การบริหารความเสี่ยง: ไม่ใช่แค่การตั้ง Stop Loss แบบเดาสุ่ม

Image
การบริหารความเสี่ยง: ไม่ใช่แค่การตั้ง Stop Loss แบบเดาสุ่ม แปลจาก https://x.com/NickSchmidt_/status/1870997680513544635?t=v5ED4IJCHVAJTwaAGY3IqQ&s=19 หลายคนเข้าใจผิดว่า การตั้ง Stop Loss เป็นเพียงการกำหนดเปอร์เซ็นต์ขาดทุนแบบสุ่มเพื่อป้องกันความเสียหาย แต่ความจริงแล้ว การตั้ง Stop Loss ที่ถูกต้องต้องมีเหตุผลที่สอดคล้องกับโครงสร้างและแผนการเทรดของคุณ eBook "Risk Management: การบริหารจัดการความเสี่ยงเบื้องต้นสำหรับนักเทรด" มีจำหน่ายที่แอพ Meb เท่านั้น  https://www.mebmarket.com/?action=book_details&book_id=332340 สิ่งที่นักเทรดมือใหม่ควรรู้เกี่ยวกับ Stop Loss 1. Stop Loss ควรมีเหตุผล ไม่ใช่แค่เปอร์เซ็นต ตัวอย่าง: คุณอาจใช้กฎ 7% เป็นขีดจำกัดการขาดทุน แต่ไม่ใช่ว่าแค่ซื้อหุ้นแล้วตั้ง Stop Loss ไว้ที่ 7% โดยไม่มีการพิจารณาโครงสร้างของหุ้น นั่นไม่ใช่การบริหารความเสี่ยงที่ดี 2. Stop Loss ต้องเข้ากับลักษณะของการเทรด หุ้นที่ยังแข็งแรง: บางครั้งหุ้นอาจปรับฐาน 10% แต่ยังคงแนวโน้มที่แข็งแรงและโครงสร้างไม่เสียหาย ถ้า Stop Loss ของคุณตั้งไว้ต่ำเกินไป เช่น 7% โดยไม่สอดคล้องกับธรรมชาติ...

สรุปหนังสือ "หุ้นขาขึ้นรอบใหญ่"

สรุปหนังสือ "หุ้นขาขึ้นรอบใหญ่"

ก่อนจะถึงช่วงสรุป ขอเล่าที่มากว่าจะเป็นหนังสือเล่มนี้ก่อนนะครับ
ความจริงแล้วผมเป็นนักเทรดมาก่อนครับ 
แต่ด้วยความที่ตัวเองบ้าพลัง ขยันโพสต์มาก 
แทบจะทุกวัน ผมมักจะแปลบทความจากต่างประเทศ, หาข้อมูลการเทรดใหม่ๆ, แนวทางการเทรดของผู้ประสบความสำเร็จ รวมถึงสรุปหนังสือมาโพสต์ลง facebook ให้สมาชิกอ่านกัน
ความขยันโพสต์นี่เอง ทำให้มีการแชร์บทความออกไปอย่างแพร่หลาย
จึงทำให้มีคนเข้ามาติดตามมากขึ้นเรื่อยๆ
จนวันหนึ่ง สมาชิกก็ได้แนะนำให้ผม"รวมเล่ม" 
นี่แหละครับ ที่เป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้
คือไม่ได้ตั้งใจเขียนตั้งแต่แรกหรอก ผู้อ่านขอให้ทำ



เมื่อได้รับโจทย์มาแบบนี้ ผมก็กลับไปดูเนื้อหาที่เคยทำไว้
พบว่ามีเยอะมาก การจะเอาทั้งหมดมายัดไว้ในเล่ม มันดูมักง่ายเกินไป
ผู้อ่านไม่น่าจะได้ประโยชน์อะไรมากหนังสือมากนัก เพราะมันหลากหลาย วาไรตี้เกิน

ฉะนั้น ผมจึงขอเลือกรวมเนื้อหาที่มันสามารถใช้เป็นคู่มืออ้างอิงให้กับผู้อ่านอย่างแท้จริง
คือตั้งใจว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปหลายปี ห้าปี สิบปี เนื้อหาในเล่มนี้ก็ไม่ล้าสมัย
ผมก็เลยเลืกเอาแนวทางการเทรดที่ผมชอบและใช้มาในระยะเวลาหนึ่งแล้ว 
ซึ่งใช้ดี ได้หุ้นกำไรเป็นเด้ง หรือเกือบเด้ง มาหลายตัว



มันเป็นแนวทางการเทรดแบบ "ตามแนวโน้ม" หรือ รันเทรนด์ หรือซื้อแล้วถือ นั่นเองครับ
เพราะก่อนหน้าที่ผมจะได้กำไรหุ้นแบบเป็นเนื้อเป็นหนังนั้น
เคยลองมาหลายรูปแบบ ตั้งแต่ ซื้อตามอินดิเคเตอร์, ซื้อตามข่าวลือ, ซื้อดักที่ก้น, ไล่ซื้อหุ้นซิ่ง, เก็บหุ้นตอนย่อ ฯลฯ มันไม่ประสบความสำเร็จเลยครับ
ขาดทุนยับเลย เพราะมักจะเจอหุ้นปั่น กับหุ้นเน่าขาลง พอร์ตแทบพัง

ระหว่างนั้น ก็แอบได้กำไรหุ้น อย่าง LIVE, KOOL, MEGA 
ก็เห็นจุดร่วมบางอย่าง ว่าถ้าหุ้นมันจะวิ่งเป็นเด้งนั้น มันมีส่วนประกอบที่คล้ายๆกันนะ
ไม่ว่าจะเป็นจุดเริ่มต้น ทรงของการวิ่ง และช่วงที่จบรอบ
เมื่อผมเห็นแบบนั้น จึงเอามาเป็นแนวคิดหลักของเล่มนี้ครับ
คือเอาตั้งแต่การหาหุ้น จุดซื้อ การทนรวย และขาย โดยผมยังมีไฮไลท์อีกอย่าง คือ
การ stop loss ครับ ผมได้จัดเต็มเกี่ยวกับการสร้างวิธีคิดให้เชื่อว่าการตัดขาดทุนนั้นมันจำเป็น
ซึ่งสิ่งที่ผมต้องการทำให้ผู้อ่านคือความเป็นวงจร ตั้งแต่ซื้อ ยันขายไปเลย
ท่านจะได้เอาไปเป็นคู่มืออ้างอิงในการเทรด ติดตรงไหนก็หยิบมาเปิดอ่านได้



ผลตอบรับจากผู้อ่านก็ยอดเยี่ยมมากครับ มีการบอกต่อกันในวงกว้าง
นักเทรดหลากหลายแนวซื้อไปอ่านกัน
แนววีไอก็ให้ความสนใจ เพราะเขาต้องการจุดซื้อต้นเทรนด์ โดยไม่ต้องรอนาน
ส่วนแนวเทคนิคอล ก็ได้ไอเดียใหม่ๆ ที่ให้ข้อมูลรอบด้าน จากที่ตอนแรกขายเอง ก็มีสาย FOREX เข้ามาซื้อด้วย พอถามเหตุผลว่าทำไม เขาบอกว่า แนวคิดนี้สามารถเอาไปประยุกต์ใช้ได้ เพราะอยากได้กำไรคำใหญ่ๆ ต้องคิดตามแนวทางนี้ ฯลฯ

หนังสือเล่มนี้ก็เป็นแนวทางที่ผมใช้เป็นประจำ จนถึงบัดนี้ครับ
และคงไม่เปลี่ยนอะไรมากนัก ในส่วนของเทคนิคอล
ต่อไปผมจะมุ่งเน้นไปที่การปรับสภาพจิตให้นิ่งมากขึ้น อันจะทำให้เข้าแม่นขึ้น ทนรวยได้นานขึ้น
อันจะทำให้สามารถสร้างความมั่งคั่งได้จากการเทรดอย่างยั่งยืนครับ

ติดต่อสั่งซื้อได้ที่เพจ Zyobooks : facebook.com/zyobooks ครับ



ทดลองอ่านตัวอย่าง คลิกที่นี่ครับ
เพจหนังสือหุ้นขาขึ้นรอบใหญ่ คลิกที่นี่ครับ

 Update ตอนนี้ มีขายในรูปแบบ eBook แล้วครับ ที่เว็บ mebmarket.com
คลิกที่ >> หุ้นขาขึ้นรอบใหญ่ ครับ
สรุปแบบย่อๆสั้นๆ
จะเป็นรูปภาพง่ายๆแบบนี้ครับ

รูปเดียวนี่แหละครับที่เป็นที่สรุปเนื้อหาทุกอย่างในเล่มนี้แบบหยาบๆ
ซึ่งเล่มนี้จะโฟกัสเฉพาะช่่วงสะสม-ขาขึ้น-แจกจ่าย เท่านั้น เพราะเราต้องการเล่นหุ้นขาขึ้นรอบใหญ่

โดยระหว่างแต่ละบท, ผมจะใช้แนวคิด wyckoff , price pattern ต่างๆ มาขยายความในส่วนของการสะสมและแจกจ่าย รวมถึงใช้แนวคิด magic line มาช่วยให้ทนถือจนจบรอบ

สำหรับผู้เขียนเอง, ความสนุกและท้าทายที่สุดคือการเอารายละเอียดปลีกย่อย ความเชื่อต่างๆที่เคยอ่านเจอ หรือประสบกับตัวเองไปใส่ให้ถูกจังหวะและช่วงเวลาที่ว่านี้ อีกทั้งยกตัวอย่างหุ้นที่มีรูปแบบราคาสนับสนุนความเชื่อๆนั้นๆด้วย ครับ


ท่านจะได้เห็นรูปแบบราคาต่างๆที่ผมใช้บ่อยและยังพบว่ามันได้เคยเกิดกับหุ้นที่วิ่งรอบใหญ่หลายๆตัว
การแทรกคำคมที่ตกผลึกจากนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จเข้าไปในแต่ละตอนเพื่อจะช่วยให้ท่านเห็นภาพได้ดีขึ้น
และมันอาจได้ชี้บางจุดที่ท่านอาจจะมองข้ามมาก่อนให้หันมาแลมันอีกครั้ง




สรุปแบบขยายความให้ละเอียดอีกนิด
อีก Main idea ของเล่มนี้ ก็คือ "ซื้อแพงเพื่อไปขายในราคาที่แพงกว่า" หรือ "Buy High, Sell Higher" ครับ โดยจะเอาแนวคิดจากกราฟที่ว่านั้นไปรับใช้ไอเดียนี้

ที่มาของกราฟ, ก็ได้ใช้หลักคิดของสองไอดอลระดับตำนานมาเป็นกระดูกสันหลัง คือ
ปู่ Stan Weinstien กับ Richard D. Wyckoff

ทั้งคู่เขียนถึง "วงรอบหรือวัฎจักรของราคาหุ้น" เหมือนกัน
โดยผมชอบแนวคิด Wyckoff Logic ที่อธิบายเกี่ยวกับ demand/supply, การสะสมหุ้นและแจกจ่ายได้ดี
ส่วน Weinstien ก็ประทับใจการเอาเส้นค่าเฉลี่ยมาช่วยแยกระยะสะสม ขาขึ้น และ แจกจ่าย ให้เข้าใจง่ายขึ้น รวมทั้งมีการเอา price pattern มาช่วยระบุโซนต่ำสุดและสูงสุดได้ดี

เลยเอาความเด่นของทั้งสองฝ่ายมาใช้ร่วมกัน เพื่ออธิบายแนวทางการเล่น "หุ้นรอบใหญ่" ได้ดีขึ้น

ต่อมาก็จะเป็นสรุปทีละบทแบบสั้นๆ,
ทำไมต้องเล่นหุ้นขาขึ้นรอบใหญ่?
คำตอบง่ายๆคือ มันเป็นช่วงที่ราคาวิ่งขึ้นเร็วและแรง สร้างกำไรดี กว่าช่วงอื่นๆ
เรามาเล่นหุ้นเพื่อกำไรมิใช่เหรอ ถ้าอยากกำไรง่ายๆ ก็ต้องระบุช่วงขาขึ้นให้ได้ ซึ่งในเล่มนี้จะบอกว่าหน้าตาของหุ้นขาขึ้นเป็นยังไง, ใครเป็นเจ้าภาพทำให้เกิด, เพราะอะไร?

๑) ลักษณะของหุ้นขาขึ้น คือราคาวิ่งอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยหรือ Magic line ที่ยกเฉียงขึ้น
๒) เจ้าภาพของการเป็นขาขึ้นคือ Smart money, ผู้ชื่นชอบการเติบโตของกำไรในอนาคต, รวมถึงสภาพตลาดที่เป็นขาขึ้น ทำให้นักลงทุนกล้าซื้อหุ้นตามสตอรี่เด็ด
๓) เหตุผลที่ Smart money สร้างแนวโน้มขาขึ้น ก็เพื่อจะไล่ราคาให้สูง จะได้ขายหุ้นในราคาแพงกว่าต้นทุนของเขามากๆ ซึ่งเขาต้องอาศัยสตอรี่กำไรโต เป็นข้อมูลสนับสนุนชักนำให้สาธารณชนเข้ามาช่วยรับหุ้นจากเขา เมื่อรู้ข่าวจากสื่อ



ทฤษฎีวัฏจักราคาหุ้น
นำเสนอแนวคิดของนักลงทุนที่มีต่อวงจรราคาหุ้นในแบบต่างๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมของมันว่า หน้าตาหุ้นขาขึ้นเป็นยังไง ขาลงที่ไม่ควรเล่นเป็นยังไง จะได้เอาไว้กรองว่าตัวไหนน่าเล่น หรือไม่ควรแล นี่คือที่มาของภาพกราฟที่เป็นข้อสรุปนั่นแหละครับ

การอ่านกราฟเบื้องต้น
เป็นการปูพื้นให้กับมือใหม่ที่ยังไม่คุ้นเคยกับการอ่านกราฟ โดยคำถาม 14 ข้อพร้อมตำตอบที่เป็นตัวอย่าง น่าจะช่วยให้ท่านได้วิธีมองแบบง่ายๆได้ และเอาไปเป็นฐานในการทำความเข้าใจในบทต่อไปได้

จุดซื้อหุ้นที่ใช่
มีอยู่ ๒ จุดใหญ่ๆ คือ
๑) ช่วงที่ราคาเปลี่ยนเทรนด์จากสะสมเป็นขาขึ้น โดยดูการข้ามจุดสูงสุดในรอบ 200 วัน และรูปแบบ bottom pattern ที่น่าเชื่อถือ นั่นก็คือ Wyckoff accumulation, Head and shoulders bottom รวมถึง การข้ามเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์พร้อมวอลุ่มยืนยันขาขึ้น อีกทั้งการเกิด Breakaway gap ในช่วงต้นเทรนด์
๒) ช่วงกลางแนวโน้ม เมื่อหุ้นตั้งใจวิ่งรอบใหญ่ก็จะมีการพักเหนื่อยเป็นระยะๆเพื่อสะสมและปล่อยคนหมดใจให้ออกจากหุ้น มันจึงเกิดการ Re-accumulation ซึ่งมันก็คือการย่อเพื่อไปต่อ หรือที่เรารู้จักกันในรูปแบบ continuation pattern ไม่ว่าจะเป็นการย่อยแรงขาย, inverse head and shoulders ที่เป็นต้นตอของรูปแบบ cup with handle หรือแม้กระทั่ง breakaway gap

หุ้นซิ่ง
หุ้นที่จะวิ่งแรงๆรวดเดียวเป็นเด้ง มักจะมีการทำรูปแบบสะสมที่ยาวนาน ซึ่งมักจะมาในทรง parabolic curve หรือ base on base



The line of least resistance
เป็นการขยายความลักษณะของ "การย่อเพื่อไปต่อ" และ "การยืนยันขาขึ้น" ผ่านแนวคิดการย่อยแรงขาย ทำให้เราเห็นรูปแบบราคาที่ซ่อนอยู่ในนั้น จนเกิด pivot point ซึ่งเป็นจุดซื้อที่เสี่ยงต่ำในสายตาตำนานอย่าง Jessie Livermore และมันส่งต่อมาถึงวิลเลียม โอนีล และ มาร์ค มิเนอร์วินี ในที่สุด

การ Stop loss
เรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องรู้จัก แต่มือใหม่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากนัก เมื่อละเลย,จึงประสบกับการขาดทุนหนักกระทั่งเอาตัวไม่รอด บทนี้จึงพยายามโน้มน้าวให้ผู้อ่านเห็นความสำคัญของการรีบตัดขาดทุนให้ไว โดยเหตุผลหลักคือ ขาดทุนน้อย เอาคืนง่าย,
ถ้าอยากรวยหุ้นอย่างยั่งยืน-ต้องกำไรมากกว่าขาดทุน ควรตัดขาดทุนหุ้นที่อ่อนแอให้ไว และทนรวยกับหุ้นที่ผลงานดีเพื่อกินกำไรให้มากที่สุด

การทนรวย
เมื่อกล้า stop loss แล้ว จะรวยได้คุณต้องกล้าทนถือหุ้นให้กำไรเยอะๆ เพื่อให้เกิดกำไรสุทธิสูงๆต่อรอบ เมื่อกำไรทบต้นไปเรื่อยๆ ความมั่งคั่งก็บังเกิดในเวลาไม่นาน แนวคิดในการทนรวยก็คือการเอาหลักคิดเกี่ยวกับนิสัยของช่วงขาขึ้นมาใช้ นั่นคือ ตอนที่หุ้นเป็นขาขึ้น ราคาจะยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ หรือ Magic line ของมัน จนกว่าจะจบรอบ ก็คือตัดเส้นค่าเฉลี่ยนั้นลงไป เราจึงใช้เส้น Magic line นี้เพื่อเป็นไกด์ให้เราทนไปจนสิ้นแนวโน้ม ถ้าไม่หลุดก็ไม่ขาย



การ Take Profit
จุดขายที่ใช่นั้น, มีหลายรูปแบบ แน่นอน Wyckoff Distribution อธิบายได้ดีมาก อีกทั้งรูปแบบของ top pattern อย่าง Head and shoulders top, triple top, double top ก็ช่วยได้ หรือแม้กระทั่งคนที่ใจร้อนก็สามารถยึดเส้น trendline เพื่อช่วยให้ทำกำไรเฉพาะช่วงที่ราคาหุ้นมีโมเมนตัมดีที่สุด แต่ถ้าใครที่ใจเย็นก็สามารถใช้แนวทาง trailing stop มาช่วยก็ได้

หวังว่าเนื้อหาในเล่มนี้จะช่วยให้ผู้อ่านได้เห็นภาพของการเป็นขาขึ้น ที่มาของมัน ไอเดียจุดซื้อ-จุดขายที่หลากหลาย ผลึกคิดของไอดอลนักลงทุนที่แทรกในบทต่างๆ อันจะทำให้ผู้อ่านเห็นภาพการลงทุนที่พวกเขาพบว่ามันใช่จนต้องบอกต่อ ได้กระจ่างขึ้นครับ

และย้ำอีกครั้งว่ามันไม่ใช่ Holy grail หรือจอกศักดิ์สิทธิ์ ที่ท่านอ่านแล้วบรรลุ หรือเอาไปใช้แล้วรวยทันที เนื้อหาในเล่มนี้เป็นแค่เศษเสี้ยวตัวอย่างการเคลื่อนไหวที่เกิดตลาดหุ้นเท่านั้น คุณต้องเอาไปทดสอบและทดลองใช้เพื่อให้เจอวงสวิงที่เหมาะกับจริตของคุณที่สุดครับ

ทดลองอ่านตัวอย่าง คลิกที่นี่ครับ

ปล่อยของแบบไม่กั๊ก


ปล่อยของแบบไม่กั๊ก
ขอบคุณทุกคำชมหนังสือและคำฝากมาถึงผู้เขียนนะครับ
พอดีคุณแป๋มเธอบ้ายอมาก พอแฟนหนังสือคุยชมที่เพจ Zyo Books :  facebook.com/zyobooks หน่อยก็รีบแค็ปหน้าจอมาให้ผมทันที
ว่างๆก็เลยลองไล่เรียงอ่านรีวิวจากผู้อ่าน จึงไปสะดุดกับคำหนึงที่อยากเอามาอธิบายเหตุผลให้ทราบทั่วกัน
คือประโยคทำนองว่า "ปล่อยของแบบไม่กั๊กเลย"

เออนั่นสิ...ทำไมผมถึงไม่กั๊กความรู้กับท่าน?
๑) ผมคิดว่าท่านมีน้ำใจกับผมมากน่ะสิครับ
ท่านกล้าสั่งซื้อหนังสือออนไลน์ที่ facebook.com/zyobooks กับคนที่ท่านไม่รู้จัก หนังสือที่ท่านไม่เคยแม้แต่จะพลิกอ่าน แล้วยอมจ่ายเงินไปก่อน เพื่อรอลุ้นว่าของจะได้หรือเปล่า (แต่คุณแป๋มก็ทำหน้าที่ได้ดี เป็นมืออาชีพ ไม่มีตกบกพร่องเลยนะครับ ไว้ใจเธอได้)

แบบนี้ ผมว่าหัวจิตหัวใจของท่านยิ่งใหญ่มาก
ท่านคิดดู...คนติดตามเฟสผมเกือบสองหมื่น แต่ท่านเป็นคนส่วนน้อย ไม่ถึง 10% ที่ยอมเสียตังค์สนับสนุนผลงานของผมแบบไม่คิดมากเนี่ย น้ำใจท่านท่านสุดยอดมาก ขอกราบคารวะมา ณ ที่นี้

ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องตอบแทนท่านด้วยการแชร์ความรู้ทั้งหมดเท่าที่ผมทุ่มศึกษามาส่งต่อไปให้ท่านมากที่สุดเท่าที่จะสามารถให้ได้
จะกั๊กทำไมกับคนที่มีน้ำใจกับเราแบบนี้

ปล. แค่ท่านแวะเข้ามาชมเฟส อ่านบล็อก แชร์งาน ผมก็นึกนิยมท่านอยู่ในใจเช่นกันนะครับ ถ้าไม่มีท่านคอยสนับสนุน like share ผมก็คงไม่มีวันนี้เช่นกัน

๒) ผมเชื่อว่าในโลกของการเทรด มันไม่มีสูตรสำเร็จ หรือ holy grail 
คือความรู้ที่ผมแชร์ไป ไม่ว่าจะผ่านหนังสือเล่ม หรือบทความออนไลน์ มันเป็นแค่ Data สำหรับท่านเท่านั้นเอง ซึ่งมันไม่มีทางเอาไปใส่ถ้วยเติมน้ำร้อนแล้วเทรดรวยเลยแบบบะหมี่กึงสำเร็จรูปหรอกนะ

ท่านยังต้องมีงาน ยังมีขั้นตอนที่คุณต้องเอาไปเวิร์คต่ออีกหลายสเต็ป
ดังนั้นเนื้อหาที่ผมเอาไปใส่ในหนังสือ จึงมีทั้งภาคที่เป็นทฤษฎี และเผื่อทางหนีให้ท่านด้วย(ซึ่งตรงนี้แหละที่ท่านบอกว่าผมไม่กั๊ก)
เพราะจากประสบการณ์เทรดจริงเจ็บจริงของผม มันไม่มีอะไรสำเร็จรูปจริงๆ ตอนนี้ผมเชื่อว่าการเทรดคือการบริหารจัดการกับ "#ความน่าจะเป็น" เราคาดอนาคตไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องใช้อดีตมาเป็นข้อมูลอย่างมี bias ซึ่งอนาคตก็อาจจะไม่เป็นไปอย่างที่เราคิดก็ได้
ดังนั้นสิ่งที่เราควรทำก็คือ มี scenario ดักเอาไว้หลายๆทาง เพื่อที่เราจะได้ลงมือถูกต้องตามแผนเมื่อเหตุการณ์เลือกทางแล้ว

ดังนั้น ผมคิดว่าถ้าให้ต้องฟันธงว่าไอเดียผมมันเป๊ะสุดยอด ไม่ผิดเลย ไม่เผื่อทางหนีให้บ้าง ก็ถือว่าผมได้ทรยศตัวเอง และเอาเปรียบท่านอย่างแรง
ในหนังสือผมจะออกตัวเสมอว่า อย่าเชื่อผมมาก ท่านต้องคิดต่อนะ นี่เป็นแค่ไอเดีย อาจจะไม่เป็นไปในทางบวกก็ได้ ผิดทางก็หนีก่อน

ที่สำคัญเลย ผมต้องสารภาพกับท่านตรงๆเลยว่า การวิเคราะห์หลังเกมส์น่ะ จะลาก จะชี้ จะเฉลยอะไร มันก็ถูก มันเทพไปหมดแหละ
ซึ่งคนละเรื่องกับหน้างานเลย เพราะว่าท่านลงเงินจริงไปแล้ว ก็ต้องพะวงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเดาไม่ถูก
ตรงนี้แหละครับ ที่ scenario และ การมองเรื่องเทรดเป็นเกมความน่าจะเป็น จึงสำคัญกว่าการจำเพื่อนำไปใช้ทั้งดุ้น

๓) ผมก็เม่า
นี่สำคัญ หากท่านอ่านงานผม ก็น่าจะจับสังเกตได้ว่า มันอ่านง่าย เข้าใจง่าย เพราะผมเป็นเม่าไง ผมยังเดินดินกินข้าวแกงเหมือนๆท่าน ดังนั้นภาษาที่ผมใช้ มุมมองที่ผมฉาย มันก็เลยเป็นภาษาเดียวกับพวกท่าน ผมเจออะไรก็บอกท่านไปในภาษาที่ท่านไม่ต้องตีความมากมาย

เม่าคุยกับเม่า มันย่อมเข้าใจกันง่ายกว่ากูรูสอนเม่าอยู่แล้วครับ

คำถามที่ผู้อ่านสงสัยกันบ่อย
ผมได้ทำเป็นบทความตอบไว้ให้แล้วนะครับ
- วิธีตั้งเส้นค่าเฉลี่ย
- เส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์เทียบได้กับกี่วัน?

7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

VCP (Volatility Contraction Pattern) และรูปแบบที่คล้ายกัน

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo

แชร์วิธีการหารายได้จากการช่วยขาย ebook ที่ mebmarket.com

อธิบาย Wyckoff Accumulation Phase แบบละเอียดยิบ