น่าจะเก่งเรื่องนั้นเรื่องนี้ จงมองกรอบคิดแบบพัฒนาได้ ให้พวกเขาเป็นของขวัญสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลูกฝังกรอบคิดแบบนี้ให้กับเด็กและผู้ใหญ่ที่คุณรู้จัก โดยเฉพาะคนที่ตกเป็นเหยื่อของการเหมารวมในเชิงลบ แม้ว่าจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มคนไม่เก่ง แต่ถ้ามีกรอบคิดแบบพัฒนาได้ พวกเขาก็จะมุ่งมั่นกับการเรียนรู้ต่อไป



มูฮัมหมัด อาลี, เขาไม่ใช่เป็นคนที่เก่งมาแต่เกิด และถึงจะว่างไวมาก แต่เขาก็ไม่ได้มีรูปร่างของนักมวยชั้นยอด เขาไม่มีความแข็งแกร่ง แถมท่วงท่าการเคลื่อนไหวก็ไม่ได้งดงาม อันที่จริงท่าชกของอาลีผิดหมด เขาไม่ยกแขนและศอกขึ้นมาป้องกันหมัด เขาปล่อยมันรัวราวกับมือสมัครเล่น และเปิดช่องให้โดนต่อยขากรรไกรได้ตลอด

ส่วนซอนนี่ ลิสตัน คู่แข่งของอาลี เป็นพวกเก่งตั้งแต่เกิด เขามีพร้อมทุกอย่าง ทั้งขนาดตัว ความแข็งแกร่ง และประสบการณ์ พละกำลังของเขาถูกจัดอยู่ในระดับตำนาน ไม่มีใครนึกภาพอาลีเอาชนะลิสตันออกเลย การจับคู่แบบนี้น่าขันเสียจนมีคนดูในสนามไม่ถึงครึ่ง
แต่นอกจากความว่องไวแล้ว สิ่งที่ยอดเยี่ยมในตัวอาลี ก็คือสมองเขา มีดีที่สมอง ไม่ใช่กล้ามเนื้อ เขาประเมินคู่ต่อสู้และจำลองการแข่งในใจ เขาไม่เพียงศึกษารูปแบบการชกของลิสตันเท่านั้น แต่ยังสังเกตอย่างละเอียดว่าลิสตันเป็นคนแบบไหนเวลาอยู่นอกสังเวียน "ผมอ่านบทสัมภาษณ์ทั้งหมดของลิสตันเท่าที่จะหาได้ พูดคุยกับคนที่เคยใกล้ชิดหรือคุยกับเขา ผมจะนอนแผ่อยู่บนเตียงนึกถึงข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับเขาและพิจารณามัน ผมพยายามนึกภาพว่าสมองของเขาทำงานอย่างไร" จากนั้นอาลีก็นำข้อสรุปที่ได้ไปใช้ในการต่อสู้กับลิสตัน 

ทำไมอาลีดูเหมือนคน "บ้า" ก่อนขึ้นชกแต่ละครั้ง มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าเพราะอาลีรู้ดีว่าการทำแบบนั้นช่วยให้บรรดาคู่แข่งไม่คิดว่าเขาจะออกหมัดน็อค ส่วนอาลีบอกว่า "ผมต้องทำให้ลิสตันชื่อว่าผมบ้า ผมถึงจะสามารถทำอะไรได้ เขาจะไม่สังเกตเห็นอะไรเลยนอกจากหน้าผม เพราะมัวแต่ห่วงเรื่องการบุกอย่างเดียว นั่นคือทั้งหมดที่ผมอยากให้เขาทำ"


ไมเคิล จอร์แดน ไม่ได้เก่งตั้งแต่เกิด ก่อนที่เขาจะโด่งดัง เขาถูกไล่ออก เขาถูกปฏิเสธจากทีมบาสเกตบอลหลายครั้งติด แต่เขาก็ยังมุ่งมั่น ออกจากบ้านตั้งแต่ 6 โมงเช้าเพื่อไปฝึกซ้อมก่อนเข้าเรียน เขาหมั่นแก้ไขจุดอ่อนของตัวเองเช่นกัน(เล่นเกมรับ การเลี้ยงลูก และการชู้ต) โค้ชถึงกับอึ้งที่เห็นเขามุ่งมั่นฝึกซ้อมหนักกว่าคนอื่น ครั้งหนึ่งหลังจากทีมแพ้เกมสุดท้ายของฤดูกาล จอร์แดนก็ยังฝึกโยนลูกนานเป็นชั่วโมงชั่วโมงเพื่อเตรียมตัวสำหรับปีหน้า "อัจฉริยะที่ต้องการพัฒนาความเป็นอัจฉริยะตลอดเวลา" ก็คือเขาเอง
สำหรับจอร์แดนความสำเร็จเกิดจากความคิด เขาเล่าว่า "จิตใจและหัวใจที่ทรหด ย่อมแข็งแกร่งกว่าข้อได้เปรียบทางกายภาพอย่างมหาศาล นั่นคือสิ่งที่ผมเชื่อและพูดอยู่เสมอ"


จอยเนอร์ เคอร์ซี ตอนเริ่มแข่งกรีฑาใหม่ๆเธอเข้าเส้นชัยเป็นอันดับโหล่อยู่พักใหญ่ที่เดียว ยิ่งฝึกนานเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งวิ่งเร็วขึ้นเท่านั้น แต่ไม่เคยคว้าชัยได้สักที ทว่าในที่สุดเธอก็ทำได้
มีอะไรเปลี่ยนไปอย่างนั้นหรือ? 
"บางคนอาจมองว่าการเปลี่ยนแปลงของฉันเกิดจากพันธุกรรม แต่ฉันคิดว่ามันเป็นรางวัลตอบแทนสำหรับทุกชั่วโมงที่หมดไปกับการฝึกวิ่งบนทางที่ให้ม้าวิ่ง ทางเท้าแถวบ้าน และทางเดินในอาคารเรียน .... เวลาเห็นตัวเองพัฒนาขึ้น ฉันจะรู้สึกตื่นเต้นและมีแรงจูงใจ ฉันรู้สึกแบบนี้หลังจากคว้าเหรียญทองโอลิมปิก 6 เหรียญและทำลายสถิติโลกได้ 5 รายการ ....อันที่จริงตอนเริ่มลงแข่งใหม่ๆ สมัยมัธยมต้น ฉันก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน"


รู้หรือไม่ว่าครั้งหนึ่งทุกคนเคยเชื่อกันอย่างจริงจังว่า เราไม่สามารถฝึกฝนร่างกายเพื่อเล่นกอล์ฟได้ และการเสริมสร้างพละกำลังจะทำให้เราฝีมือตก
จนกระทั่งไทเกอร์ วูดส์ ก้าวเข้ามาพร้อมตารางการออกกำลังกายและการฝึกซ้อมอย่างเข้มงวดจนเป็นนิสัย จากนั้นเขาก็คว้าชัยในการแข่งขันทุกรายการ

ลึกลึกแล้วเราก็ยังเชิดชูคนที่เกิดมาเก่งอยู่ดี เราชอบคิดว่าผู้ชนะและบุคคลต้นแบบของเราเป็นยอดมนุษย์ที่เกิดมาแตกต่างจากเรา แทนที่จะคิดว่าคนเหล่านี้เป็นแค่คนธรรมดาเหมือนเรา แต่ใช้วิธีการต่างๆเพื่อให้ตัวเองพิเศษกว่าคนอื่น
ทำไมเราจึงไม่คิดแบบนั้นล่ะฉันมองว่ามันน่าทึ่งกว่าการเกิดมาเก่งมาก

มาร์แชลล์ โฟล์ค สุดยอดผู้เล่นตำแหน่งรันนิ่งแบ็กของทีมเซนต์หลุยส์ แรม ก่อนที่เขาจะประสบความสำเร็จ เจ้าตัวเล่าว่าเขาใช้เวลาปีแล้วปีเล่าดูการแข่งขันอเมริกันฟุตบอล สมัยมัธยมเขายอมทำงานที่ตัวเองเกลียด อย่างการเป็นพนักงานขายขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มในสนาม เพียงเพื่อจะได้ดูการเล่นของนักกีฬาอาชีพ ระหว่างนั้นเขาก็ตั้งคำถามมากมายที่ขึ้นต้นด้วยคำว่าทำไม เช่น "ทำไมบุกแบบนี้?" "ทำไมจู่โจมแบบนั้น?" ทำไมถึงทำอย่างนั้น?"  "ทำไมถึงทำอย่างนี้?"
เขาบอกว่า "โดยพื้นฐานแล้วคำถามแบบนี้ทำให้ผมเข้าใจกีฬาอเมริกันฟุตบอลได้ลึกซึ้งขึ้น"
ถึงจะเป็นมืออาชีพแล้ว เขาก็ไม่เคยหยุดตั้งคำถามว่าทำไมและยังคงวิเคราะห์เกมการเล่นอย่างเจาะลึกเช่นเคย
เห็นได้ชัดว่าโฟล์คมองว่าทักษะของเขาเป็นผลพวงมาจากความใฝ่รู้และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง


ลักษณะเฉพาะตัว หัวใจ ความตั้งใจจริง และจิตใจของผู้ชนะ
แม้จะมีชื่อเรียกหลายอย่าง แต่ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน นั่นคือสิ่งที่ทำให้คุณลงมือฝึกฝน คือสิ่งที่ช่วยให้คุณขุดลึกลงไป และดึงมันออกมาใช้ในยามที่คุณต้องการมากที่สุด
สัญลักษณ์ของผู้ชนะคือ ความสามารถในการคว้าชัยชนะเวลาที่สิ่งต่างๆไม่ได้เป็นไปตามที่เราต้องการ หรือหมายถึงเวลาที่เราเล่นได้แย่ และกำลังอารมณ์ไม่ดี นี่คือเหตุการณ์ที่ทำให้เราได้เรียนรู้ความหมายของการเป็นผู้ชนะ


มีอา แฮมม์ มักถูกถามว่า "อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดที่นักฟุตบอลต้องมี" เธอตอบโดยไม่ต้องเลว่า "จิตใจที่ทรหด" เธอไม่ได้หมายถึงคุณสมบัติที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด "ตอนที่ผู้เล่น 11 คนอยากล้มคุณ ตอนที่คุณเหนื่อยหรือบาดเจ็บ และตอนที่กรรมการไม่เข้าข้างคุณ คุณไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้มารบกวนสมาธิ" แล้วจะทำแบบนั้นได้อย่างไร? คำตอบคือ "คุณต้องฝึกมัน มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดของกีฬาฟุตบอล เป็นสิ่งที่ฉันพยายามทำให้ได้ทุกครั้งที่ลงแข่งและฝึกซ้อม"

สภาพจิตใจของผู้ชนะ เป็นสิ่งที่ช่วยให้คนที่มีพรสวรรค์น้อยกว่า  เอาชนะคู่แข่งได้

คนที่มีกรอบคิดแบบพัฒนาได้คือคนที่แสดงลักษณะเฉพาะตัวหรือลักษณะเฉพาะทางจิตใจออกมาชัดเจนที่สุดพวกเขาคือคนที่มีจิตใจของผู้ชนะไม่มีใครคิดว่าตัวเองเป็นคนพิเศษที่เกิดมาเพื่อเป็นผู้ชนะพวกเขาคือคนที่ฝึกหนักเรียนรู้วิธีรักษาสมาธิภายใต้แรงกดดันและท้าทายตัวเองให้ทำสิ่งที่เกินความสามารถปกติเมื่อถึงยามจำเป็น

พวกเขาชอบเอาชนะ แต่สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือ มีความพยายามไหม่ กระทั่งในเวลาที่ไม่ชนะ พวกเขาภูมิใจกับความพยายามของตัวเองแม้จะไม่ได้เป็นผู้ชนะ
ไทเกอร์ วูดส์ บอกว่า "บางทีผมก็พึงพอใจมากกว่า เมื่อทำคะแนนได้ในเวลาที่ทุกอย่างไม่ได้สมบูรณ์แบบ หรือเวลาที่ผมรู้สึกว่าวงสวิงของตัวเองไม่ดีเท่าไหร่"

นอกจากนี้เขายังบอกว่า เขาชอบจัดการกับแรงจูงใจของตัวเองโดยทำให้การฝึกซ้อมเป็นเรื่องสนุก
ไผมชอบซ้อมตีท่าต่างๆ ปรับเปลี่ยนให้มันเป็นแบบนั้นแบบนี้ และพิสูจน์ให้ตัวเองเห็นว่าผมสามารถตีลูกแบบหนึ่งๆได้ตามใจสั่ง"
เขายังจัดการกับแรงจูงใจด้วยการคิดว่า ที่ไหนสักแห่งข้างนอกนั้น มีคู่แข่งที่พยายามจะท้าทายเขา "ผมต้องหาเหตุผลให้ตัวเองฝึกซ้อมอย่างหนัก ผมจึงบอกตัวเองว่าข้างนอกนั้นมีคู่แข่งที่น่ากลัววัย 12 ปีอยู่"



การเปลี่ยนทัศนคติให้เป็นคนมี mindset พัฒนาได้
คนที่มีกรอบคิดแบบตายตัว จะตีความข้อมูลทุกอย่างแบบสุดโต่ง กล่าวคือเรื่องดีๆจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ดีแบบสุดโต่ง เรื่องแย่ๆก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่แย่แบบสุดโต่ง

ส่วนคนที่มี mindset แบบพัฒนาได้ ก็จับตามองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน แต่ความคิดของพวกเขาไม่ใช่การตัดสินใจเองหรือคนอื่น
แน่นอนว่าพวกเขาอ่อนไหวต่อข้อมูลทั้งในแง่บวกและแง่ลบ แต่พวกเขาจะพยายามมองหาการเรียนรู้และการกระทำในแง่บวกที่ซ่อนอยู่ในนั้น โดยถามตัวเองว่า "ฉันจะเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้ได้บ้าง ฉันจะพัฒนาตัวเองได้อย่างไร และฉันจะช่วยคนรักของฉันทำพรุ่งนี้ให้ดีขึ้นได้อย่างไร?"

เมื่อก่อน, แม็กกี้คิดว่า "อย่าลงมือทำ อย่าเรียนวิชาการเขียน อย่าเอางานเขียนของเธอไปให้คนอื่นอ่าน มันไม่คุ้มที่จะเสี่ยงหรอก ความฝันของเธออาจถูกทำลายได้ เพราะฉะนั้นจงปกป้องมันไว้"
แต่ตอนนี้เธอกลับคิดว่า "ลุยเลย ทำความฝันให้เป็นจริง จงพัฒนาทักษะและไล่ตามความฝันของตัวเอง"

เมื่อก่อน, เจสันคิดว่า "ชนะ ต้องชนะเท่านั้น นายต้องชนะให้ได้ พิสูจน์ตัวเองสิ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับชัยชนะ"
แต่ตอนนี้เขากลับคิดว่า "จงสังเกต เรียนรู้ พัฒนาและกลายเป็นนักกีฬาที่เก่งขึ้นกว่าเดิม"

เมื่อก่อน, โทนี่คิดว่า "ฉันเกิดมามีพรสวรรค์ ฉันไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือไม่จำเป็นต้องนอน ฉันเหนือกว่าคนอื่น และฉันกำลังจะสูญเสียพรสวรรค์ไป ฉันไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ ฉันจำสิ่งต่างๆไม่ได้ ฉันเป็นอะไรกันเนี่ย?"
แต่ตอนนี้เขากลับคิดว่า "ไม่ต้องกังวลเรื่องการเป็นคนฉลาดให้มากนัก รวมถึงเรื่องการหลีกเลี่ยงความล้มเหลวด้วย นั่นเป็นการบ่อนทำลายตัวเอง มาเริ่มอ่านหนังสือ นอนให้เต็มอิ่ม และใช้ชีวิตตามปกติกันดีกว่า"

แน่นอนว่าคนเหล่านี้จะต้องพบเจอกับความล้มเหลว และความผิดหวัง การยึดมั่นในกรอบคิดแบบพัฒนาได้อาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่จำไว้ว่ากรอบคิดนี้ทำให้พวกเขาเปลี่ยนเป็นอีกคนได้ แทนที่จะเอาแต่เพ้อฝันอยากเป็นนักเขียนที่ยิ่งใหญ่ นักกีฬาที่เก่งกาจ หรืออัจฉริยะระดับแถวหน้า ความคิดแบบพัฒนาได้จะทำให้พวกเขากล้าเปิดรับเป้าหมายและความฝันของตัวเอง ที่สำคัญก็คือมันช่วยให้พวกเขารู้วิธีทำสิ่งเหล่านั้นให้เป็นจริง


วิชาสมอง
งานวิจัยใหม่ๆแสดงให้เห็นว่า สมองก็เหมือนกล้ามเนื้อมันจะเปลี่ยนแปลงและแข็งแรงขึ้นเมื่อคุณใช้งานมัน นักวิทยาศาสตร์เองก็แสดงให้เห็นว่าสมองเติบโตและแข็งแรงขึ้นมากแค่ไหนเมื่อคนเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

เมื่อเราเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การเชื่อมโยงเล็กๆในสมองจะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นเท่าตัวและแข็งแกร่งขึ้น
ยิ่งคุณท้าทายสมองให้เรียนรู้มากเท่าไหร่ เซลล์สมองก็ยิ่งเติบโตมากขึ้นเท่านั้น แล้วสิ่งที่คุณมองเคยมองว่ายากหรือถึงขั้นเป็นไปไม่ได้ เช่นการพูดภาษาต่างประเทศ หรือการแก้โจทย์คณิต ก็จะดูกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาทันที ผลที่ตามมาก็คือคุณจะมีสมองที่ฉลาดและแข็งแรงกว่าเดิม

"หลังจากเข้าใจศักยภาพของสมอง, ตอนนี้ผมเริ่มมองสิ่งต่างๆในแง่มุมใหม่ ผมเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่ตัวเองมีต่อวิชาต่างๆที่ผมมีปัญหา โดยคิดว่าต้องพยายามให้มากขึ้น เพื่อทบทวนบทเรียนและฝึกฝนต่างๆให้เชี่ยวชาญ ผมใช้เวลาอย่างชาญฉลาดขึ้น แล้วอยากอ่านหนังสือทุกวัน และทบทวนสิ่งที่ผมจดในวันนั้น"

"ฉันเปลี่ยนความคิดเรื่องวิธีการทำงานของสมอง และเริ่มทำสิ่งต่างๆด้วยวิธีการที่แตกต่างออกไป
ฉันพยายามมากกว่าเดิมเ พราะรู้ว่ายิ่งพยายามมากเท่าไหร่สมองก็ยิ่งทำงานมากขึ้นเท่านั้น"

"วิชาสมองช่วยได้มากทีเดียว ทุกครั้งที่ผมไม่อยากทบทวนบทเรียนผมก็จะบอกตัวเองว่าเซลล์ประสาทของผมอาจพัฒนาขึ้นถ้าผมต้องส่วนบทเรียน"
.
นักเรียนทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ แม้แต่เด็กที่มีปัญหาวิชาคณิตศาสตร์และการควบคุมตัวเอง
"ฉันต้องอดทนมากกว่านี้ เพราะการเรียนรู้ต้องใช้เวลาและการฝึกฝนมหาศาล"

การเปลี่ยนกรอบคิด ก็คือการขอให้พวกเขาล้มเลิกความคิดนี้ คุณคงนึกออกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่คุณจะปล่อยวางสิ่งที่คุณมองว่าเป็นตัวตนของคุณมานานหลายปี แถมมันยังทำให้คุณรู้สึกภูมิใจในตัวเองด้วย ที่ยากยิ่งไปกว่านั้นคือการแทนที่ความคิดนี้ด้วยกรอบคิดที่บอกให้คุณอ้าแขนรับทุกสิ่งที่น่าหวาดหวั่น ไม่ว่าจะเป็นความท้าทาย การดิ้นรนต่อสู้คำวิจารณ์ หรือความล้มเหลว

กรอบคิดแบบตายตัว ดูเหมือนจะไม่อยากจากคุณไปอย่างสง่างาม ถ้ากรอบคิดแบบนี้ควบคุมความคิดของคุณอยู่ มันอาจจะพูดแรงๆกับคุณเวลาที่ตัววัดค่าพวกนั้นเป็นศูนย์ เช่น "เธอไม่มีค่า" มันอาจทำให้คุณอยากหวนกลับไปทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ตัวเลขสูงสูงทันที ครั้งหนึ่งกรอบคิดแบบตายตัวเคยเป็นที่หลบภัยให้คุณหนีจากความรู้สึกไม่มั่นใจ และตอนนี้มันกำลังยื่นข้อเสนอให้คุณอีกครั้ง
แต่การเปิดใจรับกรอบคิดแบบพัฒนาได้จะทำให้คุณเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น



Zyo ใส่ไข่
Mindset ของ Top Trader

ยอมรับว่า ขณะที่อ่านหนังสือเล่มนี้ ภาพของ top trader ลอยเข้ามาในหัวผมตลอด ก็เลยอดไม่ได้ที่จะใส่ความเห็นต่อเนื่องหลังจากที่สรุปหนังสือเล่มนี้จบ

เท่าที่ผมอ่านประวัติของนักเทรดระดับโลก หรือบ้านเรา ที่ประสบความสำเร็จ ล้วนมี mindset ที่่พัฒนาได้กันทั้งนั้นครับ พวกเขาคิดเหมือนๆกันเลย ซึ่งผมเชื่ออย่างสุดใจว่าส่วนประกอบนี้เองแหละที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จจากการเทรด ทำเงินได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ มีความั่งคั่งในวันนี้

Jesse Livermore
Jesse Livermore ผู้เป็นเทรดเดอร์ที่สร้างปรากฎการณ์ของการทำกำไรอย่างมหาศาล ผู้เป็นตำนานของนักเก็งกำไรระดับโลก แม้จะไม่มีใครบอกว่าเขาเป็นคนที่มี mindset ยังไง แต่ผมมั่นใจว่า เขาต้องเป็นเทรดเดอร์ที่มีกรอบคิดแบบพัฒนาได้แน่นอน จากเบาะแสเหล่านี้

๑)  "ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นกูรูผู้เชี่ยวชาญในทางการเทรดเลย, ผมระลึกเสมอว่าตัวเองเป็นนักเรียนที่ต่ำต้อยในตลาด" นี่เป็นทัศนคติของผู้ที่เชื่อว่าตนเองสามารถพัฒนาได้ครับ คือพร้อมที่จะเรียนรู้ เผชิญกับความผิดพลาด และยกระดับตัวเองให้ทันตลาด ครับเขาเชื่อว่าตัวเองสามารถเก่งได้อีก

๒) ตอนที่เขาทำงานเป็นเด็กจดตัวเลขในร้านบัคเก็ต ด้วยความที่มีความจำเป็นเลิศ จึงขอไปเทรด แล้วเกิดชนะได้กำไรขึ้นมา ก็ถูกคนที่อายุมากกว่ากีดกันไม่ให้เทรด ถ้าเขามีความคิดแบบตายตัว ป่านนี้คงร้องให้กลับบ้านไปแล้วครับ แต่ด้วย mindset ที่อยากเอาชนะ อยากเก่งขึ้น อยากทำเงินให้มากขึ้น ทำให้เขาต้องต่อสู้ ใช้กลวิธีต่างๆเพื่อทำเงิน เมื่อไม่ได้ด้วยเลห์ต้องเอาด้วยกล พอเมืองนี้ไม่ได้ ก็ย้ายไปเมื่อที่ใหญ่กว่า เพื่อสร้างโอกาสให้กับตัวเอง กล้าเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ

๓) กล้าเรียนรู้จากความผิดพลาด : ข้อนี้ ถ้าคุณไม่มีทัศนคติแบบพัฒนาได้ คุณจะไม่ยอมทำโดยเด็ดขาด หลังจากที่เขาเข้าไปเทรดในนิวยอร์ค ก็ขาดทุนเละเลย แต่เขาก็ไม่ย่อท้อพยายามหาสาเหตุ และใช้แนวทางใหม่เพื่อให้ตัวเองกลับไปสู่เกมได้ และในที่สุดเขาก็สำเร็จ สามารถทำเงินได้มหาศาล

๔) ล้มแล้วลุก : จากนั้นเขาก็ขาดทุนครั้งใหญ่ เรียกว่าแทบสิ้นเนื้อประดาตัว แต่ด้วย mindset ของผู้ที่สามารถพัฒนาได้ ทำให้เขาพยายามหาทางใหม่อีกครั้ง ก้มหน้าก้มตาทำเงิน จนสามารถปลดหนี้ได้ทั้งหมด แบบนี้ถ้าใจไม่ได้ ทัศนคติไม่ถึง ไม่มีทางทำได้แน่นอน จำได้มั้ยครับ ถ้าเป็นคนที่มีกรอบความคิดแบบตายตัว หากล้มเหลวขนาดนั้น คงต้องหาเรื่องด่าคนโน้น โทษคนนี้ไปทั่ว ไม่ยอมหาทางแก้ไขตัวเอง แล้วในที่สุดก็คงจะไม่มีชื่อ Jesse Livermore ให้โลกกล่าวขานจนถึงวันนี้หรอกครับ
ปล. ท่านสามารถ อ่าน สรุป How to Trade in Stocks by Jesse Livermore และประวัติ ได้ที่นี่


Nicolas Darvas
Darvas เป็นตัวแทนของคนธรรมดาที่มีความมุ่งมั่นและพยายามเพื่อที่จะไปให้ถึงความสำเร็จให้ได้ครับ นี่คือข้อพิสูจน์คำกล่าวที่ว่า "คนที่ปรารถนาจะเป็นผู้ชนะ จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะชนะให้ได้" ถ้าเรามีเป้าหมาย แล้วไม่ย่อท้อ เดี๋ยวแรงดึงดูดจะพาหรือส่งคำใบ้ให้คุณเห็นเองครับ

แม้การเริ่มต้นของเขามันจะเป็นแบบฟลุ๊คก็ตาม คือกำไรหุ้นแบบไม่คาดฝัน และเพราะความที่เห็นว่าเงินจากตลาดหุ้นนั้นมันง่ายก็เลยเข้าไปเล่นหุ้น แต่ด้วยความที่ไม่รู้ประสีประสาจึงเริ่มเล่นแบบตามข่าววงใน เชื่อข่าวลือ ผลก็คือเจ๊งไม่เป็นท่า

กระนั้น,ด้วยความพิเศษของเขา คือ
ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ+ชอบศึกษาหาความรู้+ทบทวนตัวเอง
ก็ชักนำให้เขาลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง แต่ด้วยการใช้วิธีการเดิมแม้จะเปลี่ยนสนามมาเป็น Wall street ท้ายสุดก็ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้อีกครั้ง

พอทบทวนตัวเอง ก็พยายามศึกษาหาทางใหม่ใด้อีก ไม่เล่นหุ้นตามข่าวแล้ว เน้นหาความรู้เอง แต่ดันไปเชื่อเรื่องพื้นฐานมากไปหน่อย ไม่สนใจพฤติกรรมราคา ไปซื้อหุ้นที่คิดว่าดีสุด กะรวยกับตัวเดียวจึงกู้เงินมาเล่น ผลคือไม่กล้าตัดขาดทุน ก็เจ๊งจิตตกไปอีก

แต่กฎแห่งแรงดึงดูดก็ไม่ละทิ้งเขา ด้วยความอยากเอาคืน ก็ไปซื้อหุ้นตัวหนึ่งที่ปรับตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป (เป็นขาขึ้น) ซื้อแล้วกำไร ได้เงินคืนมาส่วนหนึ่ง

จึงเอาความสำเร็จแบบฟลุ๊คๆนี้มาแกะ ก็พบว่าแค่ดูวอลุ่มกับการเคลื่อนไหวของราคาที่เพิ่มขึ้นพ้องกันก็เพียงพอที่จะทำเงินแล้วนี่นา
พอใช้หลักการนี้ต่อ ก็ได้ไอเดียเพิ่มคือทฤษฎีกล่อง นั่นเอง
ก็กำไรกันสนุกเลยหลังจากนั้น

แต่เมื่อมั่นใจมากไปสุดขีด ตลาดก็เรียกเงินทันที
คือมองว่าทฤษฎีกล่องของตัวเองเจ๋งมาก น่าเอามาเล่น Daytrade ทำกำไรรายวันไปเลย
จึงไปเล่นในห้องค้า, พอเจอคนมากมาย ก็เป๋ ไม่ยึดหลัการตัวเอง ไม่ได้ใช้หลักการกล่อง กลับไปเล่นตามน้ำ ฟังข่าวลือ ตามชาวบ้าน ผลก็เข้าอีหรอบเดิมคือ ขาดทุนคืนเงินให้ตลาดไปพอสมควร

หลังจากจิตตกไปพักใหญ่ ก็ทบทวนตัวเองอีก พบว่า ที่เคยเล่นชนะมามากมายนั้น เขาต้องไม่สังคม ไม่รับข่าว เล่นหุ้นน้อยตัว มีเวลาวิเคราะห์อย่างใจเย็น และหาหุ้นด้วยตัวเอง
คือมีและเลือกเล่นในเกมของตัวเอง
เมื่อรู้ใจตัวเองเช่นนั้น ก็กลับไปเล่นสไตล์เดิม กำไรก็ท่วมหัวเลยคราวนี้

ปล. ท่านสามารถอ่าน สรุปหนังสือ How I Made $2,000,000 In Stocks Market ได้ที่นี่



Mark Minervini
พี่มาร์คของผมนี่ก็ชัดเจนครับ พลังของความพยายามล้นทะลักเกินขอบเขตของคนปกติครับ
คือแกทะเยอทะยานมาก การที่คนหนึ่งเรียนไม่จบมัธยม แต่กลับสร้างผลงาน สร้างกำไรจากการเทรดระดับมหาศาล จนเป็นไอดอลของคนรุ่นใหม่ทั้งโลกได้นี่ ต้องมี mindset ที่พัฒนาได้เท่านั้น
ทำไมผมคิดแบบนี้ ผมเคยสรุปเอาไว้ในโพสต์ "กว่าจะเป็น Mark Minervini ภาคมนุษย์" ดังนี้
(1) ภาคมนุษย์
ในโลกของการเทรดนั้น ภาคมนุษย์ก็คือ ความเป็นเทรดเดอร์ทั่วไปครับ ซึ่งมีอยู่ในตลาดถึง 90% เป็นอย่างน้อย พวกเขามีผลประกอบการในทางการเทรดที่ย่ำอยู่กับที่ ได้กำไรมา เดี๋ยวก็คืนตลาดไป บ่อยครั้งที่จ่ายดอกให้ตลาด ทำให้เงินต้นนับวันละลายหายไป รอวันที่จะออกจากตลาด

พี่มาร์คก็เคยเป็นหนึ่งใน 90% นี้เหมือนกันครับ แกก็ไม่ได้เกิดมาเก่ง ซื้อหุ้นตัวแรกก็รวยสิบเด้งเหมือนที่เม่าบางคนฝันกลางวัน

๑) เรียนไม่จบมัธยม นี่เป็นข้อมูลที่เซอร์ไพรส์มาก พี่มาร์คไม่จบมัธยมนะครับ แกออกจากโรงเรียนตอนมัธยมต้น อายุ 15 เท่านั้น และไม่มีทรัพย์สมบัติเหมือนคนอื่น

แกเลยต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองมาโดยตลอด ต้องดิ้นรนหางานทำเพื่อเลี้ยงตัว
แต่ด้วยข้อดีของแกที่มีเหนือกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันคือ
- ชอบอ่านหนังสือ กระหายในความรู้
- มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะประสบความสำเร็จ

สองข้อนี้แหละครับ ที่เป็นรากฐานที่นำทางให้แกมาถึงวันนี้ได้ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่ได้ คือถ้าคุณอยากเป็นผู้ชนะ แต่ขี้เกียจอ่านหนังสือ ก็เท่านั้น

เช่นกันถ้าเป็นหนอนหนังสือแต่ขาดความทะเยอทะยาน คุณก็เป็นเนิร์ดที่จมปลักกับโลกจินตนาการ

เมื่อหนุ่มมาร์ค มีความฝัน อยากจะมีชีวิตอนาคตที่ดี เขาจึงกลายเป็นคนที่กระหายในความรู้มาก ถ้าอยากรู้เรื่องใด ก็จะต้องอ่าน อ่าน และอ่าน สถานที่ประจำของเขาคือห้องสมุดท้องถิ่น ห้องสมุดมหาวิทยาลัยโดยพกเหรียญเต็มกระเป๋าเพื่อถ่ายเอกสาร ที่ร้านหนังสือถ้าเห็นว่าแพงแกก็จะยืนอ่านแล้วจดโน้ตบนกระดาษแผ่นเล็กๆเอาไว้

อะไรที่ผลักดันให้แกต้องมุ่งมั่นอ่านหนังสือขนาดนั้น?



๒) แกอยากเป็นนักเทรดหุ้นที่เก่งที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทำไมต้องเป็นเทรดเดอร์ ทั้งๆที่มีอาชีพมากมาย?
เพราะมองว่าตลาดหุ้นคือโอกาส ตลาดหุ้นเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมสำหรับรางวัลทางการเงิน อีกทั้งแกชอบความคิดของอิสภาพทางการทำงานที่บ้านและเป็นนายตัวเอง

ความจริงแล้ว แกก็เคยทำธุรกิจอื่นอยู่นะ แต่ไปต่อไม่ได้ คือมีไฟอยู่ แต่ขาดความหลงไหล พูดง่ายๆว่าไปไม่สุด ทำได้แค่ครึ่งๆกลางๆก็ทิ้ง เพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ไม่อยากจะตื่นขึ้นไปทำงาน เบื่อ ฯลฯ

เพราะเขาอยากจะมีอิสรภาพในการทำอะไร เมื่อไหร่ ที่ไหนก็ได้ ตามที่ต้องการ

ซึ่งปมก็คือ แกน่าจะแค้นที่ไม่ค่อยมีใครรับเด็กไม่จบมัธยมเข้าทำงานด้วยแหละ คงโดนดูถูกต่างๆนาๆ ตอนไปขอสมัครงาน โดนบ่อยเข้าก็เลยต้องคิดหาทางเพื่อเอาตัวรอด แบบที่ไม่ต้องไปง้อใคร หาอาชีพที่ไม่แบ่งวุฒิการศึกษา ตลาดหุ้นจึงเป็นโอกาสที่เปิดกว้างและไม่ลำเอียง (ทัศนคติที่พัฒนาได้)

พอดีช่วงนั้น เขาเห็นคนเริ่มรวยหุ้นอย่างมากมาย จึงคิดว่า ถ้าได้เรียนรู้วิธีเทรดหุ้นให้ประสบความสำเร็จ ความฝัน (คือมีอิสรภาพ) ก็น่าจะเป็นจริงขึ้นมาได้

จึงเอาเงินที่หามาได้(แกน่าจะไปทำงาน part time เก็บตังค์) ไปเล่นหุ้น เล่นรอบ เพื่อหาเงินเลี้ยงตัว

จึงไม่แปลกที่แกไล่อ่านเกลี้ยง ตั้งแต่ข่าวการเงิน และรายงานหุ้น อ่านหนังสือมาแล้วกว่าพันเล่ม (ทัศนคติที่พัฒนาได้)



๓) เริ่มเทรด ก็โดยรับน้องทันที
ปี1980 เชื่อโบรคเกอร์ให้ถัวเฉลี่ยหุ้นขาลง ขาดทุนยับเยิน สูญเงินหมด
จึงมีการเปลี่ยนโบรคเกอร์ใหม่ ที่มีวัยรุ่นราวคราวเดียวกัน
คราวนี้เลือกเล่นเฉพาะหุ้นขาขึ้น หากราคาลงต่ำกว่าราคาซื้อมาก ก็ตัดขาดทุน แต่ปัญหาคือ อายโบรคเกอร์ ไม่กล้าสั่งให้ตัดขาดทุน ยิ่งราคาลงลึกมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่กล้าโทร

สรุปก็คือ เปลี่ยนโบรค แต่ไม่กล้าตัดขาดทุน ในที่สุดก็เสียหายตามเคย

พยายามซื้อให้ได้ที่จุดต่ำสุด
ในช่วงนั้นแกยังไม่มีแนวทางของตัวเอง ก็เลยพยายามซื้อหุ้นราคาถูกที่ดีดตัวขึ้น ในระดับราคาที่เป็นจุดต่ำสุดเดิม(ซื้อที่แนวรับ) ผลก็คือราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ได้อีก ขาดทุนเพิ่มไปซะเฉยๆ

สรุปคือ แกทำเงินไม่ได้ถึง 6 ปีติดต่อกัน กลายเป็นช่วงที่ลองผิดลองถูกติดต่อกันไปมากกว่าทศวรรษ


๔) พบจุดเปลี่ยน
เมื่อขาดทุนหนักจนทนไม่ไหว คิดได้ ละเลิกอัตตานั้น จึงตั้งมานะไว้ว่าต้องรีบตัดขาดทุนให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด (ทัศนคติที่พัฒนาได้)

เปลี่ยนจากการยึดอัตตา(คืออายคนที่ขาดทุน) เป็นรีบขายตัดขาดทุนเพื่อรักษาเงินส่วนใหญ่ที่หามาได้อย่างยากลำบากไว้ให้เหลือมากที่สุด

ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นหุ้นที่ทำจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ ยังสามารถทำจุดสูงใหม่ได้เรื่อยๆ เลยเกิดความสังสัย และค้นคว้าต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้

แล้วแกก็พบว่าการลงมือเรียนรู้ค้นคว้าด้วยตัวเอง คิดถึงแต่ตัวเอง นั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะไม่มีใครสนใจเงินและอนาคตของคุณมากเท่าตัวคุณเอง ทำเอง พลาดเอง และความสำเร็จก็เป็นของคุณเอง ไม่มีใครทำให้คุณรวยนอกจากตัวคุณเอง



ต่อมา ผมก็ได้ต่อเติมอีกบางส่วนไว้ในโพสต์ กว่าจะเป็น Mark Minervini (ภาคเทพ)
คือมีอีกข้อ ที่สำคัญมากๆคือ
๕) เทรดแบบทำธุรกิจ คือเอาจริง ไม่เทรดแบบงานอดิเรก

ตรงนี้แหละครับที่ผมมองว่ามันเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
คือเอาจริง จะเอาดีในทางนี้ให้ได้
การเอาจริง มันจะเป็นอิทธิพลกำกับตัวคุณให้ยอมสละทุกอย่างเพื่อเป้าหมายได้
"No secrifice. No victory." แซม วิทวิคกี้ ได้ว่าไว้
เทรดเดอร์ที่พ่ายแพ้ คือคนที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้เป็นผู้ชนะ
มีแต่เทรดเดอร์ผู้ชนะเท่านั้น ที่กล้าเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ

เมื่อพี่มาร์ครู้ตัวว่า เป้าหมายของการเทรดคือ "การทำเงิน" ไม่ใช่การเป็นคนถูกต้อง
เขาจึงกลับมาวิเคราะห์ความผิดพลาดของตัวเอง เริ่มด้วยการฝึกฝนที่ถูกต้อง คือการมุ่งมั่นวิเคราะห์ผลงานของตนเองอย่างจริงจัง เพื่อค้นหาว่าวิธีการของคุณผิดตรงไหน
แกบอกว่า อย่าลืมหุ้นที่คุณขาดทุน นั่นเป็นวิถีของเทรดเดอร์ขี้แพ้ 90% จงกลับไปวิเคราะห์ความผิดพลาดและเรียนรู้จากมัน เพราะนั่นเป็นวิถีของมืออาชีพ
จึงทุ่มเวลา 70-80 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ อยู่กับการศึกษากราฟหุ้นและงบการเงิน
อะไรทำให้พี่เค้ามุมานะถึงขนาดนั้น บางคนอาจจะมองว่าแกบ้าไปหรือเปล่า ทำไมต้องจริงจังขนาดนั้น
สิ่งที่แกทุ่มเททำทั้งหมดนี้ ถ้าไม่มีกรอบคิดที่พัฒนาได้ ไม่มีทางทำลุล่วงแน่นอน

- ความหลงไหล คืออีกหนึ่งคุณสมบัติของคนที่จะประสบความสำเร็จ มันเรียนรู้กันไม่ได้ มันออกมาจากตัวคุณ มันเป็นสิ่งที่คุณสนุกกับมันจริงๆ และทำได้ดีเยี่ยม
(ประโยคนี้ ก็สื่อชัดว่า mindset แกได้) ที่สำคัญกว่านั้นคือ ทำโอที ให้ตัวเอง แม้นักเตะคนอื่นกลับบ้านไปหมด เขาก็ยังก้มหน้าก้มตาซ้อม
ซึ่งมันก็เป็นลักษณะเดียวกันที่พี่มาร์คทุ่มเวลา 70-80 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ เพื่อให้เวลาศึกษาเรื่องหุ้น

ดังนั้นหากคุณอยากจะเก่งหุ้น ต้องลงมือทำอย่างเดียว ลงมือทำ=เกิดประสบการณ์ มีทักษะ ที่จะติดตัวคุณไปตลอดชีวิต ไม่มีใครเอาไปจากตัวคุณได้
ซึ่งประสบการณ์ที่สั่งสม คือเครื่องมือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับความสำเร็จในชีวิตและการเทรดหุ้น



ถ้าคุณมีความหลงไหล + ความเป็นนักลงมือทำ จะทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ
เพราะการลงมือทำแม้นิดเดียวก็ยังมีค่ากว่าทฤษฎีมากนัก เมื่อคิดได้ก็ทำซะตั้งแต่ตอนนั้น และอย่าเพิ่งไปคิดไกลเกินกว่าการลงมือทำ ที่คนส่วนใหญ่ทำอะไรไม่สุดก็เพราะ คิดเยอะเกินไป เช่น
- ถ้าฉันเอาจริงมากไป ใครจะหัวเราะฉันหรือเปล่าว่าบ้า?
- ถ้าทำไม่สำเร็จล่ะ อายเค้าตายเลย
- ทำไปไม่ได้เงิน เสียเวลาเปล่า
ฯลฯ เหล่านี้คือความกังขาของคนแพ้

พี่มาร์คบอกว่า "ความสำเร็จยิ่งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นเมื่อผมตัดสินใจลืมเรื่องเงิน และมุ่งมั่นที่จะเป็นเทรดเดอร์ที่เก่งที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ แล้วเงินทองก็จะตามมาเอง"
ทำไปเถอะ ทำไป ทำในสิ่งที่ถ้าคุณทำสำเร็จแล้วมันจะผลิตเงินให้คุณในอนาคตอย่างมหาศาล

แต่ตอนนี้เขาเป็นเพียงแค่นักฝันเท่านั้น ถ้าหากต้องการจะไปถึงเป้าหมายนั้น ทำฝันให้เป็นจริง เขาต้องลงมือทำ ทำ ทำ ทำไปก่อน วางเป้าหมายนั้นลงชั่วคราว คิดแค่เพียงว่า การเหนื่อยฟรีในวันนี้ มันจะสร้างประสบการณ์ เสริมความแหลมคม อันจะเป็นวัตถุดิบ สารตั้งต้นในการผลิตเงินในอนาคต
ลืมเรื่องเงินไปก่อน ทำให้สนุก ถ้าเราเก่งขึ้น เดี๋ยวเงินก็จะวิ่งตามเราเอง

คนที่สนุกกับการลงทุนและศิลปะการเก็งกำไร สามารถจะเรียนรู้เทคนิคและวินัยที่จำเป็นที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในตลาดหุ้นได้ ขอให้มุ่งความสนใจไปที่การเป็นเทรดเดอร์ที่เก่งสุด แล้วเงินก็จะตามมาเอง

เป็นไงครับ สิ่งที่พี่เขาสื่อสารกับเรา มันเป็นสิ่งที่ผมเรียกว่า "ทัศนคติของผู้ชนะขนานแท้" เลย


Dan Zanger
พี่แดนของผม ก็มีทัศนคติและกรอบคิดไปในทางเดียวกันกับพี่มาร์คเลยครับ คือ มี "ทัศนคติของผู้ชนะขนานแท้" คนนี้ก็เรียนไม่จบมัธยมเช่นกัน แต่ก็สามารถพัฒนาตัวเองในระดับที่คนจบปริญญาเอกไม่สามารถเทียบได้ติด เขาทำได้ยังไง? แน่นอนว่า ต้องใช้ "กรอบคิดแบบพัฒนาได้" เป็นตัวขับเคลื่อน

ก่อนเข้ารายละเอียด เอาง่ายๆก่อนเลย ถ้าคุณเรียนจบแค่ ม. 3 คุณจะกล้ามีความฝันที่จะเป็นคนร่ำรวยแบบสุดโต่งมั้ย? ไม่มีทาง คุณก็จะเจียมตัว ไปหางานเป็นเด็กเสริฟ พนักงานร้านขายของไปตามเรื่อง คือเจียมตัวอย่างคนที่มีกรอบคิดแบบตายตัว ฉันถูกฟ้าลิขิตมาให้เป็นแบบนี้ บ้านฉันจน ฉันไม่มีวาสนา วันๆเอาแต่เหยียบย่ำตัวเอง ฉุดลงต่ำ ไม่เคยแม้แต่จะลุกขึ้นฉุดตัวเองให้เติบโตและไปให้ได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ หรือ "อยู่ในสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ตัวฝัน" 

แต่คนที่เขามีกรอบคิดแบบพัฒนาได้ "เขาจะยอมรับในสิ่งที่มี และจะอยู่และทำเพื่อสิ่งที่ตัวเองฝัน" เขาเชื่อว่า เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราสามารถสร้างอนาคตให้ดีกว่าอดีตได้ หน้าที่ของเขาก็คือตื่นขึ้นมาพร้อมกับความฝัน ทำตามแผนที่จะยกระดับตัวเองให้ก้าวหน้า เขาสามารถเก่ง สามารถพัฒนาได้อีก นี่แหละครับคือทัศนคติของผู้ชนะ

ในโพสต์ กว่าจะเป็น Dan Zanger ผมได้ให้รายละเอียดไว้ว่า
Daniel J. Zanger เกิดที่ Los Angeles แม้ว่าพ่อแม่ของเขาจะเป็นมืออาชีพ(พ่อเป็นแพทย์, แม่เป็นนักจิตวิทยา) แต่เขากลับเรียนไม่จบวิทยาลัย ต้องออกไปทำงานเป็นผู้รับเหมาสระว่ายน้ำ 

เขาเริ่มให้ความสนใจในการเล่นหุ้นในปี 1978 แล้วจากนั้นก็ให้ความตั้งใจต่อการเล่นหุ้นอย่างจริงจัง เขาซื้อคอมพิวเตอร์มาใช้เพื่อเทรดและศึกษากราฟหุ้น
ตั้งแต่ปี 1998 จนถึง 2000 คุณสามารถเห็นหนุ่มแดนเกาะติดหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่รายล้อมไปด้วยเพื่อนๆร่วมครึ่งโหล สายตาจับจ้องกราฟหุ้น 40-60 ตัว เพื่อรอดูการ Breakout แพทเทิร์นต่างๆ ที่มาพร้อมกับวอลลุ่ม เพื่อที่เขาจะใช้โอกาสนั้นเป็นจุดซื้อ และจะขายเมื่อราคาหุ้นนั้นทะลุ pattern ลง 

เมื่อเขาตัดสินใจซื้อหรือขาย กลุ่มเพื่อนก็จะทำตามเขา แต่มาวันนี้เพื่อนๆเหล่านั้นก็หายหมด จนเหลือเขาเพียงคนเดียวที่ยังเทรดอยู่ ซึ่งเพื่อนเขาโดยส่วนใหญ่นั้นมักจะถอดใจไปก่อน หรือหมดความมุ่งมั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ขาดทุนหรือพบว่าตลาดเล่นยาก

ทำงานหนัก ทุ่มเทเพื่อที่จะเอาดีให้ได้(มีกรอบคิดที่พัฒนาได้)
เขาใช้เวลานับ 10 ปีในการเรียนรู้วิธีการที่จะเทรดให้ได้กำไรแน่นอนว่าเขาต้องขาดทุนเป็นจำนวนมาก แต่กระนั้นเขาก็สามารถทำเงินได้จำนวนมากเช่นกัน สิ่งที่ทำให้เขาสามารถลุกขึ้นมาจากความล้มเหลวหรือการขาดทุนได้ก็คือ เขามีความรักต่อการเทรดนั่นเอง ซึ่งเมื่อเขาหลงใหลในการเทรดไปแล้ว เขาจึงไม่ต้องการที่จะล้มเลิกกลางคัน

เขาเรียนรู้ด้วยตัวเองโดยมีต้นแบบที่เขาศรัทธามากก็คือ William O'neil ผู้เป็นเจ้าของแนวคิด CANSLIM นั่นเอง



นอกจากนี้เขายังทำงานหนักในการเรียนรู้และพยายามที่จะศึกษาสิ่งที่เทรดเดอร์เก่งๆเขาทำกัน(มีกรอบคิดที่พัฒนาได้) เริ่มตั้งแต่ก่อนหน้าจะประสบความสำเร็จจนถึงจุดที่มั่งคั่งแล้ว
ดังนั้นเรื่องราวของเทรดเดอร์ไอดอลเหล่านั้นจะเป็นแรงบันดาลใจให้เขาต้องทำงานหนัก ศึกษาให้หนัก และเทรดให้มาก เพื่อที่จะมีโอกาสเป็นคนประสบความสำเร็จได้แบบเขาบ้าง(มีกรอบคิดที่พัฒนาได้)

พี่แดนพบว่าการมีความวิริยะ และหมั่นทำการบ้าน คือต้นตอรากฐานของความสำเร็จ(มีกรอบคิดที่พัฒนาได้) เขารู้สึกว่าเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ไม่ให้เวลากับเรื่องนี้ พวกเขาไม่มีความปรารถนาที่จะเรียนรู้ พวกเขาไม่มีการโฟกัสในสิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำอย่างจริงจัง ไม่มีการตรวจสอบว่าทำไมมันถึงใช้งานได้ ทำไมมันถึงทำไม่ได้ผล ไม่ลงทุนเวลากับมันเป็นปีๆเพื่อที่จะเรียนรู้ และใช้งานให้ได้จริงๆ

ที่คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะคิดว่าการเทรดเป็นเรื่องง่าย พวกเขาเข้ามาด้วยความหวังแต่อีกไม่นานเขาก็ถูกทำลายให้พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงเพราะไม่เอาจริงและไม่ใส่ใจ และจากนั้นพวกเขาก็ยังทำผิดพลาดซ้ำในเรื่องเดิมอีก ในเมื่อเขาไม่เรียนรู้ในสิ่งที่ตัวเองผิดพลาด ก็ไม่ต้องเดาว่าในอนาคตเขาจะเป็นยังไง แน่นอนว่าเขาจะต้องเป็นผู้แพ้ ต้องออกจากตลาดด้วยความชอกช้ำในที่สุด

10,0000 ชั่วโมง(มีกรอบคิดที่พัฒนาได้)
กว่าจะประสบความสำเร็จ เทรดเดอร์ต้องใช้เวลาร่วมร่วม 4-6 ปีเป็นอย่างน้อย ในช่วง 15 ปีก่อนหน้านี้เขาได้ใช้เวลามากกว่า 10,000 ชั่วโมงเพื่อการศึกษาทุกรูปแบบของ chart pattern ที่สามารถนึกขึ้นมาได้ จากรูปแบบราคาเริ่มต้นจากรูปแบบ Cup and handle ที่เรียนรู้จากอาจารย์ปู่โอนีล จนถึง falling wedges,  Ascending Triangles,  Bull and Bear Flag และรูปแบบอื่นๆอีกมากมายที่พอจะหาได้ และมันช่างโชคดีเหลือเกินที่รูปแบบราคาเหล่านี้ยังคงปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่องจนถึงวันนี้

พูดง่ายๆว่าการที่เขาได้เรียนรู้และจำรูปแบบราคาต่างๆได้มันทำให้เขาเห็นโอกาสที่จะทำเงินได้อย่างมากมาย ถ้าเขาทำการบ้านมากพอ (จึงไม่แปลกที่เขาจะเน้นย้ำนักหนาว่า ให้ขยันทำการบ้านเพื่อหาหุ้นอย่างจริงจังและเป็นนิสัย นี่ก็คือกรอบคิดที่พัฒนาได้)

และเมื่อเขาเอาความรู้ทางด้านรูปแบบราคา ไปรวมกับความรู้ทางด้านพื้นฐานที่เขามุ่งเน้นไปที่ความเติบโตของกำไรที่โดดเด่น(จาก CANSLIM) ด้วยแล้วมันยิ่งทำให้เขามีความปลอดภัยและแม่นยำในการเลือกหุ้นเล่นมากขึ้น



David Ryan
พี่ไรอัน เป็นอีกคนที่ผมเชื่อว่าแกมีกรอบคิดแบบพัฒนาได้ ซึ่งเคยได้ลงรายละเอียดไว้ในโพสต์ การล่าสมบัติของ David Ryan เอาไว้ดังนี้

มีคุณสมบัติของเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จอยู่เต็มเปี่ยม
จากเคสของ David Ryan เราจะพบว่าเขามีคุณสมบัติพื้นฐานที่ถูกต้องของการเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จอยู่ นั่นก็คือ 
๑) มีความหลงใหลต่อการลงทุนหุ้นตั้งแต่ยังเด็กเลย ต้องการจะลงทุนตั้งแต่ยังจำความได้

๒) และก็มีความมุ่งมั่นจริงจังให้ความสนใจเกี่ยวกับตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่เคยมีแม้สักวันที่เขาจะไม่ให้ความสนใจมัน ในประวัติถึงกับบอกว่าตอนที่เรียนมหาลัยเขาก็อ่านหนังสือทุกเล่มเกี่ยวกับการลงทุนหุ้นเท่าที่จะหามาได้ แสดงว่าเขาหลงใหลในเรื่องของการลงทุนเป็นอย่างมาก(กรอบคิดแบบพัฒนาได้)

๓) แน่นอนอีกคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับการเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จก็คือการเป็นหนอนหนังสือ ใช่แล้ว...เขาอ่านทุกเล่มที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับตลาดหุ้นก็แสดงว่า เขาชอบอ่านหนังสือมาก ซึ่งคนที่ปลูกฟังเขาก็น่าจะเป็นพ่อเขาเองนั่นแหละที่เป็นตัวอย่าง ตั้งแต่เด็กเข้าอ่านหนังสือ Wall Street journal ได้แล้ว (ซึ่งก็น่าจะเอาอย่างพ่อที่ทำตัวอย่างให้เห็นทุกวัน) ยิ่งโตมาก็ยิ่งอ่านมากขึ้น การที่เขาได้อ่านหนังสือมากขึ้นนี่เองมันทำให้เขาเห็นโอกาสที่ดีๆมากมาย

๔) เขาหลงใหลในการเทรดมาก จากข้อสังเกตของผู้เขียนหนังสือ market Wizard ยังบอกว่าที่ทำงานเขานั้นไม่ได้มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรที่ดีเยี่ยมเลย จึงเขียนลงไปว่า "สงสัยว่าตราบเท่าที่เขายังมีชาร์ทของเขาและเครื่องคอมพิวเตอร์ เขาก็คงเต็มใจที่จะทำงานในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าได้เลยด้วยซ้ำ" นี่ก็ย้ำชัดว่าพี่ไรอันชอบการเทรดซะเหลือเกิน (นี่ก็เป็นกรอบคิดแบบพัฒนาได้ เพราะมีความท้าทาย ว่าถ้าตัวเองดูกราฟเยอะๆ ก็จะจต้องเจอสมบัติ)



เทพก็เคยขาดทุนมาก่อน
จากที่อ่านมาเราคงคิดว่าชีวิตของพี่ไรอันนั้น ช่างเพียบพร้อมเสียเหลือเกิน มีพื้นฐานที่ดี เทรดก็เป็นผู้ชนะมาโดยตลอด แต่บอกเลยว่ามันยังไม่ใช่ทั้งหมด เทพอย่างเขาก็เคยขาดทุนมาก่อนเช่นกัน

ในช่วงแรกของการเทรดนั้นเขาก็แพ้เหมือนกันเขาเปิดบัญชีไปสองหมื่นเหรียญในช่วงต้นที่เข้ามาร่วมงานกับบริษัทของปู่โอนีล ในช่วงแรกเงิน 20,000 เพิ่มไปเป็น 52,000 เหรียญในปีต่อมา แต่จากนั้นก็เสียกำไรคืนให้ตลาดไปหมดรวมทั้งเงินต้นอีกด้วยบัญชีเขาลดลงมาเป็น 16,000 ดอลลาร์เลยทีเดียว

แน่นอนว่าเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังเป็นคนผิดเขาเลยนั่งศึกษาข้อผิดพลาดของตัวเอง(นี่แหละครับ เป็นกรอบคิดที่พัฒนาได้) ซึ่งเขาก็ทำทุกครั้งตั้งแต่เขาขาดทุนเป็นครั้งแรกซึ่งเขาพบว่าความร้ายแรงที่สุดของเขาคือเขาไม่รู้จักกาละเทศะ ก็คือว่าเขาไม่ได้เลือกว่าควรเล่นเวลาไหนแต่เขาจะเล่นหุ้นตลอดเวลา ไม่ว่าตลาดจะเป็นขาลงเขาก็ยังเล่นเต็มพอร์ท (ซึ่งในช่วงที่ตลาดเป็นขาลงนั้นมั่นใจได้เลยว่าเขาไม่สามารถที่จะกำไรกับหุ้นได้ทุกตัวไหมว่าหุ้นตัวนั้นมันจะมีกราฟสวยพึ่ง Breakout จากฐานราคาก็ตามแต่มันก็มีโอกาสที่จะล้มเหลวมากกว่าไปต่อทำกำไรให้กับเขาอย่างมากมาย)

และข้อผิดพลาดอีกอย่างก็คือเขาซื้อหุ้นในตอนที่ราคาเลยระดับที่ breakout ขึ้นไปมากแล้ว คือเขาซื้อตอนที่ราคาสูงขึ้นมาจากฐานราคา 15 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นจึงต้องมีความเสี่ยงจากการเทรดนั้นอย่างมากมาย

เมื่อเขารู้ว่าตัวเองมีจุดอ่อนตรงไหนแล้วความผิดพลาดทั้งหมดถูกบันทึกเอาไว้ เขาจึงคิดจะเริ่มต้นใหม่ด้วยการขายอสังหาบางชิ้นของตนเองและเอาเงินก้อนนั้นมาเพิ่มในบัญชีหุ้น

ที่เขามั่นใจอย่างนั้นเพราะว่านอกจากการเรียนรู้จากความผิดพลาด แล้วเขาก็ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการเทรดอย่างหนักมาก และตั้งใจว่าตัวเองจะต้องมีวินัยอย่างเคร่งครัด(กรอบคิดที่พัฒนาได้)

เมื่อตัวเองมีปณิธานแบบนั้นแล้ว เขาจึงพิสูจน์ตัวเองด้วยการเข้าร่วมการแข่งขันการลงทุนแห่งอเมริกา (U.S. Investing Championship) ซึ่งเขาชนะด้วยผลตอบแทน 161 เปอร์เซ็นต์ และในปีต่อต่อไปก็ได้ผลตอบแทนมากกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเขาก็ชนะอีก 2 ครั้ง

ตรงนี้แหละที่เป็นตัวพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาได้ตระหนักรู้ถึงความผิดพลาดของตัวเอง และพยายามที่จะศึกษาอย่างหนักรวมถึงมีวินัยต่อตัวเองอย่างเคร่งครัดเขาถึงทำได้สำเร็จ(กรอบคิดที่พัฒนาได้)


เสี่ยยักษ์ วิชัย วชิรพงศ์
มาดูของบ้านเราบ้างครับ ไม่ใช่ใครอื่น ไอดอลของผมเองครับ ใจความในหนังสือ "กูรูหุ้นพันล้าน" สามารถบอกความเป็นคนที่มี "กรอบคิดแบบพัฒนาได้" อย่างชัดเจนเลยครับ
ผมได้คัดเอาแนวคิดเหล่านั้นไปไว้ในโพสต์  เสี่ยยักษ์'s Methods ครับ

ความมุ่งมั่น(มีกรอบคิดที่พฒนาได้อย่างชัดเจนมาก)
- สมัยที่ยังเล่นหุ้นไม่เก่ง วิธีที่ผมใช้..ผมจะลอกข้อสอบคนเก่งกว่า แต่ระหว่างที่เราลอกข้อสอบเขา เราก็ต้องพัฒนาตัวเองตามให้ทัน
- คุณต้องฝึกซ้อม..คุณต้องฝึกซ้อม..คุณต้องฝึกซ้อม..คุณต้องสู้ตาย..คุณต้องทุ่มเท
- โชคชะตาจะเลือกช่วยเหลือเฉพาะคนที่มีความพยายาม(มากกว่า)เท่านั้น
- ถ้าวันหนึ่งคนอื่นทำงาน 8 ชั่วโมง เราต้องทำงาน 10 ชั่วโมง ต้องกลับมา “ชนะ” ให้ได้
- ชีวิตคนเราขอให้ชนะอะไรสักครั้งหนึ่ง เราจะไม่กลัว แล้วชีวิตเราจะชนะอยู่เรื่อยๆ




เรียนรู้จากความผิดพลาด(นี่ก็ใช่ กรอบคิดที่พัฒนาได้)
- ประสบการณ์ที่ผิดพลาดจะเป็นบทเรียนสอนคุณเอง..ถ้าคุณยอมรับมัน และพร้อมที่จะแก้ไข คุณจะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้ามัวแต่นั่งโทษคนนั้นคนนี้ โทษไอ้นั่น โทษไอ้นี่ คุณจะไม่มีวันพัฒนาตัวเอง…
- ข้อผิดพลาดของนักลงทุน มักมาจากความ “ดื้อรั้น” ของตัวเอง
ความรู้เรียนทันกันได้ ประสบการณ์ก็เรียนรู้ได้ แต่อุปนิสัยกับวิธีคิดของคนเรา “เปลี่ยนไม่ง่าย” เราต้องเริ่มต้นจากการยอมรับความผิดพลาดของเราเอง อย่าไปโทษคนอื่น นำกลับมาแก้ไข เชื่อผม! แล้วคุณจะเล่นหุ้นเก่งขึ้น

- ผมขอแนะนำให้จดไดอารี่ทุกวัน นั่นคือการทบทวนตัวคุณเอง คุณจะได้เก็บเอาไว้อ่าน คุณเจ็บตรงไหน วันนี้คุณโดน (เทคนิเคิล) หลอกอย่างไร?" เขาอธิบายว่า ข้อผิดพลาดของนักลงทุน มักมาจากความ "ดื้อรั้น" ของตัวเอง เทคนิเคิลมันตัดลงมาตั้งนานแล้ว แต่ว่าเรายังดื้อ ยังเล่นอยู่ แสดงว่า "คุณผิดเอง ตลาดไม่ผิด"




สิ่งที่อยากบอกน้องๆ(เต็มไปด้วยกรอบคิดที่พัฒนาได้)
- นักลงทุนรายย่อยทุกคน มีสิทธิรวยได้...เชื่อผม! แต่ต้องขยัน ต้องทุ่มเท ต้องเป็นมืออาชีพจริงๆ
- นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ จะต้องค้นให้พบแนวทางของตัวเอง มีต้นแบบได้ แต่ต้องไม่ใช่การลอกเลียนแบบผู้อื่น..ต้องไม่ยืมจมูกคนอื่นหายใจ
- หากคุณยังไม่มีประสบการณ์เลย คุณต้องขาดทุนก่อน ในชีวิตจริงต้องเป็นอย่างนั้น นักลงทุนมือใหม่ "ขาดทุน" ถือเป็นเรื่องปกติ"
- เล่นหุ้นแล้วขาดทุน แสดงว่าคุณยังรู้ไม่จริง
- คนบ้านนอกที่มีฐานะธรรมดาๆ ยังสามารถเล่นหุ้นรวยเป็นพันล้านได้ ผมเชื่อว่าพวกคุณทุกคน ก็มีโอกาสรวยระดับร้อยล้านได้ทุกคน...อย่าเพิ่งท้อ
- ทุกคนจะมีจังหวะฟ้าลิขิต...ทุกคนต้องเคยได้รับโอกาสนั้น แต่คุณจะตักตวงมันได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง
-  อยู่ในตลาดหุ้นอย่าคิดว่าเราเก่งกว่าคนอื่น ยังมีคนที่รู้มากกว่าและเก่งกว่าเราตั้งเยอะแยะ เราต้องรู้ให้ได้ว่าหุ้นที่เราจะซื้อ…เราซื้อเพราะอะไร ? เราต้องตอบให้ได้ว่า หุ้นตัวนี้มันจะขึ้นด้วยเหตุผลอะไร ? ถ้าคุณตอบได้ โอกาส “ชนะ” ก็มีมากกว่าครึ่ง “คนจะเกิด(ในตลาดหุ้น)มันต้องเกิดจากการไขว่คว้า…ไม่ใช่ฟลุ้ค!”
ความรู้เรียนทันกันได้ ประสบการณ์ก็เรียนรู้ได้ แต่อุปนิสัยกับวิธีคิดของคนเรา “เปลี่ยนไม่ง่าย” เราต้องเริ่มต้นจากการยอมรับความผิดพลาดของเราเอง อย่าไปโทษคนอื่น นำกลับมาแก้ไข เชื่อผม! แล้วคุณจะเล่นหุ้นเก่งขึ้น
การที่คุณอ่านหนังสือเท่ากับรู้แค่ทฤษฎี ยังถือว่า “รู้ไม่จริง” ต้องเอา 2 อย่างนี้มาใช้ร่วมกัน เพื่อสร้างประสบการณ์แห่งการเรียนรู้ให้เกิดขึ้น

- หลายคนเล่นหุ้นแล้วไม่ได้ตังค์หรือได้กำไรน้อย สาเหตุที่คุณไม่ชนะ เพราะเจอแบบไม่มีกลยุทธ์ กล้าๆกลัวๆอ่านตลาดไม่ขาด จะซื้อตามก็ไม่กล้า (จะรอให้มันปรับฐานราคาก่อน…สุดท้ายก็ไปซื้อแพง) หุ้นขึ้นนิดหน่อยก็รีบขายตัดกำไรทิ้ง เท่าที่สังเกต…พฤติกรรมอย่างนี้ จะเกิดกับคนที่เทรดหุ้นทุกวัน สมองมันไม่มีจุดคิด เพราะการตัดสินใจบ่อยมันพลาดได้ง่าย ข้อเสียอีกอย่างคือ ใจไม่นิ่ง



เสี่ยป๋อง วัชระ แก้วสว่าง
คนสุดท้ายครับ ซึ่งจริงๆแล้ว ผมเชื่อว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จทุกคนล้วนมีกรอบคิดแบบพัฒนาได้กันทั้งนั้นแหละครับ แต่ด้วยความที่มีน้อยคนนักที่กล้าถลกเสื้อให้เห็นรอยแผลข้างหลังให้เราเห็น กล้าบอกว่าตัวเองเคยล้มมาก่อน แล้วสามารถลุกขึ้นมาชนะใหม่ได้ ขอบอกว่าท่านใจถึงมากครับ

ผมขอเอาเนื้อหาบางส่วนจากโพสต์ เสี่ยป๋อง วัชระ แก้วสว่าง กับการบริหารเงินสู่เซียนหุ้นพันล้าน ของเว็บ moneyhub.in.th นะครับ

"เขาเริ่มต้นในตลาดหุ้นด้วยเงินพอร์ตเพียง 500,000 บาท ด้วยเงินจากการช่วยทำงานที่บ้านและเก็บสะสมเพื่อนำมาลงทุนในตลาดหุ้น แม้ว่าจะลองผิดลองถูกมากมาพอสมควรกว่าจะประสบความสำเร็จ แต่การพ่ายแพ้และการขาดทุนก็ไม่ได้ทำให้เขาคนนี้ยอมแพ้และหยุดลงทุนในตลาดหุ้น เพราะเขาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนได้เป็นอย่างดีว่ามันไม่มีหนทางใดราบเรียบไปตลอดได้แต่แค่อดทนและอย่ายอมแพ้ทุกอย่างก็จะสามารถผ่านพ้นไปด้วยดีได้"
ตรงนี้ชัดเจนครับ
- ขาดทุนหนัก แต่ไม่ยอมแพ้ (ต้องเป็นคนที่มีกรอบคิดพัฒนาได้เท่านั้น)
- เชื่อว่าในการลงทุนไม่มีหนทางใดราบเรียบไปตลอด แค่อดทนและอย่ายอมแพ้ทุกอย่างก็จะสามารถผ่านพ้นไปด้วยดีได้ (นี่ก็ใช่ครับ)

"แม้ว่าจะมีช่วงหนึ่งที่เสี่ยป๋องเลือกหยุดลงทุนกับหุ้นไปเพราะว่าขาดทุนถึง 2 ครั้งต่อกัน ทำให้เสียเงินไปจำนวนไม่น้อย แต่ช่วงเวลาที่หยุดลงทุนก็ไม่ได้หยุดหาเทคนิคและข้อมูลเพื่อนำมาพัฒนาให้การลงทุนในตลาดหุ้นดีขึ้น และสร้างกำไรให้แก่ตนเองมากยิ่งขึ้น ใช้การคิดวิเคราะห์ในการลงทุนให้มากขึ้นกว่าเก่า และเมื่อพร้อมก็กลับเข้ามาเริ่มลงทุนใหม่ ทำให้เขาสามารถมีกำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นมูลค่าที่งอกงามจนถึงหลักพันล้าน"
- ขาดทุนแล้วหยุดไปพิจารณาตัวเอง เพื่อพัฒนาให้ดีขึ้น ชัดเจนครับเพราะถ้าเขาไม่มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ชนะ ก็จะไม่ยอมหยุดเพื่อตรวจสอบตัวเองแน่ ผู้ที่อยากชนะเท่านั้นที่กล้าตรวจสอบตัวเอง



ก็ถือว่าบทความนี้ยาวเหยียด ยาวกว่าที่ผมเคยทำมาทั้งหมดเลยครับ ซึ่งผมตั้งใจทำมาก เพราะรู้สึกตื่นเต้นและอยากแชร์ให้สมาชิกได้อ่านกัน ก็อยากให้บทความนี้มันเป็นตัวช่วยกระตุ้นให้ท่านปรับทัศนคติของตัวเองให้เป็นแบบพัฒนาได้นะครับ ส่วนใครที่คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติแบบพัฒนาได้อยู่แล้ว ก็ให้ท่านมีความมั่นใจครับ ว่าท่านมาถูกทางแล้ว ให้พยายามต่อไป การจะเป็นคนรวยนั้น หากพยายามไม่พอคุณก็ยังไม่พบจุดกลมกล่อม(Sweet Spot) ของตนเอง เมื่อยังไม่เจอก็อย่าท้อครับ พัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้าไปทีละนิด ไม่ต้องเร่ง เดี๋ยวก็เจอครับ เมื่อนั้นแหละ ปรากฎการณ์คล้ายๆกับการกดเงินในตู้ ATM แล้วมันหลั่งไหลทะลักออกมาแบบไม่หยุด จะเกิดขึ้นกับคุณครับ

"คนที่สนุกกับการลงทุนและศิลปะการเก็งกำไร สามารถจะเรียนรู้เทคนิคและวินัยที่จำเป็นที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในตลาดหุ้นได้ ขอให้มุ่งความสนใจไปที่การเป็นเทรดเดอร์ที่เก่งสุด แล้วเงินก็จะตามมาเอง"
- Mark Minervini




(แนะนำเพิ่มเติม ความรู้การเทรดหุ้นของฟรี)
หากต้องการศึกษาวิธีเล่นหุ้น แนะนำให้ไปอ่านบทความฟรี คลิปฟรีที่นี่ก่อนก็ได้
เรียนเล่นหุ้น เรียนเทรด forex จิตวิทยาการเทรด มือใหม่เล่นหุ้น
คลิกลิ้งนี้ครับ https://www.zyo71.com/p/index.html เป็นสารบัญเว็บ zyo71.com นี้แหละครับ


ส่วนนี่เป็น ช่องยูทูป ของผมเอง ดูฟรีเช่นกันครับ
เข้าไปชม คลิกที่ลิ้งนี้ www.youtube.com/channel/UCTDoP5zRI4hRETT_2SSlPag/videos

7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

VCP (Volatility Contraction Pattern) และรูปแบบที่คล้ายกัน

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo

แชร์วิธีการหารายได้จากการช่วยขาย ebook ที่ mebmarket.com

อธิบาย Wyckoff Accumulation Phase แบบละเอียดยิบ