#1 An object in motion will stay in motion
ข้อแรกนี้เขาเชื่อเหมือนทฤษฎี Dow คือการเคลื่อนที่ของราคาจะยังคงวิ่งไปตามแนวโน้มนั้นไปได้เรื่อยๆ ตราบจนกว่าจะมีของหนักมาขวางไม่ให้ไปต่อ
พูดง่ายๆ หุ้นที่ทำนิวไฮได้ มันก็จะนิวไฮไปได้อีก
ตรงกันข้ามหุ้นที่นิวโลว์ มันยังจะโลว์ได้อีกเช่นกัน
ถ้าคุณยังพยายามจะซื้อที่จุดต่ำสุด หรือขายที่จุดสูงสุด คุณก็จะพบว่าตัวเองอยู่คนละฝั่งกับตลาดอยู่เรื่อยไป ถ้าอยากจะได้กำไร จงเดินไปตามกระแสของแนวโน้มดีที่สุด
#2 The Magic T Indicator
ในที่นี้, มันคือ Terry Laundry T Theory
ต้องออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้มาก่อน ก็ด้นเอาตอนนี้เลย จึงออกจะมั่วๆไปพอสมควร
จากการค้น google หน้าตาของมันเป็นแบบนี้
โดยแนวคิดของทฤษฎีนี้คือ Markets spend the same amount of time going up and down
น่าจะหมายความว่า ตลาดมันจะใช้เวลาย่อและเด้งเป็นระยะเวลาเท่าๆกัน (นึกถึงภาพตัว T ไว้ครับ)
โดยในที่นี้คุณต้องใช้ Long Term T Theory Oscillator เป็นตัวช่วย (ผมไม่มีนะ ต้องหากันเอาเอง)
ซึ่งถ้าดูไอเดียของหลักการนี้ ก็จะเอามาเป็นตัวช่วยในการจับจังหวะซื้อหือขายหุ้น เช่นถ้าช่วงเวลานี้อินดิเคเตอร์มันย่อแล้ว เดี๋ยวพอมันเด้งก็จะใช้ระยะเวลาเท่าๆกัน อะไรประมาณนี้
แต่กระนั้น, เขาก็ไม่ได้คิดที่จะหาจุดสูงสุดหรือต่ำสุดของการสวิงนะ เพียงแค่หาแนวโน้มหลักให้เจอ แล้วก็เข้าร่วมวงทำเงินกับมันให้นานที่สุด
#3 Red light / Green light
ตัวช่วยในการหาไฟเขียวกับไฟแดง ก็คือเส้น Exponential moving average (EMA) 10
หลักการง่ายๆคือ Long เมื่อราคาวิ่งเหนือ EMA10 และ Short เมื่อราคาวิ่งใต้ EMA10
ใช้ได้ทั้งกราฟ Daily chart หรือ Weekly chart ให้ใช้การเคลื่อนไหวของราคากับเส้นค่าเฉลี่ยนี้ เป็นไกด์สำหรับการเข้าไปลงทุน (นี่ก็ตามแนวโน้มอีกแล้ว)
#4 Don’t put stops below the low and above the high in a range
เขาแนะนำให้นำเส้นค่าเฉลี่ยมาช่วย คือถ้าเห็นว่าราคาย่อลงมาชนเส้นค่าเฉลี่ยถี่ขึ้น ให้ระวังตัวและเตรียมพร้อมที่จะออกจากการเทรดให้ได้ทุกเมื่อ
ถ้าคุณพบว่าระดับ stop loss ที่ตั้งไว้ ถูกทดสอบบ่อยๆ ก็ให้ระวังดีๆ เฝ้าอย่าให้คลาดสายตา
#5 Put/Call contrarian indicator
นี่เป็นอีกอินดิเคเตอร์อีกตัวที่เขาใช้ Put/Call ratio (ซึ่งผมก็ไม่เคยใช้เช่นกัน)
สูตรคือ Put/Call Ratio = Put Volume / Call Volume
มันเป็นหลักการของเหล่าชาวสวน หรือ Contrarians พวกนี้จะใช้อารมณ์ตลาดเป็นตัวช่วยในการจับจังหวะเข้าเทรด อารมณ์เหมือนเจอ overbought ให้ขาย หรือ oversold ก็ให้ซื้อสวน
#6 Understand the news
เขาจะดูปฏิกริยาของราคาที่ได้รับผลกระทบจากข่าว เพื่อดูความแข็งแรงและอารมณ์ตลาด
ข้อมูลที่สร้างความประหลาดใจและความเบี่ยงเบนอย่างมีนัยสำคัญจากความคาดหวัง - สามารถขับเคลื่อนให้ตลาดวิ่งได้ สิ่งที่ใครๆรู้อยู่แล้วมักจะไม่มีค่า
Mindset and psychology
#7 Connect with your charts and work ethic
การลงรายละเอียดในกราฟด้วยมือตัวเอง (ลงทุนวาดมือ - หรือปัจจุบันน่าจะเป็นการปริ้นกราฟใส่กระดาษแล้วลากเส้นหาเบาะแสด้วยตัวเอง) เป็นหนึ่งในปัจจัยของความสำเร็จ แม้มันจะใช้เวลามากขึ้นแต่ก็ทำให้เห็นรายละเอียดได้รอบด้านกว่าเดิม
เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มันจะใช้วิธีสุ่มแสกนไปเรื่อยๆจนกว่าจะเจอสิ่งที่ตัวเองต้องการ ซึ่งใครๆก็ทำกัน ดังนั้น, ถ้าคุณใส่ใจในรายละเอียดที่มากกว่าคนส่วนใหญ่เขาทำ คุณก็จะเห็นโอกาสที่มากกว่าใคร
ทำแบบนี้ให้เป็นนิสัย นี่แหละคือสิ่งที่คัดแยกเทรดเดอร์ผู้แพ้กับผู้ชนะออกจากกัน
#8 Use a checklist and a trade plan
ก่อนตัดสินใจลงมือเทรด เขามีเคล็ดลับ 2 อย่าง
๑) สิ่งที่เขาจะเทรด ต้องผ่านการทำการบ้านมาแล้วอย่างดี (ก็คือจากกราฟที่เขาวาดเองนั่นแหละ) ซึ่งต้องผ่าน Checklist ทั้งหมดที่ตั้งไว้
๒) ต้องมีแผนไว้ก่อนแล้ว การมีแผนจะทำให้คุณกล้าและอดทนต่อปัญหาหน้างาน
#9 Before putting on a position always ask, ‘Do I really want to have this position?’”
การที่จะเทรด ให้ถามตัวเองก่อนเสมอว่า "ไม้นี้มึงอยากเข้าจริงๆใช่มั้ย?"
การถอยออกมาดูภาพรวมก่อนลงมือ ถือเป็นอีกส่วนสำคัญของการเทรดที่ประสบความสำเร็จ
ดู checklist, ดูแผนการเทรด ว่ามันมีการละเมิดบ้างหรือเปล่า
อาจจะดูเหมือนย้ำคิดย้ำทำนะ แต่ก็ควรยึดหลักการนี้ให้แน่นหนา เพราะบ่อยครั้งที่อารมณ์มักจะมีอำนาจเหนือวินัย ดังนั้น,กายถอยออกมาตั้งคำถามก่อนลงมือ ถือว่าจำเป็นและควรทำอย่างยิ่ง
#10 “My biggest losses have always followed my largest profits.”
ชนะแล้วอย่าเหลิง เพราะเมื่อไหร่ทีคุณมีความมั่นใจเกินพอดี เมื่อนั้นตลาดจะเอาคืนอย่างสาสม
เมื่อเทรดเดอร์กำไรต่อเนื่อง มักจะคิดว่าตัวเองกลายร่างเป็นเทพไปแล้ว จึงหลงลืมวินัย และกฎที่ตัวเองใช้จนกำไรมามากมาย เมื่อคุณไม่ทำตามกฎ เมื่อคุณไม่มีความอดทนพอ ตลาดก็จะสั่งสอนคุณ
#11 Your greatest enemy as a trader
เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักจะคิดเพียงอย่างเดียวคือ "เอาชนะตลาด" ด้วยการอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตลาด
เขาต้องการพิสูจน์ว่าตัวเองถูก แต่ตลาดผิด ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ฉลาดเลย
อย่าพิสูจน์ตัวเอง แต่จงฟังสัญญาณกระแสเงินจากตลาดแล้วเข้าร่วมวงกับมัน