ในปี 1977 หลังจากที่เขาออกหนังสือ You Can Still Make It in the Market ก็ได้ขยายความระบบของเขา โดยเรียงลำดับดังนี้
1) เลือกซื้อหุ้นของบริษัทที่มีการเจริญเติบโตและมีแนวโน้มผลประกอบการดีขึ้นเรื่อยๆ
2) เลี่ยงบริษัทที่ธุรกิจโตมากจนไม่สามารถขยายได้อีกแล้ว
3) เช็คแนวโน้มตลาดโดยรวม เพื่อให้แน่ใจว่าหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
4) ตรวจสอบว่าหุ้นนั้นอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง มีประสิทธิภาพทางการขึ้นของราคาดีกว่ากลุ่มอื่น
5) เลือกเฉพาะหุ้นที่ราคาวิ่งขึ้นและมีวอลุ่มเพิ่มขึ้นด้วยเท่านั้น
บางคนอาจนึกตะหงิดที่ว่า ระบบของดาร์วาส ก็ออกจะคล้ายกับ CAN SLIM อยู่นะ ท่านคิดไม่ผิดหรอก เพราะโอนีลก็ได้แรงบันดาลใจมาจากงานของดาร์วาสนี่แหละ
ถ้าใครจำระบบของดาร์วาสไม่ได้ เรามีวิธีจำแบบง่ายๆ ดังนี้
D – Direction of the Market (ทิศทางของตลาด)
A – Accelerated Earnings and Sales (กำไรและยอดขายโตเร็ว)
R – Relative Price Strength (and Return on Equity)
V – Volume Increasing (ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น)
A – Aggressive Growth Group (มีการขึ้นอย่างรุนแรงเป็นกลุ่ม)
S – Sound Base Pattern(มีการสร้างฐานราคาที่สมบูรณ์)
ต่อไปจะขยายความออกเป็นข้อๆ ดังนี้ D – Direction of the Market ทิศทางของตลาด
ตลาดโดยรวมเป็นขาขึ้นหรือไม่? เป็นไปได้ยากมากที่หุ้นจะวิ่งขึ้นไปได้ไกลๆหากตลาดโดยรวมเป็นขาลง ดังนั้น, ก่อนลงทุนก็ให้แน่ใจว่าทิศทางของตลาดโดยรวมมีการเคลื่อนที่ขึ้น
A – Accelerated Earnings and Sales กำไรและยอดขายโตแบบรวดเร็ว
กำไรและยอดขายในไตรมาสนี้ของบริษัทนั้นเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมาหรือเปล่า?
ปกติคุณต้องการที่จะเห็นหุ้นที่มีกำไรและยอดขายในไตรมาสล่าสุดเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 40% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และจำไว้เลยว่า,กำไรและยอดขายยิ่งสูงเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น หากคุณมีทางเลือกระหว่างหุ้นที่กำไรและยอดขายเพิ่มขึ้น 50% กับอีกตัวเพิ่มขึ้น 90% ก็ให้ไปเลือกตัวที่เพิ่ม 90%
วิลเลียม โอนีล ได้ทำการศึกษาย้อนหลัง 50 ปีในหุ้นที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ผลการศึกษานี้ถูกตีพิมพ์ในหนังสือคลาสสิกของเขา How to Make Money in Stocks โอนีลพบว่าเกือบทั้งหมดของหุ้นที่เขาเรียกว่า "หุ้นเติบโตที่ยิ่งใหญ่สุดของปีที่ผ่านมา" เริ่มต้นจากที่มี ROE 17% หรือมากกว่านั้น และเช่นเดียวกับถ้ารายได้และยอดขายสูงกว่าเดิมด้วยล่ะก็ มันจะเป็นหุ้นในฝันเลยทีเดียว