VIDEO
SELIC ธุรกิจของบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมกาว ถือว่ามีความสำคัญ โดยใช้เป็นตัวเชื่อมที่อยู่ในอุตสาหกรรมทุกขนาด โดยส่วนใหญ่ลูกค้าอยู่ในธุรกิจอาหาร เครื่องดื่มมากที่สุด 20% รองลงมาเป็นธุรกิจรองเท้า เครื่องนุ่งห่ม บรรจุภัณฑ์ และเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งมีการกระจายกลุ่มลูกค้าค่อนข้างมากและมีโอกาสการขยายฐานลูกค้าเพิ่มในทุกอุตสาหกรรม ลูกค้าที่หลากหลายจะช่วยลดความเสี่ยงความผันผวนในแต่ละอุตสาหกรรมด้วย
อย่างที่ทราบกัน, กาวเป็นสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป ลูกค้าต้องซื้อซ้ำเป็นประจำ ถือเป็นสินค้าที่ดีในมุมมองของนักลงทุน เพราะมันมีโอกาสเติบโตได้
อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือบริษัทได้ตัดสินใจโฟกัส ในการผลิตกาวเท่านั้น โดยการตัดธุรกิจที่นอกเหนือจากกาวออก และสินค้าที่ไม่ก่อให้เกิดกำไรออกไปด้วย
ดังนั้นประเด็นที่น่าติดตามก็คือว่า จะโตได้แค่ไหน?
ลูกค้ามีเยอะมั้ย?
มีอะไรที่สามารถทำให้ลูกค้า "ติดหนึบ" กับผลิตภัณฑ์ที่บริษัท ทำขึ้นมา?
ข้อแรก, ผู้บริหารบอกว่า ความต้องการใช้กาวโตขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะตลาดเอเชีย แอฟริกา และอเมริกา เพราะมีการเปลี่ยนมาใช้กาวมากขึ้น
อีกอย่าง ลูกค้าอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อันมีสัดส่วนการซื้อถึง 20% ของพอร์ตบริษัท ก็มีความต้องการซื้อมากขึ้น รวมถึงมีการขยายโรงงานเพิ่มอีกต่างหาก
ทางด้านอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ก็มีแนวโน้มความต้องการซื้อที่โตเช่นกัน โดยเฉพาะ CLMV
มาดูแนวโน้มการเติบโตของยอดขาย ตามชนิดผลิตภัณฑ์
ออกไปทางทรงๆและทรุด ซึ่งแตกต่างจากการพรีเซนต์ของคุณเอก CEO เลยนะ
ส่วน Hot melt อันเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทีมงานได้วิจัยและพัฒนาขึ้นมาเองก็ยังไม่มีนัยยะอะไร
ทางด้านความสามารถในการทำกำไร จากที่ได้ลดสัดส่วนโปรดักท์อื่นๆที่ไม่ใช่กาวออก
กำไรขั้นต้นก็สวยขึ้น โตขึ้น
แต่กระนั้น, ยังมีอีกส่วนซ่อนอยู่คือ บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น ทำให้กำไรสุทธิลดลง ตรงนี้ที่เป็นประเด็น เพราะเขาเอาเงินไปใช้เพื่อขยายตลาด อันจะมีผลให้ยอดขายมีโอกาสโตได้ในอนาคต
โครงการในอนาคต
จะเน้นไปในทางของ R&D ซึ่งผมมองในด้านบวกเลยนะ เพราะนี่แหละที่จะทำให้ธุรกิจมีจุดแข็ง และสามารถสร้างกำแพงความได้เปรียบใหม่ๆได้ ถ้าทำดี
จะพัฒนาห้องแล็ป ซื้ออุกรณ์ และนำเข้าพนักงานต่างชาติ ให้มาช่วยพัฒนาสินค้าให้สามารถแข่งขันและยกระดับขึ้นไปสู้ได้ในกลุ่ม Asia Pacific
ดังนั้นเราจึงต้องคาดหวังที่จะเห็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ท้องตลาดอย่างต่อเนื่อง
พร้อมกันนั้นก็จะพัฒนาไลน์การผลิตให้ทันกับโปรดักท์ใหมๆ ที่จะได้ออกมาจากห้องแล็ป อันจะทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนกันไปพอสมควร
ชัดแล้วล่ะว่า พวกเขาจะมี
New Products แน่นอน
ส่วน New Market
บริษัทคาดว่าปี 2560 รายได้จะสามารถเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักได้ จากปีนี้ ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับอุตสากรรมกาวที่ปีหน้าจะยังมีการเติบโตอยู่ เพราะมองว่าหากสหรัฐอเมริกามีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และยุโรปจะมีการผ่านจุดต่ำสุดไปและเริ่มปรับตัวดีขึ้น
ซึ่งปัจจัยที่กล่าวมาน่าจะส่งผลดีมายังทวีปเอเชียด้วย ซึ่งตลาดในประเทศน่าจะมีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทเองมีการเดินหน้าหาลูกค้าและขยายฐานลูกค้าไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ มากขึ้น
พร้อมกันนี้บริษัทยังเดินหน้าขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ 30% กระจายอยู่ใน 27 ประเทศทั่วโลก
ซึ่งในปี 2560 บริษัทจะรุกประเทศออสเตรเลียและประเทศในกลุ่ม CLMV(ลาว เวียดนาม เมียนมา กัมพูชา) มากขึ้น ซึ่งในประเทศออสเตรเลียได้มีการเริ่มจำหน่ายสินค้าแล้ว
ส่วน CLMV มองว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจมากและมีอัตราการเติบโตที่ดี พร้อมกันนี้ยังศึกษาที่จะเข้าไปจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นแต่ยังไม่ได้สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ชัดเจน
S หรือ Shares Outstanding นั้นก็เข้าสูตรนะ เพราะมี 280 ล้านหุ้น เจ้าของถือเกินครึ่ง รายย่อยถือ 31%
ทางด้านกราฟ อันเป็นความเห็นของตลาดอันหมายถึง
M = Market
ก็พบว่า น่าจะ bottom ไปแล้ว กำลังฟื้นตัวอย่างช้าๆ
และมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้อีก ถ้าผ่าน 3.40 ขึ้นไปได้ จะมีพลังมากขึ้น
พอจะสรุปได้ว่า เป็นบริษัทที่มีความน่าสนใจพอสมควร ในเชิงของความมุ่งมั่นพัฒนาผลิตณฑ์ เพราะเน้นการทำ R&D ออกสินค้าใหม่ๆ
ยิ่งถ้าอุตสาหกรรมกาวโลกเติบโต มีความต้องการใช้กาวเพิ่มขึ้น ก็น่าจะส่งผลในทางบวกต่อความสามารถในการขายและทำกำไรในอนาคตอันไกล้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็อย่าเพิ่งไว้ใจ หรือฝันไกลเกินจริง ผลประกอบการเท่านั้นที่จะให้คำตอบที่ดีที่สุด ว่ามันเหมาะสมที่จะเป็นหุ้นดาวรุ่งตัวใหม่หรือเปล่า