คุณต้องเรียนรู้วิธีการเป็นผู้จัดการความเสี่ยงที่ยอดเยี่ยม

Image
พี่มาร์ค มิเนอร์วินี กล่าวว่า “หากคุณต้องการสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ คุณต้องเรียนรู้วิธีการเป็นผู้จัดการความเสี่ยงที่ยอดเยี่ยม” การเป็นนักเทรดที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีอย่างสม่ำเสมอไม่ได้หมายถึงการชนะทุกครั้งที่คุณเข้าเทรด แต่หมายถึงการมีวิธีการจัดการความเสี่ยงอย่างชาญฉลาดเพื่อให้คุณสามารถปกป้องทุนของคุณและเพิ่มโอกาสในการเติบโตของพอร์ตการลงทุนในระยะยาว  นี่คือการขยายความแนวคิดที่ว่า "การเป็นผู้จัดการความเสี่ยงที่ยอดเยี่ยม" สำคัญอย่างไร: eBook "Risk Management: การบริหารจัดการความเสี่ยงเบื้องต้นสำหรับนักเทรด" มีจำหน่ายที่แอพ Meb เท่านั้น  https://t.co/YaO0CIQq8J 1. ความเสี่ยงเป็นส่วนหนึ่งของการเทรด ในตลาดการเงิน ไม่มีใครสามารถควบคุมผลลัพธ์ของแต่ละการเทรดได้ การเคลื่อนไหวของตลาดขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก เช่น ข่าวเศรษฐกิจ หรือพฤติกรรมของผู้เล่นในตลาด ซึ่งมักเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ความสำเร็จจึงไม่ได้มาจากการ "เดาถูก" แต่เป็นการรู้วิธีจัดการความเสี่ยงเมื่อคุณ "เดาผิด" ตัวอย่าง:   สมมติว่าคุณมีเงินทุน 100,000 บาท หากคุณใช้เงินทั้งหมดในการเ

สรุปหนังสือ The Perfect Speculator


Keeping it Simple: ทำทุกอย่างให้ง่ายเข้าไว้
ไม่มีระบบการเทรดไหนที่สมบูรณ์แบบหรอก เพราะถ้ามันมีอยู่จริงล่ะก็, ป่านนี้ตลาดหุ้นก็คงไม่มีอยู่แล้วล่ะ เพราะว่าระบบนั้นจะกินรวบไปทุกอณูของมันจนหมดสิ้น ดังนั้นเมื่อเรายอมรับความจริงในข้อนี้ได้ ก็จะสามารถไปได้สวยในธุรกิจนี้ แต่ถ้าใครบางคนยังคงตั้งตามองหาระบบที่สมบูรณ์แบบอยู่ต่อไป-เขาคนนั้นก็จะถูกตลาดลงโทษได้ตลอด

ผมได้รับข้อเสนอมากมายเกี่ยวกับวิธีการที่จะเอาชนะตลาด และวิธีการต้มตุ๋นมวลชนที่รู้ไม่เท่าทัน ทุกคนอ้างว่าได้พบคำตอบวิเศษที่สามารถเอาชนะตลาดได้ แต่ผมอยากบอกว่ามันไม่มีอยู่จริงอย่างแน่นอน เพราะตลาดมันฉลาดมาก-มันล่อให้เราไปทางไหนก็ได้ ทุกๆระบบเทรดมันจะใช้ดีในช่วงระยะเวลาหนึ่งและบางจุดของวัฏจักรเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครอยากได้ยินประโยคแบบนี้เพราะถ้ายอมรับไปแล้ว-ก็จะไม่สามารถหาวิธีรวยทางลัดได้อีก มีใครบ้างที่ไม่อยากรวยทางลัดน่ะ?

"ผมไม่มีความเข้าใจในแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ล่าสุด, ซอฟแวร์, รูปแบบความน่าจะเป็น, เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ ผมแค่คิดว่าถ้ามันจทำให้นักเก็งกำไระประสบความสำเร็จได้ - นักคณิตศาสตร์ก็น่าจะนักเก็งกำไรที่เก่งที่สุด และทำไมพวกเขายังว่าจ้างให้โบรกเกอร์และหน่วยงานวิจัยเพื่อพัฒนาและบำรุงรักษาตันของแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ด้วยล่ะ? ผมหมายความว่าถ้าแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ทำงานได้ดี-ทำไมนักคณิตศาสตร์ที่เก่งๆยังต้องทำงานให้กับโบรกเกอร์เพื่อวิจัยระบบที่จะช่วยให้การเทรดประสบความสำเร็จล่ะ

"ใช่, คนเราเชื่อว่าความลับที่จะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นต้องเป็นสิ่งที่ลึกลับและซับซ้อน เหตุผลง่ายๆก็คือ การจะประสบความสำเร็จได้นั้นมันต้องผ่านความยากลำบาก มันไม่ง่ายแน่นอน ดังนั้นใครก็ตามที่เผยความซับซ้อน, ใช้ศัพท์ยากๆยาวๆ, และคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน จะทำให้รู้สึกได้ทันทีว่าต้องเป็นอัจฉริยะ แต่ผู้อ่านของผมรู้ดีว่ามันไม่มีอะไรในกอไผ่ พวกเขาใช้เงินเป็นล้านเพื่อการค้นคว้าวิจัยในระดับสูงจนได้โมเดลที่แม่นยำและขาดทุนมาพอสมควร, โดยเฉพาะในตลาดขาลง"



Following the Big Money: เกาะติดรายใหญ่
ตลาดหุ้น คล้ายกับ "เกมล่าสมบัติ"
ผู้เล่นทุกคนจะได้รับชุดของเบาะแสที่เหมือนๆกัน เมื่อไขปริศนาแรกได้ มันก็จะพาเราไปยังชุดที่สองของหลักกิโลแรก จากนั้น, ถ้าหากเบาะแสที่หลักกิโลแรกถูกถอดรหัสได้อย่างถูกต้อง ผู้เล่นจะได้รับเบาะแสที่สองเพิ่มเติม ดังนั้น, ผู้เล่นที่สามารถไขปัญหาได้อย่างสม่ำเสมอก็จะสามารถเดินทางได้ไกลมากที่สุด จนเข้าไกล้แหล่งขุมทรัพย์ ส่วนจะไปได้ถึงเร็วแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการถอดรหัส
ท่ามกลางเบาะแสที่มีให้นั้น, ใครก็ตามที่สามารถจดจำเบาะแสของขุมทรัพย์ได้ดี-ก็จะได้รับโอกาสเข้าถึงขุมทรัพย์นั้น

"ในหมู่ผู้เล่น, จะมีคนฉลาดที่สามารถไขปริศนาได้อยู่จำนวนหนึ่ง(ซึ่งมีน้อยมาก) พวกเขาจะถอดได้ทุกรหัสทุกเบาะแสตามเส้นทางที่ไปสู่แหล่งขุมทรัพย์ได้อย่างถูกต้องขณะเดียวกันก็รู้ทันว่าตัวไหนเป็นเบาะแสหลอกลวงอีกด้วย กลุ่นคนฉลาดเหล่านี้คือพวกแรกที่สามารถเข้าถึงแหล่งขุมทรัพย์ได้ก่อนใคร เราเรียกเขาว่า "Smart money"
จากนั้นก็จะมีอีกกลุ่มเล็กๆที่สามารถแก้ปริศนาได้เกือบทั้งหมด ดังนั้นจึงได้แค่ตามพวก smart money เท่านั้น
เมื่อได้เป็นแค่ผู้ตาม, กลุ่มที่สองจึงโดน smart money ปล่อยเบาะแสหลอกลวง โดยการทำเบรคหลอก-เขย่า ให้ผู้ตามเข้าใจผิด ขุมทรัพย์มีขนาดใหญ่และก็มากพอสำหรับคนที่เข้าถึงก่อนใคร หลังจากที่ smart money ได้เพชรพลอยไปแล้วก็ยังมีเหลือมากพอสำหรับคนที่ผ่านด่านมาจนได้ ดังนั้นใครก็ตามที่เกาะ smart money อย่างตลอดรอดฝั่งก็ยังจะได้สมบัติอยู่ แม้จะน้อยไปตามลำดับก็ตาม
ในตลาดหุ้นก็ไม่ต่างกันเลย เหล่า smart money จะมองเห็นแนวโน้มก่อนใครและกระโดดไปร่วมได้ก่อน จากนั้นผู้ติดตามกลุ่มเล็กๆก็จะติดตามความสำเร็จของ smart money และสามารถจดจำแนวโน้มต่อไปได้ด้วย
คนส่วนใหญ่ที่เหลือก็จะพลาดรอบใหญ่ของแนวโน้มนั้น
คนที่มาถึงงานเลี้ยงหลังสุดก็จะทำได้แค่ไปทะเลาะวิวาทกันในตอนจบ

จึงไม่แปลกที่ Smart Money จะเป็นบุคคลที่ร่ำรวย จนเราสามารถจะเรียกได้อีกชื่อว่า Big Money


เบาะแสคือราคาและปริมาณการซื้อขาย
เมื่อ smart หรือ big money ตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นสักตัว พวกเขาต้องทำการค้นคว้าเกี่ยวกับมันมาแล้วเป็นอย่างดี การติดตาม big money ก็เหมือนกับการได้ติดตามหุ้นที่ได้รับการค้นคว้ามาแล้วว่าดีที่สุด
วิธีสังเกตุการเข้าทำของ big money ก็คือการดูวอลุ่มและราคา
การเคลื่อนไหวของราคา/วอลุ่มเป็นตัวบอกว่า big money ซื้อหุ้นตัวไหน, ขายหุ้นตัวไหน และสนับสนุนหุ้นตัวไหน

ผมไม่สามารถทำวิจัยดีกว่าพวก big money แต่ผมสามารถมองเห็นสิ่งที่พวกได้วิจัยจากสิ่งที่เขาซื้อและขายหุ้น ผมเห็นมันชัดเจในดัชนีและหุ้นรายตัวผ่านราคาและปริมาณการซื้อขาย ซึ่งมันเป็นข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับผม
ผมแค่ทำตาม big money
แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ ก็ต้องใช้เวลาหลายปีในการเรียนรู้
และมันคือกำไรที่ยิ่งใหญ่ เพราะผมได้รับการยืนยันว่า นักเก็งกำไรระดับท็อปรู้ความลับนี้กันทุกคน ทั้งหมดมันถูกยืนยันผ่านราคาและวอลุ่มนั่นเอง


Just Price and Volume: ดูแค่แค่ราคากับวอลุ่มก็พอ
ผมไม่สามารถทำวิจัยดีกว่าพวก big money แต่ผมสามารถมองเห็นสิ่งที่พวกได้วิจัยจากสิ่งที่เขาซื้อและขายหุ้น ผมเห็นมันชัดเจในดัชนีและหุ้นรายตัวผ่านราคาและปริมาณการซื้อขาย ซึ่งมันเป็นข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับผม ผมแค่ทำตาม big money แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นได้-ผมใช้เวลาหลายปีในการเรียนรู้ มันเป็นกำไรขนาดใหญ่ที่ผมได้รับการยืนยันว่าเป็นสิ่งนักทุกเก็งกำไรระดับท็อปรู้กัน ทั้งหมดอยู่ในราคาและวอลุ่มนั่นเอง


The So-called "Fundamentals" : สิ่งที่เราเรียกว่า "พื้นฐาน"
"คุณรู้ว่า "รายได้ที่คาดหวัง" สำคัญกว่า "รายได้ที่เกิดขึ้นจริง" การเติบโตของกำไรมักจะแสดงผลช้ากว่าราคา บ่อยครั้งที่เราเห็นราคาขึ้นไปไกล-ก่อนที่รายงานผลประกอบการจะแจ้งออกมาว่าดีขึ้น ตลาดหุ้นเป็นเรื่องของการมองไปในอนาคต การเคลื่อนที่ของราคาเกิดจากการคาดหวังล่วงหน้า ไม่ใช่เกิดจากสิ่งที่เพิ่งเกิด มันเป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนมือใหม่รวมถึงมือเก๋าจะโฟกัสไปที่การเติบโตของกำไร นั่นคือสิ่งที่ insider ต้องการให้คนทั่วไปมอง หลังจากนั้น,เมื่อ insider ไม่สามารถขายหุ้นออกมาได้-พวกเขาจึงได้ปล่อยข่าวดีเพื่อหาคนซื้อจำนวนมากๆจะได้ขายหุ้นที่เหลือออกให้หมด

"โดยปกติแล้ว, กำไรจะเติบโตอย่างมั่นคงตามเวลา, แต่การวิ่งของราคารอบใหญ่ได้จบไปแล้ว เพราะมันขึ้นอยู่กับการค้นคว้าของ big money พวกเขามีทีมที่ดีที่สุดซึ่งสามารถคาดการณ์อนาคตได้ พวกเขาซื้อหรือขายก็เพราะเห็นสิ่งนั้นก่อน ไม่ใช่หลังจากที่งบออกมาแล้ว สภาพแวดล้อมทุกอย่างจะถูกปรับลดตามเงื่อนไขและเหตุการณ์ที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าหลายเดือน, ไตรมาสที่มีกำไรสุทธิดีสุดได้กลายเป็นอดีต ข่าววันนี้เป็นเรื่องเก่า ข่าวจะถูกใช้เป็นเครื่องมือเขย่าหรือหลอกมือสมัครเล่น ในระยะยาวแล้ว, ข่าวจะทำหน้าที่เป็นเพียงเอกสารยืนยันการเคลื่อนที่ของหุ้นที่เกิดขึ้นไปแล้วเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนที่ผ่านมา ผมให้ความสนใจกับการคาดหมายผลประกอบการ ไม่ใช่กำไรที่เพิ่งเกิดขึ้น ผมพูดได้เลยว่า,ข่าววันนี้มันก็คืออดีตของตลาด"


Being Wrong: การคิดผิด
"นักเก็งกำไรจะสังเกตตลาดและการแสดงออกของราคาหุ้นเป็นอันดับแรก หลังจากสังเกต,ก็จะตีความสิ่งที่เขาเห็น และเมื่อตีความตลาดและการกระทำของหุ้นจนมั่นใจ, เขาก็จะทำการเทรด แต่เขาจะเทรดไปพร้อมกับป้องกันการสูญเสีย เพราะบางทีการตีความก็มีโอกาสผิด เขาจะไม่เทรดตัวอื่นจนกว่าการเทรดครั้งแรกจะพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าการตีความได้ถูกต้อง จากนั้น,ในแต่ละการกระทำที่ตามมาจะขึ้นอยู่กับการเทรดครั้งแรกนั้น"

"ไม่มีความแน่นอนสำหรับการเก็งกำไร ความจริงแล้ว,ความไม่แน่นอนคือความแน่นอนที่สุดสำหรับนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ ด้วยเหตุผลนี้,มันจึงไม่มีทางที่จะเป็นวิทยาศาสตร์ได้เลย เพราะถ้ามันเป็น,เราควรจะได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมในทุกครั้ง ซึ่งเรารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้"
"นักเก็งกำไรจะยอมรับว่าเขามีโอกาสคิดผิด และถ้าเขาผิด,เขาต้องตัดขาดทุนทันที และมองหาโอกาสใหม่ที่ดีกว่า สิ่งแรกที่นักเก็งกำไรแรกสังเกตตลาดและหุ้นรายตัว-ก็คือแนวโน้มที่ได้รับการยืนยัน เมื่อมันยืนยันว่าใช่-เขาถึงจะเข้าเทรด


Not Losing is Winning: ไม่ขาดทุนเท่ากับชนะ
ขอยกตัวอย่างง่ายๆนะ สมมุติเรามีเงินในบัญชีเพื่อใช้ในการเก็งกำไร $100,000
ต่อมาเราขาดทุนต่อเนื่องจนเหลือเงิน $66,666 ซึ่งหมายความว่าจากนี้ต่อไปเราต้องทำเงิน $33,333 เพื่อให้ทุนกลับไปเท่าเดิม
ซึ่งการที่เราจะทำเงินจากที่มีอยู่ $66,666 ให้ได้กำไร $33,333 นั่นหมายความว่าต้องทำเงินให้ได้ถึง 50% เลยทีเดียว

จึงเป็นงานที่หนักมิใช่น้อยถ้าหากเราปล่อยให้ตัวเองขาดทุนไป 33% แล้วเพิ่งคิดจะเอาคืน
เพราะสิ่งแรกที่เราต้องทำให้สำเร็จก่อนก็คือป้องกันไม่ให้ตัวเองขาดทุน!!
แล้วจากนั้นก็ต้องพยายามทำกำไรสะสมให้ได้ถึง 50% ซึ่งบอกเลยว่ามันเป็นงานยักษ์หนักหนาสาหัสเอามากๆ

ในอีกด้าน, ถ้าราขาดทุนไปแค่ 5% เงินทุนก็จะลดจาก $100,000 เหลือ $95,000 จากนั้นแค่เราทำกำไรให้ได้ $5,000 จาก $95,000 ก็จะได้ทุนกลับมาเท่าเดิม ซึ่งมันง่ายกว่ากันเยอะเลย
การไม่ขาดทุน, มันช่วยให้คุณไม่เสียเวลาชีวิตไปกับความทุกข์ทรมาณ, ทำงานหนัก, เจ็บปวด และนอนไม่หลับ

แนวคิดพื้นฐานของการหยุดการขาดทุน แบ่งเป็นสองเป้าหมาย
- เป้าหมายแรกคือการปกป้องเงินทุนของเรา ส่วนนี้ใครๆก็พูดถึงอยู่แล้ว
- เป้าหมายที่สองสิ่งที่สำคัญมาก คือมันบ่งบอกว่าตัวเราคิดผิด
เมื่อราคาหุ้นลงมาชนกับจุดหยุดขาดทุนหลายครั้งเข้า, มันเป็นการส่งสัญญาณจากตลาดว่าเราได้ตีความตลาดและทิศทางของราคาหุ้นผิด

การคิดไปเอง,เป็นความผิดพลาดที่มีราคาแสนแพงที่แม้แต่นักลงทุนแก่ประสบการณ์ก็ยังตกหลุมเดิมอยู่บ่อยๆ
มันเป็นเรื่องง่ายที่จะหาเหตุผลเข้าข้างตนเองเพื่อยืนยันว่ามุมมองของเราถูกต้อง แต่ตลาดก็คือสิ่งที่ไม่มีใครสามารถบังคับมันได้
ตลาดเป็นเหมือนภาพลวงตา ใครบางคนคิดว่าเห็นน้ำในทะเลทราย-หากเขากระหายมากๆ ดังนั้นอย่าพยายามคิดเข้าข้างตัวเองจนลืมความจริง

ไม่ขาดทุนก็เหมือนกับได้ชัยชนะ เป็นเรื่องที่พูดง่าย แต่ทำยาก จึงไม่แปลกที่เราจะหานักเก็งกำไรที่ประสบสำเร็จยั่งยืนในตลาดได้น้อยเหลือเกิน


Staying out of the Way: รู้ว่าจังหวะไหนควรเล่น หรืออยู่เฉยๆ
บางทีการรอคอยอาจมีมูลค่ามากกว่าการลงมือทำเสียอีก

การรู้จังหวะที่ไม่ควรเล่นสำคัญกว่าการเล่นหุ้นเสียอีก เมื่อตลาดไม่มีหุ้นตัวไหนที่มีราคา/วอลุ่มดูดีเลย ก็ควรอยู่เฉยๆบ้าง เลือกเล่นในจังหวะที่ตลาดมีสภาวะเอื้อต่อชัยชนะเท่านั้น บางทีการนั่งอยู่เฉยๆและคอยสังเกตุตลาดมันก็สำคัญไม่น้อยเลย แต่การอยู่เฉยๆมันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมากสำหรับคนส่วนใหญ่ พวกเขาอยากเล่นอยากทำเงินให้ได้ทุกจังหวะ

เครื่องจักรในวอลสตรีท(โบรคเกอร์)ต้องการผลักดันให้นักเก็งกำไรซื้อ ซื้อ และซื้อ ตลอดเวลา ไม่ว่าจะในตลาดกระทิงหรือหมี เพราะว่ามันต้องการขายหุ้น ถ้าไม่มีใครซื้อแล้วมันจะขายให้ใครได้
พวกเราพยายามมองหาคำตอบวิเศษเพื่อหาทองคำที่ซ่อนอยู่ปลายสายรุ้ง และเราก็พยายามค้นหาสายรุ้งทุกๆวันของสัปดาห์ ทุกสัปดาห์ของปี ปีแล้วปีเล่า พวกเราลืมไปว่าสายรุ้งนั้นมันไม่ได้เกิดทุกวัน เครื่องจักรของวอลสตรีททำหน้าที่ปล่อยข่าวหุ้นกระทิง, แนวทางการเล่นใหม่ๆ, ข่าวลือ, ข่าววงใน, ฯลฯ เพื่อตอกย้ำให้ตระหนักว่าสายรุ้งปรากฏทุกๆวัน ขณะที่ใครบางคน รอให้สายรุ้งก่อตัวก่อน, ซึ่งมันต้องใช้ความอดทนและนั่งอยู่เฉยๆ

มันเป็นบทเรียนแสนยากที่จะสอนให้รู้จักการรอคอยและอยู่เฉยๆ เพื่อรอคอยจังหวะที่ใช่และการยืนยันของโอกาสชนะ
วอลสตรีทแทบจะเจ๊งไปเลยถ้าไม่มีใครตัดสินใจซื้อและอยู่เฉยๆ มันเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้สำหรับเครื่องจักรของระบอบทุนนิยม มันมีหน้าที่ปั่นข่าวลวง บิดเบือน ข่าวลือ และอื่นๆ เพื่อกระตุ้นให้นักเก็งกำไรซื้อขายต่อเนื่องโดยไม่คำนึงถึงเงื่อนไขใดๆ ทุกๆวันก็จะมีหุ้นที่พร้อมจะจะขายอยู่ตลอด โบรคเกอร์ไม่เคยมีที่ไหนพูดว่า "อย่าซื้อนะวันนี้ รอวันอื่นที่ดีกว่านี้" ประโยคนี้ไม่เคยมีอยู่ในพจนานุกรมของวอลสตรีท

จากประสบการณ์ของผม, ในทุกสิบปีจะมีหุ้นขาขึ้นรอบใหญ่ๆ 3-4 กลุ่มที่เงินปริมาณมากๆเข้ามาเล่น ในระหว่างนั้นก็จะมีหุ้นตัวเล็กๆเพิ่งโตกำลังสร้างฐาน-ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร
การรอรอบใหญ่ๆ-ต้องใช้เวลาและความอดทนในการถือ อันเป็นเรื่องยากมากสำหรับคนทั่วไป
แต่ถ้าเราสามารถรวบรวมข้อมูลผลการดำเนินงานในรอบสิบปีของเทรดเดอร์ทุกคนย้อนหลังได้ เราจะพบว่าคนส่วนใหญ่ถึง 80% ขาดทุนจากตลาด
บางคนอาจจะมีปีที่ดี ซึ่งมันไม่ใช่ผลสรุปของการเทสต์ทั้งหมด ผลสอบที่แท้จริงของนักเก็งกำไรต้องดูผลงานในรอบสิบปี หากใครคนนั้นมีความกล้าที่จะย้อนไปดูผลงานเดิมของตัวเองในรอบสิบปีและศึกษามัน พวกเขาจะจำได้ง่ายว่าสามารถชดเชยส่วนที่ขาดทุนได้ยังไง

ผมตั้งใจที่จะเกาะกระแสของแนวโน้มใหญ่ในรอบสิบปีให้ได้ ผมบอกกับลูกสาวว่าถ้าในช่วงนั้นผมสามารถทำเงินได้ 4-5 เท่าตัวได้ ผมจะไม่เอาเวลาที่เหลือไปเล่นหุ้นอีกเลย-ผมจะไปทำสิ่งที่ตัวเองชอบดีกว่า
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมเริ่มด้วยเงิน $100,000 และทำมันเพิ่มขึ้นแค่ 3 เท่าในช่วงสิบปี เงินแสนเหรียญของผมจะกลายเป็น 8 แสน ซึ่งมันไม่เลวเลยสำหรับผลการดำเนินงานในสิบปี และหากทำได้แบบนี้สักยี่สิบปี เงินก็จะกลายเป็น $6,400,000 ได้เลย


Waiting for the Trend: รอให้เทรนด์ชัดก่อนค่อยเข้า
เทรนด์หรือแนวโน้มคือการเคลื่อนที่ในทิศทางใดทางหนึ่งที่ชัดเจน เทรนด์ขาขึ้นคือตลาดวิ่งขึ้น ขาลงก็คือตลาดวิ่งลง แต่ความจริงแล้ว ตลาดมันไม่ได้วิ่งขึ้นหรือลงเป็นเส้นตรงรวดเดียว
อย่างไรก็ตาม, ในการยืนยันแนวโน้มนั้นขาขึ้นนั้น ตลาดเคลื่อนที่ขึ้นเล็กน้อยจากนั้นก็มีปฏิกริยาตอบโต้และก็มีลงนิดหน่อย แต่ทั้งนี้,การย่อลงต้องไม่มากเท่าการขึ้นก่อนหน้านั้น แล้วก็เคลื่อนที่ขึ้นสูงไปอีก ทำจุดสูงสุดใหม่ได้(เรียกว่ายกไฮ) จากนั้นเมื่อเกิดแรงขาย ก็จะย่อลงแต่จุดต่ำสุดครั้งใหม่อยู่สูงกว่าครั้งที่ผ่านมา (เรียกว่ายกโลว์)
ด้วยลักษณะนี้, เราจะเห็นชุดของการยกไฮยกโลว์ สิ่งนี้แหละที่เป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้น
ส่วนขาลง ก็จะเป็นการเคลื่อนไหวในทางตรงกันข้าม

นักเก็งกำไรจะไม่ลงมือ ถ้าการเตคลื่อนตัวของราคาไม่ชัดว่าเป็นเทรนด์ คือต้องเห็นว่าราคายกไฮยกโลว์อย่างน้อย 1 ชุด(หรือจะมองว่าเป็นฟันปลาก็ได้) เพื่อยืนยันการเป็นขาขึ้น ในขาลงก็เช่นกันคือราคาต้องทำจุดต่ำสุดใหม่ จุดสูงสุดต่ำกว่าเดิม ให้เห็นสุดชุดเสียก่อน

เมื่อเห็น การแสดงออกว่าเป็นเทรนด์ชัดแล้ว, นักเก็งกำไรจะทำขั้นตอนต่อไปก็คือการหาจังหวะเข้าเทรดและต้องคิดเรื่องการวางจำนวนเงินที่จะลงด้วย โดยคิดต่อว่าถ้าพลาด(คือมองผิด)ต้องเสียเงินน้อยที่สุด กระบวนการเหล่านี้จะถูกคิดไว้ก่อนเข้าเทรด
นักเก็งกำไรไม่ได้เข้าเทรดเพื่อเอาชนะทุกครั้ง แต่เขาเพียงแค่ต้องการเข้าไปอยู่ในกระแสของตลาด(เพื่อทำเงิน)เท่านั้น

เมื่อมันเป็นเรื่องโคตรยากที่จะซื้อในราคาต่ำสุดหรือขายในจุดสูงสุดของแนวโน้ม เราจึงควรทำกำไรในช่วงกลางเทรนด์ให้ได้ปริมาณมากที่สุด
ปัญหาใหญ่ของนักเก็งกำไรมือใหม่คือการกระโจนเข้าร่วมทุกการวิ่งของราคา ซึ่งส่วนใหญ่มันยังไม่เป็นเทรนด์เลย ทำให้เสียเงินโดยไม่จำเป็น คนที่รู้จักรอคอยให้เกิดการยืนยันชัดเท่านั้นที่จะได้เปรียบในการเก็งกำไร และทำเงินได้มากกว่าขาดทุน

Looking for Comfirmations: มองหาการยืนยัน
มีคำพูดของคนเก่าแก่บอกไว้ว่า "อย่าให้ความปรารถนาเป็นใหญ่เหนือความคิด" เพราะแค่การปรารถนาที่จะให้ตลาดวิ่งขึ้นตามใจเราอยากนั้น-ตลาดมันไม่ทำตามที่เราหวังได้หรอก สัญญาณต่างหากล่ะคือของจริง ดังนั้นหากไม่มีสัญญาณหรือมันไม่เคลียร์จริงๆ-ก็อย่าเทรด

คุณก็รู้ว่า "การปล่อยสัญญาณหลอก" นั้นตลาดเป็นอัจฉริยะในทางนี้เลย
เราจึงควรรอจนเห็นการยืนยันจากอินดิเคเตอร์ หรือสัญญาณการเริ่มทำเกมส์จากหุ้นนำตลาด-จึงค่อยเข้าเทรด
ผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่าทุกครั้งที่ราคาพุ่ง-มันเป็นสัญญาณหลอก จนกระทั่งสมมติฐานของผมได้รับการพิสูจน์โดยหุ้นตัวนั้น, ผมไม่เชื่อว่าการพุ่งขึ้นของราคาจะมีความแข็งแรงของพอ"

"กว่าที่หุ้นสักตัวจะจะวิ่งขึ้น-มันต้องใช้เวลาในการเตรียมตัว(สะสมพลัง/หุ้น) ในช่วงของการเตรียมตัวนี่แหละที่มันจะทำสัญญาณหลอกโดยการวิ่งทะลุกรอบขึ้นไปได้จริง แต่สักพักก็โดนตบลงมาวิ่งในกรอบเดิม ตรงนี้แหละที่นักเก็งกำไรต้องอดทน เมื่อหุ้นที่เรารอ-มีการ breakout ทะลุกรอบสะสมในรอบ 6-12 เดือนขึ้นไปได้-พวกมันจะวิ่งแรงและไกล
นักเก็งกำไรจึงควรรอสัญญาณที่ชัดเจนคือราคาทำ higher high (จุดสูงสุดยกขึ้น-ยกไฮ) และ higher low (จุดต่ำสุดยกขึ้น-ยกโลว์) การเคลื่อนที่ลักษณะนี้จะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวของชีวิต จึงไม่น่าแปลกใจที่มันจะวิ่งได้เป็นเท่าตัวในช่วงที่มันวิ่งขึ้นรอบใหญ่นี้

อธิบายง่ายๆคือ, ผมชอบที่จะเห็นราคาหุ้นวิ่งขึ้นต่อเนื่อเป็นเดือนๆหรือเป็นปี ยิ่งราคาใช้เวลา sideway นานเท่าไหร่ นานกระทั่งคนลืมการสะสมนั้น, เมื่อมันวิ่งทะลุกรอบ sideway นั้นขึ้นไปได้จริงๆ-มันจะวิ่งเร็วและแรง
ผมบอกได้เลยว่าคนทั่วไปจะทนรอดูหุ้นที่กำลังสะสมอยู่ไม่ไหว จึงทำให้พวกเขาพลาดรอบใหญ่ไป เพราะเขาเชื่อว่าทุกๆการ breakout จากกรอบราคาหนึ่งไปอีกราคาหนึ่ง-คือการเริ่มต้นวิ่งของรอบใหญ่ ทั้งที่ความจริงแล้วมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ ดังนั้นเราจึงควรย้อนกลับไปดูสาเหตุของการ breakout นั้นมาจากอะไรกันแน่


Following the Leaders: เดินตามผู้นำ
"ทุกๆ วัฏจักรจะต้องมีผู้นำ หลังจากที่ผู้นำชุดเก่าเริ่มชะลอตัวลง,มันต้องมีคนรุ่นใหม่/ผู้เล่นหนุ่มสาวที่จะทำเกมให้ยกระดับขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่
ตอนที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วงต้น-เป็นเหล็กและรางที่นำตลาดขึ้น จากนั้นก็มารถยนต์และเครื่องจักรกลหนัก จากนั้นก็มาเครื่องบินและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
ต่อมาก็เป็นวิทยุและโทรทัศน์รวมถึงเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
จากนั้นก็มาเป็นคอมพิวเตอร์ แล้วก็มาถึงซอฟแวร์แล้วจึงเป็นอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
ต่อไปภายหน้าอาจจะเป็นเทคโนโลยีด้านการแพทย์และยา แนวโน้มกระทิงที่จริงจังต่อไปจะมีผู้นำชุดใหม่ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดให้วิ่งไปข้างหน้า"

"เพราะในตลาดมีหลายพันหุ้นที่ขยับขึ้นและดิ่งลง,
มีวิธีการไหนที่จะช่วยให้ผมหาหุ้นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ตัวต่อไปได้บ้าง?
ผมจะเริ่มต้นจากหุ้นที่มีอายุ 10-15 ปีหรืออายุน้อยกว่าเท่านั้น หรือจะพูดได้อีกอย่างว่า, ผมให้ความสนใจในหุ้นที่อยู่รอดมานานกว่า 15 ปี
ผมจะบอกว่าบริษัทที่เติบโตและทำเงินได้มาจนถึง 15 ปี มันจะมีโอกาสที่จะวิ่งทำขาขึ้นรอบใหญ่ได้ และถ้าหุ้นสักตัวได้วิ่งรอบใหญ่ไปแล้ว-มันก็จะสายเกินไปสำหรับผมที่จะเข้าไปเกาะกระแสรอบใหญ่นั้น"

"เมื่อผมพบว่าหุ้นที่ตัวเองเฝ้าดูอยู่-กำลังจะทำ all time high ,บางคนก็มองหาหุ้นที่กำลังจะทำ 52 week high
แต่ผมจะไม่สนใจแบบนั้น
ผมต้องการที่จะเห็นหุ้นที่กำลังจะทำ all time high ที่ผมสนใจแบบนี้เพราะมันจะตัดตัวเลือกที่อ่อนแอออกไปจนหมด เหลือเฉพาะตัวที่มีโอกาสเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น"

"ผมให้ความสนใจเฉพาะบริษัทที่เพิ่งอยู่ในวัยหนุ่มและเพิ่งโชว์ความแข็งแกร่งทางราคาโดยการขึ้นมาอยู่ในพื้นที่ของ all time high นั่นเอง"

The Game Plan: การวางแผน
"กล่าวโดยสรุปได้ว่า, ผมจะมองหาหุ้นที่มันใช้เวลาเป็นปีในการ sideway เพราะมันเป็นการสะสมหุ้น/กำลัง ผมเรียกว่าเป็นการเตรียมตัว ยิ่งเตรียมตัวนานเท่าไหร่-ก็จะยิ่งมีพลังในการวิ่งขึ้นเรงเท่านั้น(ถ้ามันได้ breakout ขึ้นไปอย่างแท้จริง) และมันต้องวิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนเข้าไปอยู่ในบริเวณของ all time high
โดยปกติแล้วผมจะให้ความสนใจไปหุ้นที่วิ่งขึ้นมาแล้วเท่าตัวจากจุดต่ำสุดในรอบระยะเวลา 52 สัปดาห์ล่าสุด
นอกจากนี้ผมต้องเห็นการพักตัวอย่างน้อยสักครั้งในช่วงที่มันวิ่งขึ้น
ที่ผมกล่าวแบบนี้ก็เพราะว่า-เกมจะเริ่มต้นหลังจากที่มีการเตรียมตัวอย่างยาวนาน"

"จากนั้นผมก็จะเพิ่มข้อกำหนดอีกนิด คือหุ้นจะต้องยืนเหนือราคาสูงสุดที่เคยทำได้อย่างน้อยที่สุด 20% หรือมากกว่าไฮเดิมที่มันเพิ่งเบรคขึ้นมาได้ภายใน 4 สัปดาห์หรือน้อยกว่านั้น
การขึ้นมาได้ 20% ภายใน 4 สัปดาห์จะต้องเกิดขึ้นโดยที่มันไม่ย่อลงกลับไปยืนอยู่ในช่วงสะสมอีกเลย ผมเรียกมันว่าหุ้น 20/4
- ซึ่งหมายความว่ามันวิ่งขึ้นมา 20% หรือมากกว่าภายใน 4 สัปดาห์โดยไม่ได้ย่อกลับเข้าไปอยู่ในช่วงราคาสะสมอีกเลย"

"ในขณะที่หุ้นวิ่งขึ้นมาทำ 20/4 เป็นครั้งแรก ถือเป็นสัญญาณที่ดีมาก ผมมักจะรอจนกว่าจะเห็นหุ้นอย่างน้อยสองตัวจากสองอุตสาหกรรมที่ต่างกัน-ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันถึงเวลากระเพื่อมตลาดแล้ว ตอนนี้ผมยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับวอลุ่มมากนัก ตอนนี้ที่ผมอยากจะเห็นหุ้นที่ทำ 20/4 อย่างน้อยสองตัว จากนั้นผมจะเข้าไปทดสอบตลาดด้วยเงินจำนวนน้อยๆก่อน ทดสอบเพื่อยืนยันว่าที่ผมคิดและตีความนั้นมันถูก
ถ้าถูก,มันก็ควรจะกำไร เพื่อยืนยันว่าผมถูก,ผมจำเป็นต้องใช้ตัวช่วยอีกอัน นั่นคือกฎของ stop loss ซึ่งสิ่งนี้ทุกคนก็รู้และทำตามกันอย่างแพร่หลายอยู่แล้ว การจะดูว่าใครประสบควาามสำเร็จได้ก็ดูที่การเคร่งครัดต่อ stop loss แค่ไหนนี่แหละ"


สรุป:
"ปรัชญาของผมนั้นง่ายมาก ในตลาดจะมีหุ้นที่เป็นตัวหลอกอยู่ถึง 80% ใครเข้าไปเล่นหุ้นพวกนี้จะต้องเสียเงินในระยะยาว ผมจะไม่ให้ความสนใจหุ้นพวกนี้ ผมจะให้พรีเมียมกับ big money
หรือจะพูดง่ายก็คือ,ถ้าผมจะไปเสี่ยงต่อการเสียเงินในตลาด, ผมควรจะไปสนใจเฉพาะตัวที่เงินเยอะๆเท่านั้น ดังนั้นอย่าไปเสียเวลาชีวิตกับหุ้นที่โอกาสแพ้กับชนะไม่ชัดเจนอยู่เลย"

"เหตุผลต่อมาก็คือพวก big money จะให้ความสนใจเฉพาะหุ้นที่เพิ่งโตซึ่งบางทีคนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้จัก เขาไม่สน General Motors, IBM, Wal-Mart, Cisco, Microsoft, ฯลฯ พวกนั้นใหญ่เกินไป, โตจนจะอิ่มอยู่แล้ว"

"อีกเหตุผลก็คือ, หุ้นที่ผมคิดว่าจะเป็นผู้ชนะที่มีศักยภาพ-จะต้องมีการแสดงให้เห็นผ่านการเคลื่อนไหวของราคา/วอลุ่มของมัน ว่ามันมีความสามารถในการวิ่งขึ้นของราคา
ถ้าผมเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอล,ผมจะจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อผู้เล่นที่เห็นว่าเขาเป็นนักเตะที่โดดเด่นในลีกสูงสุดและยังพัฒนาความสามารถขึ้นไปได้อย่างต่อเนื่องเท่านั้น
ถ้าผมไม่เห็นว่ามันมีการพัฒนาหรือการวิ่งขึ้นของราคาเลย,ผมจะไม่ให้ความสนใจกับมัน
นั่นคือผมต้องการเห็นมันเริ่มต้นทำขาขึ้นก่อน ถ้ามันไม่เริ่มต้นทำขาขึ้น,มันก็ไม่ได้พิสูจน์อะไรเลย"

แถม Ebook ที่เกี่ยวข้องกัน อันว่าด้วย Mindset ของ Top Trader


7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

VCP (Volatility Contraction Pattern) และรูปแบบที่คล้ายกัน

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

อธิบาย Wyckoff Accumulation Phase แบบละเอียดยิบ

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo

สรุปหนังสือ Trade Like a Casino